เมื่อกูจือหยานจอดรถไว้ที่ลานจอดรถของโม่กรุ๊ป เขายังไม่ทันได้เดินขึ้นไปก้เห็นโม่ถิงเซียวกับซือเย่เดินมาที่ลานจอดรถอย่างรีบร้อน
สีหนาท่าทางของทั้งสองคนดูเคร่งขรึม
กูจื่อหยานเดาว่าต้องเกิดเรื่องอะไรขึ้นอย่างแน่นอน
กูจื่อหยานปิดประตูรถและเดินไปหาพวกเขา:“เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”
เขาเดาไว้ในใจว่าอาจจะเป็นเรื่องของมู่นวลนวล
เมื่อโม่ถิงเซียวเห็นกูจื่อหยานก็ไม่ได้พูดอะไรและเดินตรงไปที่รถของเขา
ซือเย่ที่เดินตามหลังมาก็หันไปพูดอธิบายกับกูจื่อหยานว่า:“คุณหญิงถูกคุณชายใหญ่จับตัวไป”
กูจื่อหยานยื่นมือไปลูบผมของตัวเอง:“พูดชื่อ!”
คุณชายของตระกูลโม่คนนี้กับคุณหญิงคนนั้น บางครั้งกูจื่อหยานได้ยินแล้วก็รู้สึกรำคาญ
ซือเย่ผงะไปชั่วขณะและพูดอีกครั้ง:“ซือเฉิงยวี่จับตัวมู่นวลนวลไป!”
“เรื่องมันเป็นยังไง?เกิดขึ้นอะไรขึ้น?”
“ไม่รู้” หลังจากที่ซือเย่อพูดจบ เขาก็หันไปมองโม่ถิงเซียว และเห็นว่าโม่ถิงเซียวขับรถออกไปแล้ว
เมื่อซือเย่เห็นอย่างนั้นก็กำลังจะขับรถของตัวเองตามไป
กูจื่อหยานดึงเขาเข้ามาในรถของตัวเอง:“เราไปด้วยกันดีกว่า”
โม่ถิงเซียวขับรถเร็วมากจนกูจื่อหยานตามไม่ทัน
ตอนที่เขาขับตามออกมา ยังเห็นรถของโม่ถิงเซียวอยู่ตรงนั้น?
……
มู่นวลนวลถูกซือเฉิงยวี่พาไปที่โกดังร้างในเขตชานเมือง ในนั้นมีคนของซือเฉิงยวี่อยู่เต็มไปหมด
โกดังมีสภาพทรุดโทรมมาก และยังมีสินค้าบางอย่างที่ผลิตขึ้นเมื่อหลายปีก่อน ซึ่งตอนที่เธอยังเด็กมากๆก็มีแบบนั้น
มู่นวลนวลยังถูกมัดไว้
เมื่อซือเฉิงยวี่เห็นเธอมองไปรอบๆก็เดินมาข้างหน้าและพูดว่า:“ฉันจัดเตรียมโกดังนี้ไว้เป็นอย่างดี”
มู่นวลนวลไม่เข้าใจความหมายที่ซือเฉิงยวี่พูด แต่เธอรู้ว่าซือเฉิงยวี่ไม่ได้มีเจตนาที่ดี
ซือเฉิงยวี่ดูเหมือนจะพอใจกับการที่มู่นวลนวลรับฟัง เขาหันหลังไปแล้วโบกมือ
วินาทีต่อมาก็มีบอดี้การ์ดถือเก้าอี้มาสองตัว ตัวหนึ่งว่างไว้ด้านหลังของซือเฉิงยวี่ และอีกตัวหนึ่งวางไว้ด้านหลังของมู่นวลนวล
มู่นวลนวลถูกบอดี้การ์ดกดให้นั่งบนเก้าอี้และมัดเธอไว้กับเก้าอี้
ซือเฉิงยวี่ไม่ได้นั่งลง
เขาลุกขึ้นเดินไปรอบๆในโกดัง และหันกับมาด้วยแววตาที่ดูบ้าคลั่ง:“ฉันรวบรวมข้อมูลมากมายเกี่ยวกับคดีลักพาตัวในปีนั้น และต้องใช้เวลาอย่างมากนการจัดฉากของโกดังให้เหมือนกับที่เกิดขึ้นในปีนั้น อีกเดี๋ยวพอโม่ถิงเซียวมาถึงที่นี่ เขาจะต้องดีใจมากแน่ๆ?”
