แล้วใครเป็นคนวางแผน?
มีจุดประสงค์อะไร?
เป็นคนในตระกูลโม่หรอ?
ถ้าเป็นคนในตระกูลโม่ ทำไมเขาถึงใช้เจ้าสัวโม่มาดึงมู่นวลนวลเข้าไปในแผนการ?
และทำไมต้องเป็นวันปีใหม่?
ในขณะที่มู่นวลนวลคิดคำถามเหล่านี้ก็เดินไปถึงห้องเจ้าสัวโม่
เมื่อวันก่อนเธอยังนั่งดูทีวีกับเจ้าสัวโม่อยู่ที่โซฟา เจ้าสัวโม่ยังบอกให้เธอกับโม่ถิงเซียวรักใคร่กัน
แต่ผ่านไปแค่วันเดียวเท่านั้น เจ้าสัวโม่ก็อาการสาหัสนอนอยู่ในห้องผ่าตัด
มู่นวลนวลรู้สึกหดหู่ใจ
เธอหันหลังเดินออกไป:“ไปเถอะ”
ซือเย่ยังคงตามเธออยู่ข้างหลัง
เมื่อหลับมาถึงห้อง ซือเย่ก็เฝ้าอยู่ที่หน้าประตู
ก่อนที่จะปิดประตู เธอพูดกับซือเย่ว่า:“ลำบากคุณแล้ว”
ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นวันปีใหม่ โม่ถิงเซียวบังเรียกซือเย่ออกมา
“คุณหญิงเกรงใจแล้ว คุณชายไว้ใจผมถึงได้ให้ผมมาทำธุระแทน ”
ซือเย่พยักหน้า และยังคงเป็นท่าทางที่ระมัดระวังและมั่นคง
มู่นวลนวลไม่ได้พูดอะไรอีก เธอจับมุมปากยิ้มแล้วเดินเข้าไปในห้อง
……
เธอรอจนมืดก็ไม่มีใครกลับมา
มู่นวลนวลหยิบโทรศัพท์ และอยากจะโทรหาโม่ถิงเซียว เพื่อถามถึงสถานการณ์
ถึงแม้ในใจเธอจะรู้ว่าสิ่งที่โม่ถิงเซียวพูดกับเธอก่อนหน้านี้ไม่ได้ออกมาจากใจ แต่เธอก็ยังไม่กล้าที่จะโทร
เธอไม่อยากได้ยินเสียงเย็นชาของโม่ถิงเซียว
เมื่อก่อนช่วงเวลาที่แย่ที่สุดที่อยู่ในตระกูลมู่ ก็ไม่ได้รู้สึกเสียใจอะไร
แต่ตอนนี้เพียงแค่ได้ยินเสียงเย็นชาของโม่ถิงเซียวที่พูดกับเธอ เธอก็เสียใจ
เธอคงจะถูกโม่ถิงเซียวตามใจมากจนเกินไป
ก๊อกก๊อก!
จู่ๆก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น
มู่นวลนวลดีใจคิดว่าโม่ถิงเซียวกลับมาแล้ว จึงรีบลุกไปเปิดประตู
เมื่อประตูเปิดออก มู่นวลนวลก็เห็นว่าใครมา และความดีใจก็ค่อยๆหายไป
คนที่ยืนอยู่หน้าประตูไม่ใช่โม่ถิงเซียว แต่เป็นคนใช้ที่มาส่งอาหาร
มู่นวลนวลถามคนใช้:“คุณชายยังไม่กลับมาหรอ?”
คนใช้ส่ายหน้าอย่างช้าๆ วางถาดแล้วหันกลับออกไป
เมื่อกี้ตอนที่เปิดประตู เธอสังเกตเห็นว่าซือเย่ยังคงเฝ้าอยู่ที่ประตู และมีบอดี้การ์ดอีกสองสามคน
เธอเปิดประตูออกไปอีกครั้ง และถามซือเย่:“โม่ถิงเซียวโทรมาพูดคุยกับคุณไหม?”
