เซินเหลียงกลอกตาและพูดว่า:“เธอไม่ได้บ้า เธอไม่ได้เป็นอะไรแล้วจะไปผลักเจ้าสัวโม่ทำไม?”
มู่นวลนวลพยักหน้าเห็นด้วย:“ใช่”
คำพูดของเซินเหลียงหยาบเถื่อนแต่มีเหตุผล
มู่นวลนวลพูดอย่างใจลอยว่า:“แม้แต่เธอยังรู้ว่าเป็นไปไม่ได้ที่ฉันจะผลักเจ้าสัวโม่ แต่ทำไมโม่ถิงเซียวถึงสงสัยว่าฉันเป็นคนผลักเจ้าสัวโม่ตกลงมา?”
“อะไรนะ?บอสใหญ่สงสัยเธอ?” ท่าทางของเซินเหลียงดูตกใจมาก
มู่นวลนวลเลือกเล่าประเด็นที่สำคัญๆของเมื่อวานให้เซินเหลียงฟัง
เมื่อเซินเหลียงฟังจบแล้วก็ไม่ได้พูดอะไร แต่พูดกับกูจื่อหยานที่อยู่ข้างๆว่า:“มีคนใส่ร้านเธอ?”
มู่นวลนวลสูดหายใจเข้าลึกๆ เสียงของเธอแผ่วเบา:“ฉันก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน แต่ฉันไม่เข้าใจว่าทำไมโม่ถิงเซียวถึงสงสัยฉัน”
กูจื่อหยานครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง และไม่พูดอะไร
เซินเหลียงถามอย่างไม่แน่ใจว่า:“เขาคงจะมีเหตุผลของเขาแหละ……”
“ไม่รู้” มู่นวลนวลส่ายหัว
……
เซินเหลียงกับกูจื่อหยานไม่ได้อยู่นานก่อนที่จะจากไป
เซินเหลียงสามารถมาที่บ้านเก่าของตระกูลโม่ได้ ก็เพราะอาศัยการมาเยี่ยมเยียนในนามของกูจื่อหยาน
ยิ่งไปกว่านั้นทั้งสองคนมาหามู่นวลนวลอย่างเงียบๆ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่สามารถอยู่ได้นาน
หลังจากที่พวกเขาจากไป โม่ถิงเซียวก็กลับเขามา
เมื่อมู่นวลนวลเห็นเขา เธอก็ดีใจ
แต่แล้วเธอก็เห็นตำรวจเดินตามหลังโม่ถิงเซียวมา
เธอหันไปมองโม่ถิงเซียว
แต่โม่ถิงเซียวไม่มองเธอ เขาหันไปมองตำรวจ:“ถามเลย”
ตำรวจได้รับอนุญาตจากโม่ถิงเซียวและเดินไปที่มู่นวลนวล:“คุณหญิงโม่ วันนี้พวกเรามาหาคุณเพื่อสอบปากคำเรื่องเจ้าสัวโม่เมื่อวาน”
ตำรวจทำงานอย่างเป็นทางการ และมู่นวลนวลก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี:“ค่ะ”
“ชื่อนามสกุล อายุ……”
“มู่นวลนวล อายุ 23 ปี” หลังจากปีที่ผ่านมา ปีนี้เธอก็อายุ 23 ปีแล้ว
“เมื่อวานเวลาประมาณ 11:20 น. คุณโม่อันหลิงตกบันไดลงมา ตอนนั้นคุณอยู่ที่ไหน?”
“ฉันอยู่ในมี่เกิดเหตุ บนบันได”
“คุณทำอะไรอยู่ที่นั่น?”
“มีคนรับใช้บอกว่า คุณปู่เรียกให้ฉันไปหา”
“คนรับใช้ชื่ออะไร?”
