ปล่อยให้โม่ชิงโกรธมากจนควันขึ้นหัว โม่ถิงเซียวก็ยังคงดูเยือกเย็นและสงบนิ่ง:“แต่ตอนนี้ฉันยังไม่รับรู้ถึงคุณประโยชน์ที่โม่กรุ๊ปมอบให้ฉัน”
โม่ชิงเฟิงตะคอกอย่างเย็นชา:“ที่แกกินที่แกใช้ รวมทั้งชื่อเสียงของแก มีอะไรที่ตระกูลโม่ไม่ได้มอบให้แก!”
“ฉันไม่เอาสิ่งเหล่านี้ก็ได้ ต่อให้ไม่มีตระกูลโม่ ฉันก็ยังคงเป็นโม่ถิงเซียว แล้วคุณล่ะ?ถ้าไม่มีตระกูลโม่ คุณจะเป็นใคร?” โม่ถิงเซียวพูดอย่างตรงไปตรงมามากเกินไป จนแทบจะฉีกหน้าโม่ถิงเซียว
“แกคิดว่าตัวเองปีกกล้าขาแข็งแล้ว?” หลังจากที่โม่ชิงเฟิงพูดจบก็หัวเราะอย่างเย็นชา :“แกก็สามารถลองลงมือกับโม่กรุ๊ปได้นะ”
บรรยากาศในห้องอาหารเริ่มตึงเครียด
ทั้งสองคนนั่งมองหน้ากันอยู่สักพัก ก่อนที่โม่ถิงเซียวจะกัดฟันพูดออกมาประโยคหนึ่ง:“ลูกสาวของฉันอยู่ที่ไหน?”
“ฉันจะรู้ได้ยังไงว่าลูกสาวของแกอยู่ที่ไหน?เธอไม่ได้ถูกแกซ่อนไว้หรอ?” รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของโม่ชิงเฟิง แต่รอยยิ้มนั้นยังไม่ถึงก้นบึ้งดวงตาของเขา
โม่ถิงเซียวกำหมัดแน่นอยู่ใต้โต๊ะ และมีกลิ่นอายเยือกเย็นปรากฏขึ้นที่หว่างคิ้วของเขา
ในความทรงจำของโม่ชิงเฟิง อันที่จริงตอนที่โม่ถิงเซียวเป็นเด็ก เขาค่อนข้างน่ารัก แต่หลังจากการตายของแม่เขา ทั้งสองคนพ่อลูกยิ่งนานก็ยิ่งกลายเป็นคนแปลกหน้า
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ออร่าบนตัวโม่ถิงเซียวยิ่งนานก็ยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ เห็นได้ชัดว่าเป็นลูกชายแท้ๆของเขา แต่ส่วนใหญ่แล้วจะทำให้เขาไม่สามารถหยั่งรู้ได้เลย
ด้วยเหตุนี้ทำให้บางครั้งโม่ชิงเฟิงก็รู้สึกหวาดกลัวโม่ถิงเซียว
แต่โม่ถิงเซียวมีจุดอ่อนที่อันตราย นั่นก็คือความรักที่มากเกินไป
ตราบใดที่เขาจับกุมจุดอ่อนของโม่ถิงเซียวไว้ก็เพียงพอที่จะควบคุมเข้าได้
เมื่อนึกถึงตรงนี้ สีหน้าของโม่ชิงเฟิงก็เปลี่ยนเป็นมีเลศนัย :“หลานสาวของฉันต้องเป็นเด็กน้อยที่น่ารักแน่ๆ ถ้ามีเวลาอย่าลืมพากลับไปที่บ้านเก่านะ ถึงอย่างไรก็เป็นสายเลือดของตระกูลโม่ ความขัดแย้งระหว่างเรา ไม่เกี่ยวกับเธอ”
หลังจากที่เขาพูดจบก็เหลือบไปมองโม่ถิงเซียวอย่างลึกซึ้ง แล้วลุกขึ้นเดินออกไป
เมื่อโม่ชิงเฟิงออกไป คนรับใช้ที่ยืนอยู่นอกห้องอาหารก็เรียกด้วยความเคารพ “คุณโม่”
ในวินาทีถัดมาก็มีเสียงจานแตกตกลงที่พื้นในห้องอาหาร
