โม่ชิงเฟิงยิ้มอย่างไม่อาจคาดเดาได้:“ถิงเซียวติดตามเรื่องแม่ของเขา และเรื่องของพ่อก็ทำให้เขาเกิดความสงสัย ไม่ช้าก็เร็วเขาจะต้องรู้เรื่องของเรา เราต้องเตรียมรับมือไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ”
เมื่อโม่เหลียนได้ยินเขาพูดอย่างนั้นก็เหมือนได้ยาสงบจิตใจ เธอถอนหายใจยาวและอารมณ์ของเธอก็ค่อยๆผ่อนคลายลง:“ฉันตกใจแทบตาย”
โม่ชิงเฟิงยื่นมืออกไปตบไหล่โม่เหลียน:“ไม่ต้องกังวล แม้ว่าเขาจะฉลาดแค่ไหนเขาก็ยังไม่สามารถเอาชนะฉันได้”
โม่เหลียนขมวดคิ้ว และยังเป็นกังวลนิดหน่อย
……
การถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องเมืองที่สาบสูญเป็นไปอย่างราบรื่น
มู่นวลนวลเคยร่วมงานกับทีมงานมาก่อน เนื่องจากเป็นครั้งแรกที่บทภาพยนตร์ของเธอได้ถ่ายทำเป็นซีรีส์ แม้ว่าจะเป็นเพียงเว็บซีรีส์ แต่มันก็ใหม่มากสำหรับเธอ ทุกครั้งที่มีเวลาเธอก็จะไปที่กองถ่าย
ช่วงนี้เธอไม่ค่อยได้ไปที่กองถ่าย
ภาพยนตร์เรื่องเมืองที่สาบสูญถ่ายทำได้เกือบหนึ่งเดือนแล้ว เนื้อหาครึ่งแรกถูกถ่ายทำเสร็จแล้ว และครึ่งหลังต้องไปถ่ายทำนอกสถานที่
เนื่องจากมีคนจำนวนมากในกองถ่ายที่ต้องไปถ่ายทำนอกสถานที่ จำเป็นต้องใช้เวลาในการปรับปรุง ดังนั้นกองถ่ายจึงหยุดสองวัน
ฉินซุ่ยซานได้พักผ่อน เธอจึงนัดมู่นวลนวลไปทานข้าวด้วยกัน แต่บังเอิญสถานที่ที่เลือกคือร้านอาหารจินติ่ง
มู่นวลนวลตอบรับคำเชิญของเธอ
แม้าว่าจะเป็นฉินซุ่ยซานที่นัดเธอ แต่ฉินซุ่ยซานก็มาก็มาช้ากว่าเธอ
มู่นวลนวลรอนานกว่าสิบนาทีกว่าที่ฉินซุ่ยซานจะมา
“ขอโทษนะ รถติดมากเลย” ฉินซุ่ยซานกล่าวขอโทษ
มู่นวลนวลพยักหน้า:“ไม่เป็นไร ฉันก็เพิ่งมาถึง”
จู่ๆก็ดูเหมือนฉินซุ่ยซานจะนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้และถามว่า:“ช่วงนี้เธอได้ยินข่าวลืออะไรบ้างไหม?”
“ข่าวลืออะไร?” มู่นวลนวลไม่ได้ใส่ใจ ฉินซุ่ยซานมีภูมิหลังที่ดีและในวงการบันเทิงมีช่องทางมากมายที่จะได้ยินข่าวของพวกคนรวยหรือดาราดัง เธอพบเห็นบ่อยตนชินตา
ฉินซุ่ยซานพูดอย่างลึกลับ:“เกี่ยวของกับตระกูลโม่”
มู่นวลนวลถามด้วยสีหน้านิ่งว่า:“ข่าวลืออะไร?”