“ไม่มี” ซือเย่ก้มหน้าโดยไม่ได้มองสีหน้าที่ผิดหวังของมู่นวลนวล
สุดท้ายเธอก็ไม่ได้โทรหาโม่ถิงเซียว
และเธอก็ไม่มีกะจิตกะใจจะนอนหลับ จึงเอาผ้าห่มมานอนบนโซฟา
หลังจากที่เธอนอนอย่างสะลึมสะลือ ก็รู้สึกว่ามีคนเดินเข้ามาในห้อง
แม้ว่าจะเดินอย่างลดเสียงฝีเท้าลงให้มากที่สุด แต่มู่นวลนวลก็ยังคงได้ยินมัน และตื่นขึ้นมาอย่างระมัดระวัง
เธอลืมตาขึ้นและเห็นร่างที่สูงโปร่งของโม่ถิงเซียว
โม่ถิงเซียวโน้มตัวมาที่เธอ และยกแขนข้างหนึ่งขึ้น ไม่รู้ว่าเขาจะทำอะไร
มุ่นวลนวลลุกขึ้นนั่ง:“คุณกลับมาแล้ว”
โม่ถิงเซียวยืดตัวตรง และมองไปที่เธอด้วยสีหน้าที่ว่างเปล่า:“ทานข้าวเย็นรึยัง?”
“อืม” มู่นวลนวลพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง และถามเขาว่า:“คุณปู่ล่ะ?เขา……”
เมื่อพูดถึงตรงนี้แล้วเธอก็เงียบไป
โม่ถิงเซียวสีหน้าเย็นชา:“การผ่าตัดเสร็จสิ้นแล้ว แต่มันยังไม่พ้นขีดอันตราย อาจจะว่าจะฟื้นขึ้นมาภายใน 48 ชั่วโมง แล้วก็อาจจะไม่ฟื้นขึ้นมา”
มู่นวลนวลเงยหน้าขึ้นมองโม่ถิงเซียวทันที และสบกับสายตาที่เย็นชาของเขา
เธออธิบายด้วยความตื่นตระหนก:“ฉันไม่ได้ผลักคุณปู่”
แล้วในห้องก็เงียบสงบลง
โม่ถิงเซียวมองเธอและไม่พูดอะไร ราวกับกำลังคิดว่าที่เธอพูดเป็นเรื่องจริงหรือไม่
เธอรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนเข้มแข็งมาโดยตลอด
แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าโม่ถิงเซียว เธอก็ถอดเกราะความแข็งนั้นออก
ความเงียบชั่วครู่ของเขามากพอที่จะทิ่มแทงเธอ
และคำพูดต่อไปของเขาก็ยิ่งทำให้เธอรู้สึกเหมือนกับอยู่ในห้องน้ำแข็ง
“ตำรวจจะตรวจสอบเรื่องนี้”
แม้ว่าจะไม่มีท่าทีเย็นชาใดๆ และน้ำเสียงของโม่ถิงเซียวก็ยังคงน่าฟัง
มู่นวลนวลกำหมัดแน่น และพูดอย่างแผ่วเบาว่า:“โม่ถิงเซียว ฉันไม่เชื่อที่คุณพูด ฉันให้โอกาสคุณพูดความจริงอีกแค่ครั้งเดียว”
เธอไม่เชื่อว่านี่เป็นคำพูดที่แท้จริงของโม่ถิงเซียว
เธอมองไปที่โม่ถิงเซียว เธอตัดสินใจที่จะเชื่อในตัวเองและเชื่อในตัวโม่ถิงเซียว
แม้ว่าโม่ถิงเซียวจะไม่ได้สนใจสิ่งที่เรียกว่าความเชื่อใจเลย
เขาเม้มริมฝีปากและหัวเราะเยาะ:“มู่นวลนวล ที่ฉันพูดเป็นความจริง เธอยังคิดจริงๆหรือว่าเธอเป็นคนดีมีเมตตา?ถ้าเป็นคนดีมีเมตตาจริงๆ ตอนนั้นเธอคงไม่ให้นักข่าวไปแอบถ่ายรูปที่โรงงานของมู่กรุ๊ป และเกือบจะทำให้มู่กรุ๊ปล้มละลาย”