เสียงนั้นคมชัดและแสบแก้วหู
คนรับใช้เดินเข้ามาด้วยความตื่นตระหนก และเห็นโม่ถิงเซียวก้มหน้าและโค้งตัวลง ฝ่ามือทั้งสองวางอยู่บนโต๊ะอาหาร และกลิ่นอายความดุร้ายก็ปกคลุมไปทั่วตัวของเขา
ที่พื้นมีของกระจัดกระจาย มีทั้งเศษอาหารที่กินไม่หมดและเศษถ้วยชามที่แตก มองดูก็รู้ว่าโม่ถิงเซียวกวาดสิ่งของเหล่านั้นตกลงมาที่พื้น
คนรับใช้เดินไปข้างหน้าอย่างระมัดระวังและไม่กล้าถามเยอะ:“คุณชายโม่ ฉันจะทำความสะอาดตรงนี้หน่อย……”
โม่ถิงเซียวไม่สนใจเธอ
เมื่อคนรับใช้เห็นว่าโม่ถิงเซียวไม่สนใจเธอ เธอจึงเรียกให้คนรับใช้อีกสองคนเข้ามาทำความสะอาดในห้องอาหาร
โม่ถิงเซียวนั่งหัวห้อย แววตาของเขาดูกระหายเลือดและโหดร้าย
สิ่งที่โม่ชิงเฟิงพูด แสดงให้เห็นว่าถึงแม้เขาจะปฏิเสธว่าไม่ได้จับตัวโม่มู่ไป แต่ประโยคสุดท้ายนั้นเป็นการข่มขู่เขาอย่างชัดเจน
เห็นได้ชัดถึงนัยยะที่แฝงอยุ่ในคำพูดของโม่ชิงเฟิง ถ้าพวกเขาทั้งสองคนมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน โม่มู่ก็จะไม่เป็นอะไรอย่างแน่นอน
สิ่งที่ตรงกันข้ามคือยากที่จะพูดว่าเขาจะปฏิบัติกับโม่มู่อย่างไร
เขาถือไพ่เหนือกว่า เป็นคำอธิบายที่ดีที่สุดอยู่แล้ว
โม่มู่ถูกโม่ชิงเฟิงจับตัวไป และจุดประสงค์ของเขาคือใช้โม่มู่เพื่อข่มขู่โม่ถิงเซียว
แม้ว่าความสัมพันธ์ของเขาและโม่ชิงเฟิงจะเย็นชามาก แต่ต่างฝ่ายต่างก็ยังไม่เคยลงมือกันจริงๆ
เขาคิดไม่ถึงว่าโม่ชิงเฟิงจะมุ่งเป้ามาที่โม่มู่
โม่ชิงเฟิงสามารถทำได้ทุกอย่าง และโม่ถิงเซียวก็ยิ่งแน่ใจว่าโม่ขิงเฟิงต้องปกปิดความจริงบางอย่างเกี่ยวกับแม่ของเขาในตอนนั้น
และเรื่องของเจ้าสัวโม่ก็ต้องมีอะไรปิดบังด้วยเช่นกัน
แต่เรื่องราวก็เป็นไปตามลำดับ
โม่ถิงเซียวคิดว่านอกจาก “อุบัติเหตุ” เป็นไปได้มากว่าจะเป็นที่มาของคดีลักพาตัวในปีนั้น
……
ไม่รู้ว่าซือเฉิงยวี่กับโม่เจียเฉินเกลี้ยกล่อมโม่เหลียนยังไง ในคืนวันนั้นโม่เหลียนถึงตัดสินใจกลับมาเซี่ยงไฮ้กับพวกเขา
แต่ถึงอย่างไรโม่ถิงเซียวไม่สนใจเหตุผล
เขากับซือเย่ขึ้นเครื่องบินกลับมาเซี่ยงไฮ้กลางดึก
ทันทีที่โม่ถิงเซียวกลับมาถึงเซี่ยงไฮ้ เขาก็ตรงไปหามู่นวลนวล
แต่เมื่อเขาไปที่ห้องพักของมู่นวลนวล เขากลับพบเพียงว่างเปล่า
มู่นวลนวลไม่อยู่บ้าน เขาจึงต้องโทรหาเธอ
ทันทีที่รับสาย เขาก็ถามว่า:“อยู่ที่ไหน?”
