โม่ถิงเซียวยัดแก้วน้ำใส่มือของมู่นวลนวล:“พวกเขาไม่จำเป็นต้องพิสูจน์ว่าเธอได้ยินความลับของพวกเขาหรือไม่ เพียงแค่พวกเขารู้สึกว่ามีคนจะขมขู่พวกเขา พวกเขาก็จะทำทุกวิธีทาง”
มือของมู่นวลนวลเย็นเฉียบ
โม่ถิงเซียวจับมือของเธอ:“กลัวไหม?”
มู่นวลนวลไม่ได้ตอบคำถามของเขา จู่ๆเธอก็สะอื้นและถามว่า:“จะเกิดอะไรขึ้นกับโม่มู่ไหม?”
โม่ชิงเฟิงและพวกเขาไม่ได้ด้วยเล่ห์ก็เอาด้วยกล มู่นวลนวลไม่กล้าคาดหวังว่าพวกเขาจะมีความเมตตากับเด็กทารก
โม่ถิงเซียวพูดกับเธออย่างเด็ดขาดว่า:“ไม่หรอก พวกเขาต้องการให้ฉันทำงานให้กับโม่กรุ๊ป พวกเขาคงจะไม่ทำร้ายโม่มู่”
เมื่อมู่นวลนวลได้ยินอย่างนั้น สีหน้าของเธอก็ดีขึ้น เธอก้มหน้าไม่รู้ว่ากลังคิดอะไรอยู่
โม่ถิงเซียวไม่พูดอะไร เขาจับมือเธอไว้โดยไม่พูดไม่จา
หลังจากนั้นไม่นานมู่นวลนวลก็พูดว่า:“ฉันไม่เข้าใจว่าพวกเขาต้องการปิดบังอะไร ถึงได้ทำเรื่องมากมายอย่างนี้!”
โม่ถิงเซียวถามเธอ:“ยังจำได้ไหมว่าก่อนที่จะเกิดเรื่องขึ้นกับคุณปู่ เขาให้เธอมาบอกฉันว่าให้ฉันไปหาเขา?”
มู่นวลนวลพยักหน้า:“จำได้”
“ตอนนั้นคุณปู่บอกว่าต้องการให้ฉันอยู่ที่บ้านเก่าในช่วงปีใหม่อย่างสบายใจ แล้วเขาจะบอกฉันทุกอย่างที่ฉันอยากรู้” สายตาของโม่ถิงเซียวดุดัน:“รวมถึงความจริงเกี่ยวกับคดีลักพาตัวในปีนั้นด้วย”
โม่ถิงเซียวไม่เคยบอกเรื่องนี้กับมู่นวลนวลเลย
เหตุผลหลักๆคือเขาไม่อยากให้มู่นวลนวลรู้เรื่องของตระกูลโม่มากเกินไป เพราะมันจะไม่ดีกับตัวเธอเอง
มู่นวลนวลคิดมาก
“ดังนั้น พ่อของคุณจึงพยายามปกปิดความจริงในปีนั้นหรอ?เขาต้องการปิดปากทุกคนที่อาจจะรู้ความจริงใช่ไหม?”
มู่นวลนวลพูดถึงตรงนี้แล้วก็หยุดชะงัก เธอขมวดคิ้ว:“พวกเขาคิดว่าฉันได้ยินสิ่งที่พวกเขาพูด และคุณปู่ต้องการบอกความจริงกับคุณ ดังนั้นคุณปู่กับฉันจะมีชีวิตอยู่ต่อไปไม่ได้”
โม่ถิงเซียวเงียบไม่พูดไม่จา
ความเงียบอาจจะเป็นคำตอบ
หลังจากนั้นไม่นานมู่นวลนวลก็พูดเบาๆว่า:“สิ่งที่ฉันเห็นในวันส่งท้ายปีเก่าคือคุณอากับพ่อของคุณเข้าไปในห้องด้วยกัน ถ้าพวกเขาต้องการปกปิดความจริงเรื่องคดีลักพาตัวในปีนั้น อย่างนั้นก็นั่นหมายความว่าพวกเขาเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดกัน คุณอาของคุณมีส่วนร่วมในคดีของปีนั้นด้วย?”