ความสงสัยปรากฏขึ้นในดวงตาของมู่นวลนวล และจากนั้นดวงตาของเธอก็เบิกกว้างขึ้นพร้อมกับความประหลาดใจ:“คุณวางแผนจัดโกดังแห่งนี้ให้เหมือนกับในปีนั้นที่โม่ถิงเซียวกับแม่เขาถูกลักพาตัวมา?”
หางเสียงของเธอสั่นจนสังเกตได้
“ใช่นะสิ อย่าดูถูกสถานที่โทรมๆนี้นะ ฉันต้องเสียเงินไปไม่น้อยเลย!แต่ดีที่ฉันพอใจมาก” ซือเฉิงยวี่เดินมาข้างหน้ามู่นวลนวลด้วยรอยยิ้มที่สดใส
มู่นวลนวลรีบส่ายหัว:“ทำไมคุณต้องทำแบบนี้?แม้ว่าคุณกับโม่ถิงเซียวจะเป็นพี่น้องพ่อเดียวกันแต่ต่างแม่ก็ตาม คนที่ผิดคือโม่ชิงเฟิงไม่ใช่โม่ถิงเซียว!เขาไม่ได้ทำผิดต่อคุณ”
คดีลักพาตัวในปีนั้นตามติดโม่ถิงเซียวมาโดยตลอด
เขาตามหาฆาตกรที่อยู่เบื้องหลังคดีลักพาตัวมานานหลายปี แม่ของเขาคือมารร้ายในชีวิตของเขา
ซือเฉิงยวี่วางแผนจัดฉากโกดังแห่งนี้ให้เหมือนกับสถานที่เกิดเหตุในปีนั้น เพียงเพื่อให้โม่ถิงเซียวสะเทือนใจ
ถ้าจุดประสงค์ของซือเฉิงยวี่คือเพื่อทำให้โม่ถิงเซียวสะเทือนใจ และเห็นโม่ถิงเซียวเจ็บปวดทรมาน งั้นเขาก็ทำสำเร็จไปแล้วครึ่งหนึ่ง
“อ้อ?แม้แต่เธอก็รู้เรื่องนี้?ดูเหมือนว่าโม่ถิงเซียวมีอะไรก็จะบอกเธอ”ซือเฉิงยวี่เอียงหัวด้วยแววตาที่เคร่งขรึม แต่น้ำเสียงของเขาตื่นเต้นดีใจราวกับเด็กที่เจอเรื่องสนุก:“งั้นเธอลองพูดมาซิว่าแม่ของฉันคือใคร?”
สายตาที่ซือเฉิงยวี่มองมู่นวลนวลเหมือนคนที่ไม่รู้จักกันอย่างสิ้นเชิง
ดูเหมือนเขาจะเป็นบ้า
เมื่อเห็นว่ามู่นวลนวลไม่พูด ซือเฉิงยวี่ก็หัวเราะ:“อ้อ?ดูเหมือนว่าโม่ถิงเซียวจะอับอายมากก็เลยไม่ได้บอกเรื่องนี้กับเธอ”
ในที่สุดซือเฉิงยวี่ก็เดินไปที่ฝั่งตรงข้ามของมู่นวลนวลแล้วนั่งลง แววตาของเขาดูแปลกๆ:“งั้นฉันก็จะบอกเธอแล้วกัน แม่ของฉันก็คือโม่เหลียน”
ซือเฉิงยวี่พูดสองคำสุดท้ายด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
แต่สำหรับหูของมู่นวลรู้สึกเหมือนเสียงฟ้าร้องที่พื้น
นวลนวลหรี่ตาลงและสีหน้าของเธอก็เปลี่ยนไปทันที:“คุณพูดอะไร?”