“ไม่รู้”
“……”
ตำรวจถามคำถามมากมาย สุดท้ายก็กลับไปที่จุดเดิม
มู่นวลนวลไม่รู้ว่าคนรับใช้ที่เรียกเธอว่าเป็นใคร เธอไม่มีพยานในที่เกิดเหตุ และไม่มีใครยืนยันความบริสุทธิ์ของเธอได้
ตำรวจยืนขึ้นอย่างสุภาพ:“ขอบคุณคุณหญิงโม่ที่ให้ความร่วมมือ”
มู่นวลนวลพยักหน้าและไม่พูดอะไร
เมื่อตำรวจกลับไป ในห้องก็มีเพียงแค่มู่นวลนวลกับโม่ถิงเซียวสองคน
หลังจากที่เกิดเรื่องกับเจ้าสัวโม่ โม่ถิงเซียวก็ใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ที่โรงพยาบาล นอกจากเมื่อคืนที่ทั้งสองคนโต้เถียงกันอย่างดุเดือดแล้ว ทั้งสองคนก็ยังไม่ได้พูดคุยกันอย่างสันติ
ในขณะนี้จู่ๆโม่ถิงเซียวก็พูดขึ้นว่า:“ที่พูดทั้งหมดเป็นความจริง?”
“ไม่อย่างงั้นล่ะ?ฉันกำลังโกหกอยู่มั้ง?”
มู่นวลนวลหัวเราะ ลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปที่โม่ถิงเซียว จากนั้นก็จ้องมองเข้าไปในดวงตาของเขา:“ถ้าฉันกำลังโกหกอยู่ คุณจะดูไม่ออกเลยหรอ?”
โม่ถิงเซียวที่หน้านิ่ง:“ใครๆก็เสแสร้งได้ และฉันก็ไม่ใช่เทพเจ้า แน่นอนว่ามีบ้างที่มองคนผิดไป”
มู่นวลนวลสีหน้าเปลี่ยน แล้วค่อยๆกลับมาเป็นปกติ และมีรอยยิ้มอยู่ในดวงตา:“แต่ฉันดูออกว่าคุณกำลังโกหก”
“มู่นวลนวล ฉันไม่เข้าใจว่าเธอกำลังพูดอะไร!” ขณะที่โม่ถิงเซียวพูดก็พยายามจะถอยห่างจากมู่นวลนวล
แต่มู่นวลนวลไม่ให้โอกาสนั้นกับเขา
เธอยื่นมือไปผลักโม่ถิงเซียวลงบนโซฟาอย่างรุนแรง
โม่ถิงเซียวมองดูเธอด้วยสายตาที่กลัดกลุ้ม และพยายามที่จะลุกขึ้น
ดูเหมือนว่ามู่นวลนวลจะคาดการณ์ไว้แล้ว เธอกดไหล่ของเขาและผลักเขาลงอีกครั้ง จากนั้นก็ยกขาขึ้นคร่อมขาของโม่ถิงเซียวและนั่งลง
และยังคงเผชิญหน้ากับเขา
สีหน้าของโม่ถิงเซียวก็ดูกลัดกลุ้มมากขึ้น และพูดอย่างเคร่งขรึมว่า:“มู่นวลนวล เธอลงไป!”
“ไม่ลง”
ไม่เพียงแต่มู่นวลนวลไม่ยอมลงไป แต่เธอยังยกมือขึ้นกอดคอโม่ถิงเซียวแน่น เธอเอียงหน้าเล็กน้อยเพื่อมองเขา ใบหน้าของเธอดูดื้อรั้นนิดหน่อย
สมัยมัธยมเธอก็คลุกคลีอยู่กับเซินเหลียง ผ่านเรื่องทะเลาะตบตีมาไม่น้อย อันที่จริงธาตุแท้ของเธอก็ดื้อรั้นไม่ยอมใคร
แต่เพราะเธอได้พบกับโม่ถิงเซียวที่แข็งแกร่ง สายตาของเขาสามารถทำให้ว่านอนสอนง่าย
โม่ถิงเซียวคิ้วขมวดราวกับว่าอดทนจนถึงขีดสุดแล้ว
มู่นวลนวลยิ้มอย่างสดใสและโน้มตัวเข้ามาหาโม่ถิงเซียว เหมือนกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับริมฝีปากของโม่ถิงเซียว:“ถ้าคุณมีความสามารถก็ผลักฉันลงสิ ถ้าคุณผลักฉันลงฉันก็จะเชื่อว่าคุณสงสัยฉันจริงๆ ถ้าไม่อย่างนั้น……”
มู่นวลนวลหยุดพูดไปชั่วขณะ เธอกัดริมฝีปากของโม่ถิงเซียวเบาๆ และพูดด้วยเสียงต่ำว่า:“คุณก็แค่เสแสร้ง คุณมีเรื่องที่ปิดบังฉันอยู่”
โม่ถิงเซียวสีหน้าแข็งทื่อ และสีหน้าของมู่นวลนวลก็ดูดีใจ
แต่ในวินาทีถัดมา โม่ถิงเซียวก็ยังดูเย็ชา:“พอได้แล้ว”
มู่นวลนวลเม้มริมฝีปากแน่นและหยุดพูด แต่มือของเธอยังคงกอดคอโม่ถิงเซียวไว้แน่นด้วยสีหน้าที่ดูดื้อรั้น
โม่ถิงเซียววางมือไว้ข้างตัวและจ้องมองเธอ:“ถ้าไม่ใช่ว่าตอนนี้เธอกำลังท้อง เธอคิดว่าจะยังได้นั่งอยู่ตรงนี้ไหม?”
