มู่นวลนวลสูดหายใจเข้าลึกๆแล้วพูด: “พวกเราแยกกันอยู่สักพักเถอะ”
โม่ถิงเซียวไม่เข้าใจ สายตาไม่พอใจเล็กน้อย : “หมายความว่ายังไง?”
เทียบกับโม่ถิงเซียวแล้วเธอต้องการสงบสติอารมณ์ของเธอมากกว่าเขา : “ตอนนี้พวกเราไม่ใช่สามีภรรยาที่ถูกต้องตามกฏหมายไม่จำเป็นที่จะต้องอยู่ด้วยกัน รอให้หาตัวลูกเจอก่อนเราค่อยคุยกันอีกที”
ช่วงนี้เธอเหนื่อยมากและหมดแรง
โม่ถิงเซียวใช้เวลาหนึ่งเดือนในการตามหาลูก กระทั่งตอนนี้ยังไม่มีวี่แววอะไรเลย
แต่เธอรออยู่ที่นี้นอกจากจะรออย่างทรมาณเธอสามารถทำอะไรได้บ้าง?
เรื่องระหว่างเธอกับโม่ถิงเซียวก่อนจะหาตัวลูกเจอ เธอไม่มีแรงพอจะคอยต่อล้อต่อเถียงกับเขา
มู่นวลนวลเสียงแข็ง: “พวกเราสามารถเปลี่ยนเป็นสามีภรรยาโดยถูกต้องตามกฏหมายได้ตลอดเวลา”
เรื่องนี้มู่นวลนวลไม่ได้ประณีประนอมแต่อย่างใด: “คุณจะให้ฉันไป หรือจะทำเหมือนเมื่อก่อนที่ให้บอดี้การ์ดคอยเฝ้าติดตามฉัน”
เธอเป็นเป็นผู้หญิงที่แม้แต่ลูกสาวตัวเองก็ดูแลไม่ได้
ทุกครั้งที่มีเรื่องก็มีคนคอยรับหน้าให้ตลอด
เธอไม่อยากจะเป็นแบบนี้อีกแล้ว
คำพูดของเธอทำให้โม่ถิงเซียวรู้สึกไม่ดี
สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปทันทีที่ได้ยินเธอพูดอย่างนั้น มู่นวลนวลก็ใจไม่ดีเช่นกัน
โม่ถิงเซียวจะตกลงไหม?
และโม่ถิงเซียวก็ตอบเธอว่า : “ได้”
มู่นวลนวลแอบตกใจเล็กน้อย เธอไม่คิดว่าโม่ถิงซียวจะตอบตกลง
และโม่ถิงเซียวก็พูดต่อ ซึ่งทำให้มู่นวลนวลตกใจยิ่งกว่า
โม่ถิงเซียวพูดขึ้นอีกหนึ่งประโยค : “แต่ผมมีข้อตกลงอีกหนึ่งข้อ”
“ข้อตกลงอะไร?” มู่นวลนวลสงสัย
โม่ถิงเซียวพูดอย่างชัดเจนแล้วยิ้มมุมปาก : “จดทะเบียนสมรส”
มู่นวลนวลเบิกตากว้าง : “อะไรนะ?”
เธอสงสัยว่าตัวเองได้ยินผิดไปหรือเปล่า
สิ่งที่เธอพูดไปเธอพูดอย่างชัดเจนไปแล้ว หรือการเข้าใจของเขามันผิดปกติ?
เธอยังไม่แน่ใจ : “คุณพูดอีกครั้งสิ”
แน่นอนว่าโม่ถิงเซียวไม่มีทางพูดรอบที่สอง แต่บอกว่า: “ไม่จดทะเบียนสมรสลูกเราจะขึ้นทะเบียนได้ยังไง?”