ช่วงนี้มู่นวลนวลยุ่งอยู่กับงาน และใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ที่กองถ่าย บางครั้งเธอก็ตามฉินซุ่ยซานไปที่กองถ่ายอื่น
ตอนที่โม่ถิงเซียวโทรศัพท์หาเธอ เธอกับฉินซุ่ยซานก็เพิ่งกลับมาจากกองถ่ายภาพยนตร์เรื่องเมืองที่สาบสูญ
เมื่อมู่นวลนวลได้ยินเขาพูดอย่างนั้น เธอก็ถามด้วยความประหลาดใจ :“คุณกลับมาแล้ว!”
น้ำเสียงของเธอดูตื่นเต้นดีใจ เขาขมวดคิ้ว จากนั้นความตึงเครียดของเขาก็หายไป :“อยู่ไหน ฉันจะไปหาเธอ”
มู่นวลนวลมองไปรอบๆ และวิ่งไปคุยโทรศัพท์ที่มุมมุมหนึ่ง:“ฉันอยู่ที่กองถ่าย ฉันจะกลับไปหาคุณเอง”
โม่ถิงเซียวเป็นคนที่มีชื่อเสียง ที่สตูดิโอมีคนจำนวนมาก โม่ถิงเซียวมาก็คงไม่สะดวก
แต่โม่ถิงเซียวเพิกเฉยต่อข้อเสนอของเธอและตัดสินใจด้วยตัวเอง :“รอฉันนะ”
“คุณจะมาที่นี่ไม่ได้……ฮัลโหล?”มู่นวลนวลหยิบโทรศัพท์มาดู และพบว่าโม่ถิงเซียววางสายไปแล้ว
ในอีกด้านหนึ่ง หลังจากที่โม่ถิงเซียววางสายก็บอกซือเย่ว่า :“ไปที่สตูดิดอ”
ซือเย่พยักหน้า และขับรถไปที่สตูดิโอ
……
เมื่อเขามาถึงสตูดิโอ โม่ถิงเซียวก็สั่งให้ซือเย่กลับไปก่อน
มู่นวลนวลน่าจะขับรถมาเอง ขากลับเขาจะกลับไปกับมู่นวลนวล
เขาไม่รู้ว่ามู่นวลนวลอยู่ที่ไหน จึงทำได้แค่รอเธออยู่ที่ทางเข้าสตูดิโอ
เขายืนอยู่ใต้ต้นไม้ริมถนน และส่งข้อความหามู่นวลนวลว่า :“ฉันถึงแล้ว อยู่ที่ทางเข้า”
ทันทีที่มู่นวลนวลได้รับข้อความเธอก็วิ่งออกไป
เมื่อฉินซุ่ยซานเห็นก็ถามว่า :“นวลนวล วันนี้เธอกลับเร็วจัง?”
มู่นวลนวลวิ่งออกไป และหันกลับมาพูดกับเธอว่า:“ฉันมีธุระนิดหน่อย กลับก่อนนะ”
“โอเค งั้นเธอไปเถอะ”
“บ๊ายบาย”
หลังจากมู่นวลนวลออกมา เธอมองไปรอบๆ แต่ก็ไม่เห็นโม่ถิงเซียว
ทันใดนั้นก็มีผู้ชายใส่เสื้อกันหนาวสีเขียวแขนสั้นเดินเข้ามาหาเธอ
ผู้ชายคนนี้สวมหมวกแก๊ปสีดำ ปีกหมวกถูกกดลงต่ำมากเพื่อปกปิดใบหน้าและสวมกางเกงสแล็กสีดำที่ดุสบายๆ
แม้ว่าจะมองเห็นใบหน้าของเขาไม่ชัดเจน แต่เธอก็สัมผัสได้ถึงออร่าที่เปล่งออกมาจากชายคนนั้น
ดูคุ้นๆ……
จนกระทั่งชายคนนั้นเดินมาข้างหน้าเธอ มู่นวลนวลเบิกตากว้างและไม่อยากจะเชื่อ :“โม่……โม่……”
เธอประหลาดใจมากจนพูดชื่อเขาไม่ออก
โม่ถิงเซียวดึงหมวกขึ้นและเลิกคิ้วมองเธอ เขาพูดด้วยน้ำเสียงไม่สะทกสะท้าน :“ฉันไปต่างประเทศแค่เจ็ดแปดวันเอง เธอก็พูดติดอ่างแล้วหรอ?”