มู่นวลนวลกัดริมฝีปากและพูดด้วยน้ำเสียงของเธอดื้อดึง:“ได้สิ ทำไมจะไม่ได้”
ทันทีที่เธอพูดจบ เธอก็รู้สึกว่าร่างกายของโม่ถิงเซียวดูเหมือนจะสั่นสะท้าน
ทั้งสองเกาะติดกันแน่น เธอเชื่อว่าตัวเองไม่ได้รู้สึกผิด
สายตาของเธอมีความประหลาดใจ และยังไม่ทันได้พูด เธอก็รู้สึกปวดที่คอ จากนั้นดวงตาของเธอก็มืดลง
ก่อนที่เธอจะสลบ ฉากสุดท้ายที่เธอเห็นตรงหน้าคือดวงตาของโม่ถิงเซียวที่มืดมิดราวกับกลางคืน แต่กลับเต็มไปด้วยอารมณ์ที่หลากหลาย
มู่นวลนวลค่อยๆสลบลงไปในอ้อมแขนของโม่ถิงเซียว
โม่ถิงเซียวประคองหัวของเธอให้เธอพิงแขนของเขา เขาจับเธอด้วยมือข้างหนึ่ง และมืออีกข้างหนึ่งก็ประคองหัวของเธอไว้อยู่อย่างนั้นเป็นเวลานาน
หลังจากนั้นสักพัก เขาก็ตะโกนออกไปที่ประตู:“ซือเย่”
ซือเย่เดินเข้ามาจากข้างนอกอย่างรวดเร็ว:“คุณชาย”
“ไปเตรียมรถ ฉันจะส่งมู่นวลนวลกลับไป”
“ครับ”
ซือเย่พูดจบก็หันหลังเดินออกไป
เมื่อเดินไปถึงหน้าประตู เขาก็อดไม่ได้ที่จะหันกลับไปมอง
ผู้ชายที่หล่อเหลานั่งอยู่บนโซฟา โดยมีผู้หญิงคนหนึ่งอยู่ในอ้อมกอด ท่าทางดูสนิทสนมกันมาก
ผู้หญิงคนนั้นนอนหลับไหล และผู้ชายก็ก้มลงแล้วใช้มือลูบผมของเธอเบาๆอย่างถนุถนอม
ฉากนี้ไม่ว่าจะมองยังไงก็รู้สึกว่าเป็นปกติของคนที่รักกันมาก
ซือเย่ส่ายหัว
เขาหมายความว่าคุณชายรักคุณหญิงมากขนาดนั้น จะเป็นไปได้ยังไงที่จะสงสัยคุณหญิง
คุณชายดูมีลับลมคนในซ่อนอยู่ แต่ซือเย่ก็ไม่สามารถเดาได้
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เขาเฝ้ามองโม่ถิงเซียวเดินไป เขารู้ว่าโม่ถิงเซียวอดทนอดกลั้นและแข็งแกร่ง รู้ว่าอะไรควรทำอะไรไม่ควรทำ และมีสติอยู่ตลอด
แต่เรื่องครั้งนี้ซือเย่ก็ไม่เข้าใจว่าโม่ถิงเซียวคิดอะไร