ดูเหมือนว่าโม่ถิงเซียวจะอ่อนเพลีย เขายื่นมือมานวดหว่างคิ้ว พิงโซฟาด้วยสายตาที่อ่อนล้า และพูดอย่างเย็นชาว่า:“พ่อของเธอก็เคยบอกว่าเห็นคุณอาของฉันในที่เกิดเหตุ”
มู่นวลนวลเม้มริมฝีปาก:“คุณปิดบังฉันมานานแค่ไหนแล้ว?”
แต่เธอรู้ว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาสนใจเรื่องนี้
“เพราะคุณปู่ของฉันเห็นคุณอาของคุณ เขาจึงถูกพ่อของคุณจัดการให้ไปอยู่ต่างประเทศ ‘จนเกษียณ’ ?” ดังนั้นทุกอย่างจึงสมเหตุสมผล
มู่นวลนวลแนะนำ:“ถ้าไม่อย่างนั้น เราลองไปถามเรื่องนี้กับคุณปู่ของฉันหน่อยไหม”
แต่โม่ถิงเซียวปฏิเสธข้อเสนอของเธอ:“ไม่ต้องหรอก”
“แต่ว่า……”
มู่นวลนวลยังมีอะไรจะพูด แต่โม่ถิงเซียวก็พูดขัดจังหวะเธอ:“ดึกมากแล้ว ไปเตรียมตัวนอนเถอะ”
มู่นวลนวลดูออกว่าโม่ถิงเซียวไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้อีก เธอจึงไม่พูดอะไร
เมื่อก่อนโม่ถิงเซียวใกล้ชิดกับโม่เหลียน และโม่เหลียนยังเป็นเพื่อนสนิทของแม่โม่ถิงเซียว ถ้าคดีลักพาตัวในปีนั้นกับโม่เหลียนมีส่วนเกี่ยวข้องกัน อย่างนั้น……
แล้วทำไมพวกเขาต้องทำอย่างนั้นกับโม่ถิงเซียวและแม่ของเขาด้วยล่ะ?
สำหรับแม่ของโม่ถิงเซียว คนหนึ่งคือสามีที่สนิทที่สุดของเธอ และอีกคนเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของเธอ
ทั้งสองคนนี้ร่วมมือกันทำร้ายเธอจริงหรอ?
โม่ถิงเซียวลุกขึ้นยืนและเห็นมู่นวลนวลยังคงนั่งอยู่บนโซฟา เขายื่นมือไปหิ้วเธอขึ้นมาอย่างไม่อ่อนโยนเลยสักนิด
มู่นวลนวลร้องอุทาน โม่ถิงเซียวก็ยื่นมือมาปิดริมฝีปากของเธอ เพื่อบอกใบ้ไม่ให้เธอพูด
ใบหน้าของเขาจริงจังและเคร่งขรึมอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน:“มู่นวลนวล เธอไม่สามารถเข้ามาแทรกแทรกเรื่องนี้ได้ ห้ามไปพบคุณปู่ของเธอ และห้ามสอบถามข่าวใดๆ และยิ่งไม่สามารถไปพบโม่เหลียนหรือโม่ชิงเฟิงคนใดคนหนึ่ง”
แน่นอนว่ามู่นวลนวลไม่ยอม
แต่ท่าทางของโม่ถิงเซียวดูน่ากลัวเกินไป มู่นวลนวลอดทนอดกลั้นอยู่นานก่อนที่จะพูดออกมา
“คุณไม่มีเหตุผล”
โม่ถิงเซียวยังคงพูดต่อด้วยน้ำเสียงสงบ:“งั้นตอนนี้ฉันจะให้เหตุผลกับเธอ ขอเพียงเธอไม่เป็นอะไรฉันก็ไม่เป็นอะไร ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับเธอ นั่นก็หมายถึงชีวิตของฉัน”
น้ำเสียงของเขาไม่มีอารมณ์แปรปรวนใดๆ แต่ทุกคำพูดชัดเจนเข้าไปในหูของเธอจนแสบแก้วหู ทำให้เธอไม่ตอบสนองอยู่สักพัก
เมื่อโม่ถิงเซียวเห็นว่าเธอไม่มีการตอบโต้ เขาก็ขมวดคิ้วและถามว่า:“ได้ยินที่ฉันพูดไหม?”
