เมื่อซือเฉิงยวี่ได้ยินอย่างนั้นก็ถามว่า:“เธอมีวิธีติดต่อเขาไหม?”
มู่นวลนวลหยุดชะงัก:“มี”
ตั้งแต่เธอกลับมาเธอก็ไม่ได้ติดต่อกับโม่เจียเฉินมากนัก บางครั้งโม่เจียเฉินก็ส่งวีแชทมาหาเธอ ทักสองคนเพียงแค่ทักทายกันอย่างเรียบง่ายเท่นั้น
หลังจากที่ซือหมิงฮวนเกิดเรื่อง เธอเป็นห่วงโม่เจียเฉิน แต่ก็ไม่ได้ไปหาเขา
ถึงอย่างไรตอนนี้เธอก็ “ไม่ใช่ภรรยาของโม่ถิงเซียว” เธอจะรู้ได้อย่างไรว่าซือหมิงฮวนประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์
ตอนนี้ซือเฉิงยวี่เป็นฝ่ายมาหาเธอ และให้เหตุผลว่าอยากให้เธอไปหาโม่เจียเฉิน
ซือเฉิงยวี่พยักหน้า และพูดด้วยน้ำเสียงซาบซึ้งว่า:“รบกวนเธอแล้ว”
“ถ้าฉันรู้ว่าเกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้กับโม่เจียเฉิน ไม่ต้องให้คุณมาบอก ฉันก็จะไปหาเขาด้วยตัวเอง” มู่นวลนวลพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาและห่างเหิน
ไม่รู้ว่าซือเฉิงยวี่กำลังคิดอะไรอยู่ สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปเล็กน้อย จากนั้นเขาก็ยิ้มจางๆ
……
หลังจากที่ซือเฉิงยวี่จากไป มู่นวลนวลก็โทรหาโม่ถิงเซียว
โม่ถิงเซียวกำลังเตรียมตัวจะประชุม เมื่อเห็นว่ามู่นวลนวลโทรเข้ามา เขาก็หยิบโทรศัพท์ละลุกขึ้นเดินออกไป
โม่งเซียวเดินออกไปนอกห้องประชุม และถามเธอด้วยเสียงต่ำ:“มีอะไร?”
“เมื้อกี้ซือเฉิงยวี่มาหาฉัน”
“เขามาหาเธอทำไม?” โม่ถิงเซียวขมดคิ้วและพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา เห็นได้ชัดว่าเขากับมู่นวลนวลระแวดระวังซือเฉิงยวี่เหมือนกัน
“เขาบอกเรื่องอาเขยของคุณ และถ้าฉันพอมีเวลาให้ฉันไปพูดคุยเป็นเพื่อนเสี่ยวเฉิน” มู่นวลนวลเล่าสิ่งที่ซือเฉิงยวี่พูดกับเธอให้โม่ถิงเซียวฟัง
โม่ถิงเซียวเงียบไปชั่วขณะ ก่อนที่เขาจะพูดว่า:“แล้วเธอเต็มใจไหม?”
“แน่นแนว่าฉันเต็มใจ” มู่นวลนวลหยุดชะงักและพูดต่อว่า:“อันที่จริงฉันรู้สึกว่าเสี่ยวเฉินชอบฉันมาก ถ้าคุณพอมีเวลาก็ไปปลอบเขาหน่อย”
แม้ว่าเธอกับโม่เจียเฉินจะอยู่เคยด้วยกันมาระยะหนึ่ง แน่นอนว่าทั้งสองมีความผูกพันธ์กัน แต่เธอคิดว่าในใจของโม่เจียเฉิน โม่ถิงเซียวเป็นคนที่สำคัญมากที่สุด
โม่ถิงเซียวพูดด้วยน้ำเสียงเฉยเมยว่า:“ฉันไม่มีเวลา เธอไปหาเขาเถอะ อีกเดี๋ยวฉันจะประชุมแล้ว วางสายแล้วนะ”
“อ้อ”
มู่นวลนวลวางสาย และถือโทรศัพท์ด้วยความงุนงง โม่ถิงเซียวคงไม่โทษตัวเองใช่ไหม?