เธอไม่ได้เจอโม่ถิงเซียวมาหลายวันแล้ว เวลาที่เธอโทรหาโม่ถิงเซียว เชาก็มักจะยุ่งอยู่ตลอด
ทุกครั้งที่โม่ถิงเซียวโทรหาเธอก็พูดกันแค่ไม่กี่คำแล้วก็บอกว่ากำลังยุ่งอยู่กับงาย
ดังนั้นเธอจึงแทบไม่ได้ติดต่อกับโม่ถิงเซียวในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา และเธอก็ไม่ได้ออกไปข้างนอกมากนัก จึงไม่ได้ยินข่าวลือใดๆ
“มีคนพูดว่าโม่ชิงเฟิงเสียงเมียน้อยไว้ข้างนอก แล้วก็มีลูกด้วยกัน” น้ำเสียงของฉินซุ่ยซานเปลี่ยนเป็นเหยียดหยาม:“ทุกคนคิดว่าโม่ชิงเฟิงเป็นคนที่รักเดียวใจเดียวมาตลอด หลังจากที่ภรรยาของเขาเสียชีวิต เขาก็ไม่ได้แต่งงานใหม่ และไม่มีเรื่องอื้อฉาว……”
สีหน้าของมู่นวลนวลดูตกใจ แต่ไม่นานก็ได้สติกลับมา:“ก็เป็นแค่ข่าวลือเท่านั้นไม่ใช่หรอ?อาจจะไม่จริงก็ได้นะ”
“ก็ใช่ ถึงอย่างไรตอนนี้ก็มีปั้นน้ำเป็นตัว ฉันรู้จักนักแสดงคนหนึ่ง มีครั้งหนึ่งเธอเดินอยู่บนถนนแล้วปวดท้องก็เลยนั่งยองๆ จากนั้นเธอก็โดนปาปารัสซี่ถ่ายรูป แล้วก็บอกว่าเธอเห็นแฟนเก่ามีแฟนใหม่จึงนั่งร้องไห้เสียใจ……”
มู่นวลนวล:“……”
“แต่เรื่องนี้ส่งผลกระทบอย่างมากต่อโม่กรุ๊ป สองวันที่ผ่านมาหุ้นก็เริ่มตกแล้ว”
เห็นได้ชัดว่าฉินซุ่ยซานให้ความสนใจเรื่องที่โม่ชิงเฟิงมีลูกนอกสมรสมาก หลังจากที่เธอพูดจบก็ถามมู่นวลนวลว่า:“ฉันก็เคยเจอโม่ชิงเฟิงแค่ไม่กี่ครั้ง เธอคิดว่าเขาเป็นคนยังไง?ดูเหมือนคนที่มีลูกนอกสมรสอยู่ข้างนอกรึเปล่า?”
มู่นวลนวลเขย่าเครื่องดื่มในแก้วโดยไม่รู้ตัว เธอคิดอยู่พักหนึ่งแล้วพูดว่า:“ไม่ได้สนิทสนมกับเขา เลยไม่แน่ใจว่าเขาเป็นคนยังไง……”
โชคดีที่ฉินซุ่ยซานไม่ได้เจาะลึกเรื่องนี้ และในขณะที่พูดก็เริ่มพูดคุยกับเธอเกี่ยวกับเรื่องอื้อฉาวและความรักของนักแสดงคนอื่นๆ
เมื่อมู่นวลนวลได้ฟังจิตใจก็ฟุ้งซ่าน
ในขณะที่เธอกำลังพูดคุยกับฉินซุ่ยซาน เธอก็หยิบโทรศัพท์มาค้นหาข่าวของโม่กรุ๊ปในอินเทอร์เน็ต
แน่นอนว่าพบว่ามีสื่อรายงานว่าโม่ชิงเฟิงถูกสงสัยว่ามีลูกนอกสมรสอยู่ข้างนอก
จะเห็นได้ว่ามีการตระหนักถึงความปลอดภัยของสื่อ โดยมีการเพิ่มคำว่า “สงสัย” ไว้ข้างหน้า
ถ้าสิ่งที่โม่เหลียนพูดเป็นความจริง งั้นก็ถือได้ว่าโม่ชิงเฟิงเป็นคนรักที่ยาวนาน
คอมเม้นในโซเชียลมีทั้งในเชิงบวกและเชิงลบ
“ฉันคิดว่ามีคนต้องการจัดการกับโม่กรุ๊ป~”
“คอมเม้นข้างบน คุณรู้ว่าไหมว่าตระกูลโม่เป็นไง?มีใครที่ไหนกล้าจัดการกับคระกูลโม่”
“โม่ถิงเซียว:หากฉันตาย?”
“ถ้าเป็นความจริง งั้นการเป็นคนที่รักเดียวใจเดียวของโม่ชิงเฟิงก็ต้องพังทลายลง”
“ข่าวนี้ออกมาสองวันแล้ว ก็ไม่เห็นโม่กรุ๊ปให้ความสนจเลย หรือว่าเป็นความจริง……”
เมื่อเห็นคอมเม้นนี้มู่นวลนวลก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกสงสัย
หรือว่าเป็นโม่ถิงเซียวที่ปล่อย “ข่าวลือ”?