สีหน้าของมู่นวลนวลงุนงง และถามอย่างไม่แน่ใจ:“ฉันได้ยินแล้ว แต่ไม่เข้าใจความหมายที่คุณพูด คุณพูดอีกรอบได้ไหม?”
โม่ถิงเซียวได้ยินอย่างนั้นแล้วก็หรี่ตา:“อยากฟังอีก?”
มู่นวลนวลพยักหน้า
โม่ถิงเซียวเม้มริมฝีปาก มู่นวลนวลคิดว่าเขาจะพูดอีกรอบจริงๆ เธอจึงตั้งหูขึ้นเพื่อฟังมันอีกครั้ง
หลังจากนั้นไม่นาน โม่ถิงเซียวก็อุ้มเธอขึ้นมาและเดินไปที่ห้องน้ำ
เธออยู่ในอ้อมแขนของเขา และเถียงกับเขาว่า:“คุณไม่ได้บอกว่าจะพูดอีกรอบหรอ?”
“ฉันไม่เคยพูด” โม่ถิงเซียวตอบโต้ด้วยเสียงที่แผ่วเบา
มู่นวลนวลทุบที่หน้าอกของเขาสองทีด้วยความไม่พอใจ:“งั้นคุณถามฉันทำไมว่าอยากฟังอีกรอบไหม!”
“ก็แค่ถามเท่านั้น”
“……”
……
เพราะคืนวันก่อนคุยกับโม่ถิงเซียวนานเกินไป เช้าวันต่อมาตอนที่โม่ถิงเซียวไปบริษัท มู่นวลนวลก็ยังไม่ตื่น
เมื่อเธอตื่นขึ้นมาตะวันก็โด่งฟ้าแล้ว
เธอเอนตัวลงบนเตียงและนิ่งไปสักพัก
ความลับที่โม่ชิงเฟิงกับโม่เหลียนต้องการปกปิดมาโดยตลอด คือความจริงเกี่ยวกับคดีลักพาตัวโม่ถิงเซียวกับแม่ของเขา
มู่นวลนวลครุ่นคิดอยู่สักพักแล้วก็มีแสงสว่างวาบขึ้นมาในใจ สิ่งที่โม่ถิงเซียวต้องการสืบในตอนนี้ไม่ใช่แค่พวกเขาวางแผนลักพาตัวอย่างไร แต่โม่ถิงเซียวต้องการสืบว่าทำไมพวกเขาต้องวางแผนลักพาตัว และทำไมต้องลงมือกับเขาและแม่ของเขาด้วย
พวกเขาอาจไม่ได้ต้องการปกปิดแค่ความจริงเรื่องการลักพาตัว แต่ยังเป็นเหตุผลที่พวกเขาร่วมมือกันวางแผนลักพาตัว
เมื่อมู่นวลนวลคิดอย่างนี้แล้วก็รีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหาโม่ถิงเซียว
โม่ถิงเซียวรับโทรศัพท์และพูดอย่างรวดเร็วว่า:“ตื่นแล้ว”
มู่นวลนวลพูดอย่างกังวลใจว่า:“โม่ถิงเซียว เมื่อกี้ฉันคิดแล้วคิดอีก ฉันคิดว่าตอนนี้สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าการสืบหาสาเหตุที่พวกเขาวางแผนลักพาตัวคือ พวกเขาเป็นคนที่ใกล้ชิดกับคุณและแม่ของคุณมากที่สุด ทำไมจู่ๆถึงกลายเป็นใจดำอำมหิตขนาดนี้ แน่นอนว่าต้องการปกปิดความลับ ฉันสงสัยว่าพวกเขาลงมือกับคุณปู่ และนั่นก็เป็นเหตุผลเดียวกับที่พวกเขาลงมือกับคุณและแม่ของคุณ!”
หลังจากที่โม่ถิงเซียวได้ยินที่มู่นวลนวลพูด เขาก็นิ่งเงียบอยู่นาน
มู่นวลนวลเรียกเขา:“โม่ถิงเซียว?คุณได้ยินที่ฉันพูดไหม?”
“ฟังอยู่” น้ำเสียงของโม่ถิงเซียวดูเศร้าหมอง
เขาไม่ใช่คนที่เปิดเผยอารมณ์ออกมา แต่คนที่เข้าใจเขาจะสามารถรับรู้อารมณ์ของเขาได้จากน้ำเสียง