มู่นวลนวลสามารถคิดเรื่องนั้นได้ เขาคิดไม่ออกได้ยังไงนะ?
แม้ว่าเขาจะวางแผนทำเรื่องที่เลวร้าย แต่เขาก็ค่อยๆเอาสิ่งกีดขวางออก เมื่อความลับที่ดูเหมือนจะเกี่ยวข้องกับความจริงปรากฏขึ้น เขาก็ยังรู้สึกว่ามันไม่น่าเชื่อ
ถึงอย่างไรพวกเขาก็ญาติกัน เลือดย่อมข้นกว่าน้ำ
โม่เหลียนดีกับเขามาโดยตลอด ซืแเฉิงยวี่เคยเป็นพี่ชายที่ดีที่สุดของเขา โม่ชิงเฟิงก็เคยเป็นพ่อที่ทิ้งความทรงจำที่มีความสุขในวัยเด็กของเขา
เขาเย็นชาแต่ไม่เลือดเย็น เมื่อทุกอย่างชี้ไปที่ความจริงที่เป็นไปได้นี้ เขาก็ลังเลอยู่ชั่วขณะ
เขาไม่ได้ไปพิสูจน์ในทันที แต่เขารอบางทีเรื่องอาจจะเปลี่ยนไปในทางที่ดี
แต่ต่อให้มู่นวลนวลจะคิดเรื่องที่ลึกลับซับซ้อนอย่างนี้ได้ แล้วเรื่องนี้จะเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีได้ยังไงล่ะ?
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา มีคนเข้ามาเกี่ยวข้องมากพอแล้ว
เรื่องๆต้องได้รับการแก้ไข
……
ซือเย่พบว่าหลังจากที่โม่ถิงเซียวออกไปเมื่อตอนเช้า เขาก็ยังไม่ได้กลับมา
เขาพยายามโทรหาโม่ถิงเซียว แต่โม่ถิงเซียวก็ไม่รับสาย
เขารู้ว่าเรื่องที่โม่ถิงเซียวไม่มีเหตุผลนั้นเกี่ยวข้องกับมู่นวลนวล และเมื่อเช้าเขาก็สูบบุหรี่ไปมากขนาดนั้น ทั้งสองคนต้องทะเลาะกันอย่างรุนแรงแน่ๆ
ยิ่งคิดก็ยิ่งเป็นกังวลมากขึ้น เขาจึงทำได้เพียงโทรหามู่นวลนวล
เมื่อมู่นวลนวลเห็นว่าเป็นอบอร์ของซือเย่โทรมา เธอก็แปลกใจ:“ซือเย่?มีเรื่องอะไรรึเปล่า?”
“คุณหญิง คุณชายไปหาคุณรึเปล่า?”
ซือเย่ชินกับการเรียกมู่นวลนวลว่า “คุณหญิง” มู่นวลนวลบอกเขาไปหลายครั้งแล้ว เขาก็ยังเรียกอยู่อยางนี้ เมื่อได้ยินที่เขาพูดเธอก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว:“เขาไม่ได้อยู่ที่บริษัทหรอ?”
เมื่อซือเย่ได้ยินเธอพูดอย่างนั้น เขาก้ยิ่งเป้นกังวลมากขึ้น
“เอ่อ……” ซือเย่อยากถามว่าพวกเขาทะเลาะกันหรือเปล่า แต่ก็ยากที่จะพูด
“คุณมีอะไรก็พูดมาตรงๆเลย” มู่นวลนวลผลักโน้ตบุ๊คตรงหน้าเธอออก และคุยโทรศัพท์กับซือเย่อย่างจริงจัง
ซือเย่กัดฟันและถามว่า:“คุณ……ทะเลาะกับคุณชายรึเปล่า?”