มู่นวลนวลอึ่งไปสักพัก
…………
มู่นวลนวลเธอไม่คิดมาก่อนว่าด้วยเหตุผลนี้จะทำให้เธอได้จดทะเบียนสมรสกับโม่ถิงเซียว
วันที่ทั้งสองไปจดทะเบียนสมรสพวกเขาก็นำข้อมูลของลูกสาวไปขึ้นทะเบียนด้วย
ทะเบียนสำมะโนครัวมีผู้อาศัยอยู่สามคน
เจ้าบ้านโม่ถิงเซียว
ภรรยามู่นวลนวล
ลูกสาวโม่มู่
โม่ถิงเซียวเห็นเธอจ้องทะเบียนสำมะโนครัวไม่เลิก จึงพูดขึ้น : “ชื่อนี้คิดไว้นานแล้วเด็กผู้ชายหรือเด็กผู้หญิงก็ใช้ได้”
มู่นวลนวลจ้องไปที่ “โม่มู่” ชื่อนี้แล้วเธอใช้มือลูบเบาๆ
ลูกที่เธอเห็นหน้าเพียงครั้งเดียวชื่อโม่มู่
เหมื่อนว่าเธอคิดอะไรออกสักอย่างจึงเงยหน้าขึ้นจะพูดกับโม่ถิงเซียว
เธอก็เห็นว่าโม่ถิงเซียวมีอาการเดียวกันกับเธอ เข้ากำลังจ้องไปที่ชื่อของลูก “โม่มู่”
มู่นวลนวลพูดขึ้น : “ตอนที่เธอพึ่งคลอด เธอสวยมาก เธอหน้าตาเหมือนกับคุณ”
เธอเคยเห็นโม่มู่ แม้ว่าแค่ครั้งเดียว
และโม่ถิงเซียวที่กำลังเดินทางมากลับไม่เคยเห็นหน้าเธอเลย
แม้โม่ถิงเซียวจะเป็นคนเย็นชาแต่เขาไม่ใช่คนเลือดเย็น
ลูกหายไป ในใจของเขาก็คงเจ็บปวดไม่น้อย
โม่ถิงเซียวได้ยินเช่นนั้นจึงเงยหน้าขึ้นมามองตาเธอ สักพักเขาก็พยักหน้า : “อืม”
…………..
ภายในวันนั้นมู่นวลนวลก็ย้ายออกไปเลย
ห้องที่เธอเช่าอยู่ห่างจากอพาร์ทเมนต์ของโม่ถิงเซียวออกไปไกลมาก
แต่ที่นั้นสะอาดและบรรยากาศดี
ตอนเย็นเธอและเซินเหลียงออกไปทานข้าวด้วยกัน
เรื่องลูกของเธอ เซินเหลียงยังไม่รู้เรื่อง
มู่นวลนวลคิดแล้วคิดอีก ถึงอย่างไรไม่ช้าก็เร็วเธอก็ต้องรู้เรื่องนี้อยู่ดี มู่นวลนวลจึงตัดสินใจบอกกับเธอ
“ไม่เจอแล้ว?” เซินเหลียงได้ยินเช่นนั้นจึงตกใจมาก : “อะไรเนี่ย พวกเขาบ้าไปแล้วหรอ? เด็กตัวเล็กขนาดนั้นจะทำอะไรได้ พวกเขาพาตัวเด็กไปทำไม? ยังมีความเป็นคนอยู่ไหม!!”
มู่นวลนวลก้มหน้าไม่พูดจา
ตอนแรกคือเรื่องแม่ของโม่ถิงเซียว ต่อมาคือเรื่องของเจ้าสัวมู่ มันแสดงให้เห็นชัดเจนว่าพวกเขาไม่มีความเป็นคนหลงเหลืออยู่แล้ว
เซินเหลียงโม่โหจนเกือบจะร้องไห้ มู่นวลนวลรินน้ำให้เธอ: “ฉันเชื่อว่าคนดีย่อมมีสิ่งศักดิ์สิทธ์คุ้มครอง พวกเราต้องหาเธอเจอ”
แม้ว่าเซินเหลียงจะไม่รู้สึกถึงการปลอบใจ แต่เธอรู้ว่ามู่นวลนวลเจ็บปวดมากกว่าเธอแน่นอน
เซินเหลียงดื่มน้ำในแก้วจนหมด : “ตอนนี้เธอมีแผนอะไร?”
“ตอนนี้ฉันแยกกันอยู่กับโม่ถิงเซียว ต้องหาลูกให้เจอ และชีวิตก็ต้องเดินต่อไป” เธออยากจะหาลูกให้เจอมากกว่าใครๆ แต่ทว่าขนาดโม่ถิงเซียวก็ยังจนปัญญา
เธอไม่ใช่ดอกไม้ในแจกัน เธอได้ริ้มรสความขมขื่นตั้งแต่เด็ก และไม่มีสิ่งใดที่จะล้มเธอได้
ตอนนี้เซินเหลียงไม่รู้จะพูดอะไรต่อ เธอจึงเปลี่ยนหัวข้อการพูดคุย : “อืม เมื่อก่อนที่เธอเซ็นสัญญาทำสคริปต์กับฉินซุ่ยยซานเริ่มถ่ายรึยัง?”