หลังจากพูดจบเขาก็จ้องมองมู่นวลนวล ราวกับกำลังดูปฏิกิริยาของเธอ
มู่นวลนวลเม้มริมฝีปากแน่น และมองโม่ถิงเซียวด้วยสายตาเย็นชา
โม่ถิงเซียวดูเหมือนจะหงุดหงิดกับท่าทีที่สงบของเธอ เขาโน้มตัวเข้าไปใกล้เธอ และพูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาขึ้นอีก:“ขนาดคนในตระกูลมู่ เธอยังใช้กลอุบายมากมายที่จะจัดการกับพวกเขา ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคุณปู่ของฉัน ที่เป็นแค่คนนอก”
“ฉันไม่ใช่ผู้หญิงอย่างมู่หวันฉี แค่เพราะเรื่องของฉินซุ่ยซาน ฉันก็เลยทำร้ายคุณปู่อย่างนั้น
……”
มู่นวลนวลยังพูดไม่ทันจบก็ถูกโม่ถิงเซียวพูดขัดจังหวะ:“พอเถอะ อย่าเรียกคุณปู่เลย เธอไม่คู่ควร”
“โม่ถิงเซียว!” มู่นวลนวล“ปัด”แล้วลุกขึ้นยืนจากโซฟา และพูดเสียงดังว่า:“สมองของคุณถูกหมากินไปแล้วหรอ?เห็นได้ชัดว่ามีคนวางแผนใส่ร้ายฉัน พวกคุณทุกคนไม่ไปหาคนร้ายตัวจริง แต่กลับมาปรักปรำฉัน?”
โม่ถิงเซียวหรี่ตา และยื่นมือไปจับคางของมู่นวลนวล สายตาเยือกเย็นของเขาแผ่กระจายไปทั่ว และพูดเตือนว่า:“มู่นวลนวล ระวังคำพูดของเธอด้วย พวกเราทุกคนล้วนนามสกุลโม่ จะเป็นไปได้ยังไงที่คนในตระกูลโม่ของพวกเราจะทำเรื่องแบบนั้น?”
มู่นวลนวลถูกเขาบีบคางจนเจ็บ แต่เธอก็ไม่ส่งเสียง แล้วจ้องมองโม่ถิงเซียวด้วยสายตาเย็นชา จากนั้นก็กดฟันและพูดว่า:“ทำไมจะเป็นไปไม่ได้!ฉันเห็นตระกูลโม่ของพวกคุณไม่มีอะไรดีเลย โดยเฉพาะคุณ!”
สีหน้าของโม่ถิงเซียวเย็นชาจนน่ากลัว
มู่นวลนวลเริ่มรู้สึกกลัว
แต่ในตอนนี้เธอไม่สามารถแสดงความอ่อนแอได้
“ทำไม?อยากจะตบฉัน?มาสิ ก็ดีลูกของคุณจะได้ตายไปด้วย ถึงตอนนั้นถ้าพวกคุณปรักปรำฉันจนต้องโทษ และส่งฉันเข้าคุก จะได้ไม่ต้องรอจนฉันคลอดลูก เมื่อคำตัดสินออกมาฉันก็สามารถเข้าคุกได้เลย แล้วพวกคุณก็จะได้สมปรารถนา”
มู่นวลนวลจ้องมองโม่ถิงเซียวอย่างไม่ละสายตา ในใจของเธอรู้สึกเจ็บปวดมาก
โม่ถิงเซียวยิ้มตอบ:“มู่นวลนวล เธอรู้ไหมว่าเธอกำลังพูดอะไรอยู่?”
“แน่นอนว่าฉันรู้” มู่นวลนวลยิ้มเยาะ:“ท่าทางตอนนี้ของคุณชัดเจนมาก และตัดสินว่าฉันเป็นคนผลักคุณปู่ลงมา ถ้าพวกคุณอยากจะฟ้องฉัน แล้วฉันจะทำอะไรได้?”
ถ้าหากโม่ถิงเซียวไม่เชื่อเธอ และตระกูลโม่ยืนกรานที่จะฟ้องให้เธอเข้าคุก เธอก็ไม่สามารถเอาชนะตระกูลโม่ได้