การที่เขาเป็นผู้ช่วยพิเศษ ทำให้เขากลายแป็นอย่างนี้ เกรงว่าจะมีไม่มากนัก
นอกจะดูแลตารางงานของโม่ถิงเซียว ตารางกำหนดการและการใช้ชีวิตแล้ว เขาก็ต้องใส่ใจกับอารมณ์ความรู้สึกของโม่ถิงเซียวด้วย……
มู่นวลนวลปฏิเสธทันที:“ใครจะกล้าทะเลาะกับเขา!ไม่ได้มีอะไร”
เธอกล้าที่จะทะเลาะกับมู่ถิงเซียวที่ไหนกัน ส่วนใหญ่เธอจะยั่วโมโหโม่ถิงเซียว และโม่ถิงเซียวก็สามารถเอาชนะเธอได้ด้วยการมองเพียงครั้งเดียว
ทะเลาะ?ไม่มีเลย
“เปล่า?” ครั้งนี้ซือเย่ตกตะลึง:“เมื่อเช้าคุณชายสูบบุหรี่ในห้องทำงานหมดไปหนึ่งซอง”
ที่แท้ที่โม่ถิงเซียวก็สุบบุหรี่มากขนาดนั้นก็ไม่ใช่เพราะทะเลาะกับมู่นวลนวล
เมื่อได้ยินเขาพูดอย่างนั้น มู่นวลนวลก็นั่งไม่ติด เธอลุกขึ้นจากเก้าอี้:“เกิดอะไรขึ้น?”
ขณะที่เธอพูดก็เดินไปหยิบกระเป๋าและเดินไปใส่รองเท้าที่ประตู จากนั้นก็เดินออกไป
ซือเย่พูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง:“ฉันก็ไม่รู้ คุณชายออกไปตั้งแต่เช้า จนตอนนี้ก็ยังไม่กลับมา”
โม่ถิงเซียวเป็นคนที่มีวินัยในตัวเองสูง เขาจริงจังและจดจ่ออยู่กับทุกสิ่งที่เขาทำ เขาไม่เคยออกจากงานไปกลางคันอย่างกะทันหันมาก่อน
แน่นอนว่าถ้าเป็นเพราะมู่นวลนวลและออกมากลางคัน ก็จะไม่นับรวมอยู่ในนั้น
“ฉันรู้แล้ว ฉันจะลองออกไปหาดู”
มู่นวลนวลวางสาย แล้วเดินลงมาที่ชั้นล่าง จากนั้นก็ขับรถออกไป
ต้องเกิดอะไรขึ้นกับโม่ถิงเซียวแน่ๆ ถึงได้สุบบุหรี่จนหมดซอง
เมื่อเช้าตอนออกไปยังดีดีอยู่เลย ทำไมหลังจากไปบริษัทถึงเป็นอย่างนี้ล่ะ?
ขณะที่มู่นวลนวลขับรถก็โทรหาโม่ถิงเซียว
โม่ถิงเซียวไม่รับโทรศัพท์ แต่เขาส่งข้อความกลับไปหาเธอด้วยคำง่ายๆเพียงสามคำ:“มีอะไร?”
มู่นวลนวลถามว่าเขาอยู่ที่ไหน เขาก็ไม่พูด
มู่นวลนวลไปที่คอนโดของโม่ถิงเซียวก่อน จากนั้นก็ไปที่ร้านอาหารจินติ่ง……
เธอไปหาทุกทีที่เป็นไปได้ สุดท้ายเธอก็โทรหากูจื่อหยาน
“นวลนวล มีอะไรหรอ?” กูจื่อหยานมารู้ทีหลังว่าคนที่จูบมู่นวลนวลในรถคือโม่ถิงเซียว เขาเข้าใจมู่นวลนวลผิด เขายังรู้สึกไม่สบายใจ ดังนั้นเขาจึงรับสายมู่นวลนวลด้วยน้ำเสียงที่ร้อนใจ
มู่นวลนวลถามตรงๆ:“คุณเห็นโม่ถิงเซียวไหม?”