“อยู่ในช่วงเตรียมการขั้นสุดท้าย น่าจะใกล้แล้ว” ตัวมู่นวลนวลเองก็ไม่ค่อยแน่ใจเท่าไหร่ เพราะครั้งสุดท้ายที่เธอแก้สคริปต์ก็ไม่ได้ติดต่อกับฉินซุ่นซานเลย
เซินเหลียงบอกเธอ : “งั้นก็โทรหาเธอสิ ถึงตอนที่เริ่มถ่ายเธอก็ไปดูในกองได้ ไม่แน่พวกเขาอาจต้องการให้เธอคอยชี้แนะ……………..”
มู่นวลนวลพยักหน้า
ตอนนี้เธอต้องการทำอะไรสักอย่าง
วันที่สอง เธอก็ได้รับสายจากฉินซุ่ยซาน
ฉินซุ่ยซานพูดกับเธออย่างไม่เกรงใจ : “ได้ยินว่าเธอกลับมาแล้ว? กลับมาแล้วทำไมไม่ติดต่อฉัน เธอได้รับเงินแล้วก็ไม่เห็นหัวใครหรอ?”
มู่นวลนวลไม่ได้มีโอกาสพูดหยอกล้อกับเธอบ่อยนัก : “เธอรู้แล้วยังจะโทรหาฉันอีกหรอ?”
ฉินซุ่ยซานโมโหมากและหัวเราะออกมา: “มู่นวลนวล นี้เธอหยิ่งหรอ?”
มุ่นวลนวลแอบขำ แล้วพูดอย่างจริงจัง : “ไม่กล้า พรุ่งนี้ฉันเลี้ยงกาแฟคุณ?”
“โอเค” ฉินซุ่ยซานตอบรับอย่างไว
สถานที่หายากมาก พอฉินซุ่ยซานมาถึงก็มีน้ำโห : “เธอหาสถานที่ที่แย่มาก ฉันหาที่นี่ครึ่งชั่วโมง วนรอบอยู่ที่เดิม!”
“ถ้างั้นฉันเลี้ยงเธอสองแก้ว” มู่นวลนวลพูดจบก็เรียกพนักงาน
ฉินซุ่นซานสั่งกาแฟสองแก้วจริงๆ
มู่นวลนวลพูดไม่ออก ผู้หญิงคนนี้บางครั้งก็ทำตัวเหมือนเด็ก
ฉินซุ่นซานใส่น้ำตาลลงในกาแฟพร้อมพูดกับเธอ : “เธอกลับมาก็ดีแล้ว มะรืนนี้ภาพยนต์เรื่องเมืองที่สาบสูญจะเริ่มถ่ายแล้ว ถึงตอนนั้นวันเปิดกล้องเธอก็ไปด้วย”
มู่นวลนวลพยักหน้า : “อืม”
เป็นครั้งแรกที่สคริปต์ของเธอกำลังจะเปิดกล้องถ่ายอย่างเป็นทางการ เธอต้องไปแน่นอน
ฉินซุ่ยซานเห็นเธอตอบรับแบบง่ายๆ จึงเตือนเธอ : “เมื่อก่อนเธอเคยมีประเด็นข่าว ถึงตอนนั้นอาจจะสื่อเล่นงาน เพราะฉนั้นเตรียมใจไปให้พร้อม”
มู่นวลนวลทำเป็นล้อเล่นและจริงจังพูดกับเธอ : “แบบนี้ไม่ดีหรอ? สร้างประเด็นให้กับภาพยนต์เมืองที่สาบสูญด้วย มีข่าวร้อนมาก่อน ไม่แน่อาจจะทำให้ภาพยนต์ดังก่อนจะฉายก็ได้”
“ถุย!” ฉินซุ่นซานเบิกตากว้าง : “ทองมันมีคุณค่าอยู่ในตัวไม่ช้าก็เร็วคนอื่นก็ต้องมองเห็น ใครหวังจะใช้วิธีนี้มาสร้างประเด็น!”