การบอกว่า “ข่าวลือ” จริงๆแล้วก็ไม่ใช่ “ข่าวลือ” ถึงอย่างไรโม่ชิงเฟิงก็มีลูกนอกสมรสจริงๆ
มู่นวลนวลวางโทรศัพท์ลงและเงยหน้าขึ้นมองฉินซุ่ยซาน:“ข่าวลือนี้ออกมานานแค่ไหนแล้ว?”
“สองสามวันแล้ว” พอฉินซุ่ยซานพูดจบก็ยิ้มให้มู่นวลนวล:“เธอกังวลกับเรื่องของตระกูลโม่หรอ ?”
มู่นวลนวลยิ้มและปิดปากเงียบ:“ก็แค่สงสัยนิดหน่อย”
“เธอไม่ได้ปฏิเสธ” ฉินซุ่ยซานยิ้มอย่างมีเลศนัย
เมื่อมู่นวลนวลเลิกคิ้ว ฉินซุ่ยซานก็รีบพูดว่า:“เอาล่ะๆ มาคุยธุระกัน พรุ่งนี้กองถ่ายจะไปถ่ายทำนอกสถานที่ เธอจะตามไปด้วยไหม?”
มู่นวลนวลส่ายหัวและพูดติดตลก:“ฉันไม่ไปดีกว่า บทภาพยนตร์ก็ไม่มีปัญหาอะไรแล้วถ้าฉันไปแล้วต้องพักห้องพิเศษและต้องกินข้าวกล่องพิเศษ”
ฉินซุ่ยซานกลอกตา:“ต้องขอบคุณเธอจริงๆ ที่ช่วยประหยัดค่าใช่จ่ายของกองถ่าย”
……
เมื่อฉินซุ่ยซานพูดถึงเรื่อง “ข่าวลือ” กับมู่นวลนวล เธอก็เป็นกังวลเรื่องนี้มาตลอด
ระหว่างที่เธอไปเข้าห้องน้ำ เธอก็อดไม่ได้ที่จะโทรหาโม่ถิงเซียว
เมื่อโม่ถิงเซียวรับโทรศัพท์ มู่นวลนวลก็ได้ยินเสียงจ้อกแจ้กจอแจดังมาจากปลายสาย
มู่นวลนวลดูเวลาและเห็นว่าเป็นเวลาหนึ่งทุ่มแล้ว เธอจึงพูดว่า:“ยังทำงานอยู่ที่บริษัทหรอ?”
“เปล่า มาทานกินข้าวข้างนอก” เมื่อเสียงของโม่ถิงเซียวจบลง มู่นวลนวลก็ได้ยินเสียงฝีเท้าที่มั่นคงของเขา:“มีธุระ?”
“ไม่มีอะไร” โม่ถิงเซียวมาทานข้าวข้างนอก มู่นวลนวลก็ไม่ได้ถามอะไรอีก
หลังจากที่มู่นวลนวลวางสาย เธอก็เดินออกจากห้องน้ำ ระหว่างทางเดินไปที่ห้องโถง เธอเห็นโม่ถิงเซียวเดินออกมาจากในลิฟต์คนเดียว
อากาศในช่วงต้นเดือนกันยายนยังคงร้อนมาก แต่โม่ถิงเซียวดูเหมือนจะไม่รู้สึกร้อน เขายังคงสวมชุดสูท
โม่ถิงเซียวเดินออกมาจากลิฟต์อย่างไม่แสดงสีหน้าใดๆ แต่ตัวเขามีกลิ่นอายของความเย็นชา เขาเดินเขาตรงทางไปในห้องรับรองพิเศษ
เดิมทีมู่นวลนวลจะเรียกเขา แต่เข้าเดินไปอย่างรวดเร็วจนมู่นวลนวลเรียกเขาไม่ทัน จึงทำได้เพียงเดินคามหลังเขาไป
มู่นวลนวลเห็นเข้าเดินเข้าไปในห้องรับรองพิเศษและปิดประตู เธอสังเกตเห็นว่าในห้องรับรองพิเศษไม่มีคนอื่นอยู่
โม่ถิงเซียวนัดทานข้าวกับใคร?