แม้ว่าโม่ถิงเซียวจะส่งข้อความกลับมาให้เธอ แต่ก็ยังดีกว่าครั้งก่อนที่เขาไม่รับโทรศัพท์เธอ แต่มู่นวลนวลก็ยังรู้สึกไม่สบายใจ
จากที่ซือเย่เล่า เห็นได้ชัดว่าโม่ถิงเซียวอารมณ์ไม่ไดี
“ไม่นะ!ตอนที่ฉันเห็นคุณชายโม่ก็เหมือนคนธรรมดาที่เห็นจักรพรรดิ ถ้าไม่ใช่เพราะเขาไปสืบอย่างลับๆ ถ้าไม่ใช่เพื่อการมาเยือนเป็นการส่วนตัว ฉันจะเห็นเขาได้ยังไง!”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ กูจื่อหยานก็รู้สึกโมโหขึ้นมา
มู่นวลนวลถอนหายใจ:“ฉันรู้แล้ว”
เมื่อเห็นว่ามู่นวลนวลกำลังจะวางสาย กูจื่อหยานก็รีบถาม:“เกิดอะไรขึ้น?เกิดอะไรขึ้นกับเขาหรอ?”
“ฉันไม่รู้ ฉันแค่ไม่รู้ว่าเขาอยู่ที่ไหน ฉันไปหาทุกทีที่เป็นไปได้ แต่ก็ไม่เจอเขา” มู่นวลนวลพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนแรง
เธอคิดว่าเธอรู้จักโม่ถิงเซียวดี แต่ในเวลานี้เธอตระหนักว่าจริงๆแล้ว เธอไม่รู้จักเขามากขนาดนั้น
“อืม……” กูจื่อหยานครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งและพูดว่า:“ยังมีอีกที่หนึ่ง ที่คุณยังไม่ได้ไปหา!”
มู่นวลนวลรีบถามทันที:“ที่ไหน?”
กูจื่อหยาน:“สุสาน!”
……
หลังจากที่มู่นวลนวลกับกูจื่อหยานมาเจอกันที่หน้าร้านอาหารจินติ่ง พวกเขาก็ไปที่สุสานของแม่โม่ถิงเซียว
โม่ถิงเซียวยังไม่เคยพาเธอไปที่นั่น
ระหว่างทางมู่นวลนวลเจอร้านดอกไม้ จึงซื้อดอกไม้มาช่อหนึ่ง
เมื่อกู่จือหยานที่นั่งขับรถอยู่เห็นว่าเธอซือดอกไม้มาก็พูดว่า:“มีความตั้งใจจริง”
ทั้งสองไปที่สุสานด้วยกัน กูจื่อหยานไม่ได้ขับรถ
มู่นวลนวลเม้มฝีปากแล้วยิ้ม
เมื่อทั้งสองมาถึงสุสาน จู่ๆฝนก็ตกลงมา
โชคดีที่ในรถของมู่นวลนวลมีร่ม
กูจื่อหยานพาจะเธอขึ้นไป ทั้งสองคนก็กางร่ม
ในเวลานี้ที่สุสานเงียบสงบมาก ตลอดทางไม่เจอคนที่มาทำพิธีเซ่นไหว้
สุสานถูกสร้างขึ้นบนภูเขา หลังจากที่มู่นวลนวลขึ้นไป เธอก็มองเห็นร่างสูงโปร่งจากระยะไกล
“ใช่โม่ถิงเซียว!” มู่นวลนวลพูด และรีบวิ่งเข้าไปหาเขา
กูจื่อหยานถือร่มและวิ่งตามไปข้างหลัง:“ฝนกำลังตก เธอจะวิ่งทำไม!เขาอยู่ข้างหน้า เดินไปก็ได้!”
มู่นวลนวลไม่ฟังที่เขาพูด เขาเลยถือร่มและวิ่งตามเธอไป
แต่เขาก็พบว่าตัวเองวิ่งตามมู่นวลนวลไม่ทัน……
“โม่ถิงเซียว!” มู่นวลนวลวิ่งไปด้วยถือดอกไม้ไปด้วย
ฝนตกหนักเสื้อผ้าของโม่ถิงเซียวเปียกชุ่มไปทั้งตัว ผมของเขาเปียกโซก เขากำผมขึ้นมาด้วยท่าทางเก้ๆกังๆ
มู่นวลนวลไม่ได้เดินไปที่นั่น
เมื่อเห็นว่าโม่ถิงเซียวไม่ได้เป็นอะไรและเขาก็ยืนอยู่ตรงนี่ มู่นวลนวลก็ไม่ได้พูดอะไรมาก เธอหันไปมองที่หลุมฝังศพ
ฝนตกหนักมากจนเธอลืมตาไม่ขึ้น