ในตอนนั้นซือหมิงฮวนเดินทางไปตามนัดของโม่ถิงเซียว แต่เขาเสียชีวิตในที่เกิดเหตุ ด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์บนถนนทางเข้าร้านกาแฟที่ทั้งสองคนนัดกันไว้
เมื่อฟังดูแล้วก็รู้สึกแปลกๆ แต่นี่เป็นเรื่องจริง
ดูจากท่าทางของโม่ถิงเซียวแล้ว เขาก็ไม่เชื่อว่าเป็นอุบัติเหตุทางรถยนต์……
ช่างเถอะ คิดไม่ออกก็ไม่ต้องคิด
ในตอนกลางคืน มู่นวลนวลส่งวีแชทหาโม่เจียเฉิน
“เสี่ยวเฉิน ทำอะไรอยู่?”
หลังจากนั้นไม่กี่นาทีโม่เจียเฉินก็ตอบว่า:“ทำการบ้าน”
มู่นวลนวลดูปฏิทินและเห็นว่าอีกไม่กี่วันจะเป็นเดือนกันยายน โม่เจียเฉินและคนอื่นๆ กำลังจะเปิดเทอม
“ยังเหลืออีกเยอะไหม?ถ้ามีเวลาพรุ่งนี้ไปกินข้าวกัน?”
“อื้ม”
เมื่อมู่นวลนวลเห็น “อื้ม” คำนี้ของโม่เจียเฉิน เธอก็ไปต่อไม่ถูก
เด็กคนนี้มักจะคุยวีแชทแชทกับเธอและพูดคุยไปเรื่อยๆ แต่ตอนนี้เขาเกือบจะเปลี่ยนเป็นเหมือนกับโม่ถิงเซียวที่พูดอะไรไม่ให้มากความเกินไปนัก
หลังจากนั้นมู่นวลนวลก็ส่งเวลาและสถานที่ที่จะเจอกันให้กับโม่เจียเฉิน
……
วันต่อมา มู่นวลนวลมาถึงร้านอาหารที่จองไว้ตรงเวลา
เธอกับโม่เจียเฉินเคยมากินที่ร้านนี้มาก่อน
โม่เจียเฉินก็มาตรงเวลามาก ทันทีที่มู่นวลนวลก้าวเท้าเข้ามา โม่เจียเฉินก็ตามมาข้างหลัง
สีหน้าของโม่เจียเฉินไม่ค่อยดีนัก สีหน้าของเขาซีดและไม่มีเลือดฝาด ผมหยิกและยาวจนปิดดวงตา ดูเหมือนเด็กที่กลัดกลุ้มไม่เบิกบาน
เขาสะพายเป้ สวมเสื้อแขนสั้นสีขาว และกางเกงขายาวคลุมเข่าสีเทา เขาดูผอมลงมาก
เขามองไปที่ประตูทางเข้า และเห็นมู่นวลนวลนั่งอยู่ที่ริมหน้าต่าง
“พี่นวลนวล” โม่เจียเฉินนั่งลงตรงข้ามมู่นวลนวล
เขาถอดกระเป๋าออกมาวางข้างๆ แล้วเงยหน้ามองไปที่มู่นวลนวล
แต่ผมที่หยิกและยาวมากจนเกินไป ทำให้มู่นวลนวลมองไม่เห็นดวงตาของเขา เธอรู้สึกว่าตอนนี้เขาหงอยเหงาเศร้าซึมเหมือนลูกหมา เห็นแล้วก็สงสารและเป็นห่วง
มู่นวลนวลไม่ได้เจอเขามาระยะหนึ่งแล้ว
เธอยิ้มให้โม่เจียเฉินและถามว่า:“ตรงเวลามาก แต่นายควรตัดผมได้แล้วนะ”
“สองวันมานี้ผมยุ่งอยู่กับการทำการบ้าน อีกสองวันก่อนที่จะเปิดเทอมฉันจะไปตัด” โม่เจียเฉินจับผมของตัวเอง และพูดอย่างเขินอาย
มู่นวลนวลถามอย่างไม่แน่ใจ:“อีกเดี๋ยวฉันจะไปเป็นเพื่อนนายตัดผม”
โม่เจียเฉินฟังที่มู่นวลนวลพูดแล้วพยังหน้าอย่างเชื่อฟัง:“อื้ม”
“สั่งอาหารกันเถอะ” มู่นวลนวลผลักเมนูไปข้างหน้าเขา
โม่เจียเฉินสั่งอาหารไปสองอย่าง และส่วนที่เหลือมู่นวนวลเป็นคนสั่ง
อย่างไรก็ตามโม่เจียเฉินไม่ได้กินมากนัก ก่อนหน้านี้เขาเป็นเด็กที่กินเก่ง แต่ตอนนี้เขากินได้ไม่ถึงครึ่งหนึ่งของมู่นวลนวลด้วยซ้ำ
มู่นวลนวลเห็นแล้วรู้สึกเศร้าใจ
มู่นวลนวลตักอาหารให้เขา:“กินอีกสักหน่อยสิ?”
“ไม่อยากกินแล้ว” โม่เจียเฉินส่ายหัว
“ก็ได้ งั้นเราไม่กินแล้ว ไปหาร้านตัอผมให้นายกัน” มู่นวลนวลเรียกพนักงานให้มาเช็คบิล และเตรียมจะพาโม่เจียเฉินไปตัดผม
ทันทีที่ทั้งสองคนออกจากร้านอาหารก็ถูกบอดี้การ์ดขวางไว้
สายตาของพวกเขามองมาที่โม่เจียเฉิน หนึ่งคนในนั้นก้าวออกมาแล้วส่งเสียงเรียกโม่เจียเฉิน:“คุณชาย”
มู่นวลนวลหันไปมองโม่เจียเฉิน
โม่เจียเฉินขมวดคิ้วและพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาที่หาได้ยาก:“พวกนายตามฉันมาทำไม?ฉันไม่ได้จะไปตาย!ฉันกลับไปเองได้”
ในขณะที่พูดเขาไม่ได้มีท่าทีใดๆ แต่มีกลิ่นอายของความเยือกเย็นที่ค่อนข้างคล้ายกับโม่ถิงเซียว
เมื่อมู่นวลนวลได้ยินเขาพูดอย่างนี้ก็อดไม่ได้ที่จะหันไปมอง
แน่นอนเธอรู้ว่าคนเหล่านี้ น่าจะเป็นตระกูลโม่ส่งให้มาคุ้มครองโม่เจียเฉิน
บอดี้การ์ดไม่ได้พูดอะไร
โม่เจียเฉินหันมามองมู่นวลนวล:“พี่นวลนวล เราไปกันเถอะ”
พวกเขาสองคนเดินไปข้างหน้าและบอดี้การ์ดที่ขวางอยูก็หลีกทางให้
มู่หลานนวลยังคงแปลกใจเล็กน้อยที่บอดี้การ์ดเหล่านี้จะหลีกทางให้ แต่ทันทีที่เธอเงยหน้าขึ้น เธอก็เห็นโม่เหลียนกำลังเดินมาทางนี้
โม่เหลียนเดินมาอย่างเร่งรีบ สายตาของเธอมองมาที่โม่เจียเฉิน โดยไม่ได้สนใจมู่นวลนวลเลยแม้แต่น้อย
“เสี่ยวเฉิน ทำไมลูกถึงออกมาข้างนอกคนเดียวล่ะ?ลูกไม่รู้หรอว่าแม่เป็นห่วงมากแค่ไหน” โม่เหลียนเดินเข้ามา และสังเกตเขาอย่างละเอียด ราวกับจะดูว่าเขาได้รับบาดเจ็บหรือไม่
“แขนขาของผมยังอยู่ครบ และสมองก็ปกติ ผมอายุสิบห้าแล้ว แล้วก็โตมาในประเทศ ทำไมจะออกมาข้างนอกคนเดียวไม่ได้?”
มู่นวลนวลฟังออกว่าน้ำเสียงของโม่เจียเฉินนั้นแข็งกร้าว ยิ่งไปกว่านั้นโม่เหลียนเป็นแม่ผู้ให้กำเนิด
สีหน้าซีดเซียวของโม่เหลียนก็เปลี่ยนเป็นซีดขาวในทันที:“อม่ก็แค่เป็นห่วงลูก”
“ผมสบายดี แม่ไม่ต้องเป็นห่วง แม่กลับไปได้เลย” หลังจากที่โม่เจียเฉินพูดจบก็หันกลับไปมองมู่นวลนวล