“ฉันบอกว่าแม่ผู้ให้กำเนิดฉันชื่อโม่เหลียน โม่เหลียนเธอรู้จักไหม?” ซือเฉิงยวี่โน้มตัวเขาไปใกล้หน้ามู่นวลนวล:“อาของโม่ถิงเซียว แม่ของเสี่ยวเฉิน น้องสาวแท้ๆ……ของโม่ชิงเฟิง”
ในหัวของมู่นวลนวลมีเสียงพึมพำและมีความว่างเปล่าอยู่นาน สิ่งที่ซือเฉิงยวี่พูดต่อหน้า เธอพบว่าเธอไม่ได้ยินเลย
โม่เหลียนกับโม่ชิงเฟิง……
เป็นไปได้ยังไง!
“ต้องเป็นเรื่องเข้าใจผิดแน่ๆ……” มู่นวลนวลบ่นพึมพำกับตัวเองอยู่นาน
ซือเฉิงยวี่หัวเราะ ดูเหมือนว่าเขาจะพอใจกับการที่ได้เห็นสีหน้าตื่นตระหนกและไม่อยากจะเชื่อของมู่นวลนวล
หลังจากนั้นไม่กี่วินาทีเขาก็ยิ้มและพูดว่า:“งั้นก็เป็นความเข้าใจผิดครั้งใหญ่มาก มากจนพวกเขาร่วมกันวางแผนสร้างความฮือฮาไปทั่วทั้งเมือง จนกระทั่งวันนี้คนก็ยังไม่ลืม คดีลักพาตัว!”
ซือเฉิงยวี่พูดประโยคสุดท้ายออกมาทีละคำ
มู่นวลนวลกัดริมฝีปากแน่น:“ที่คุณจับฉันมาวันนี้ก็เพื่อที่จะบอกเรื่องพวกนี้กับฉัน?”
เธอยังรู้สึกว่ายากที่จะเชื่อ
เธอไม่อยากจะเชื่อเลยว่าคดีลักพาตัวโม่ถิงเซียวกับแม่ของเขาจะเป็นเพราะความลับที่เหลวไหลและน่าอับอาย……
ถ้าเรื่องที่ซือเฉิงยวี่พูดเป็นความจริง
อนุมานจากเรื่องของโม่ชิงเฟิงกับโม่เหลียนแล้ว เป็นไปได้มากว่าแม่ของโม่ถิงเซียวจะรู้เรื่องของสองพี่น้องนี่ แล้วถูกพวกเขาฆ่าตาย
“มันยากที่จะยอมรับใช่ไหม?แล้วก็รู้สึกว่ายากที่จะเชื่อ?” หลังจากที่ซือเฉิงยวี่พูดจบ เขาก็เงยหน้าขึ้นแล้วหัวเราะ:“ฮ่าฮ่าฮ่า!ฉันรู้มาตั้งแต่เด็กแล้วว่าระหว่างพวกเขามีอะไรแปลกๆ!ฉันรู้ทุกอย่าง ฮ่าฮ่าฮ่า……”
ตอนที่เขายังเด็กเขาเคยเห็นทั้งสองคนเสื้อผ้าฉีกขาดอยู่ด้วยกัน แต่เขาไม่กล้าที่พูดอะไรและไม่กล้าบอกใคร
จนกระทั่งปีที่แล้วเขาพบว่ากรุ๊ปเลือดของเขาเหมือนกับของโม่ชิงเฟิง เขาจึงไปทำการเปรียบเทียบดีเอ็นเอ……
โชคชะตาให้เขาเกิดมาจากความไม่ละอายต่อบาป
ซือเฉิงยวี่หัวเราะอย่างบ้าคลั่งและเห็นได้ชัดว่าเขาหมดอาลัยตาอยาก
เมื่อก่อนมู่นวลนวลชอบที่เขาเป็นนักแสดงที่มากความสามารถอยู่ในจอ
ต่อมาหลังจากที่เธอได้สัมผัสกับซือเฉิงยวี่จริงๆ เธอก็เริ่มรู้สึกว่าซือเฉิงยวี่แสดงได้สมบูรณ์แบบมากเกินไป
ยิ่งสมบูรณ์แบบและไร้ที่ติมากเท่าไหร่ก็ยิ่งแปลกประหลาดและยากที่จะคาดเดา
ประโยคนี้เหมาะสมมากที่จะใช้กับซือเฉิงยวี่
เมื่อเธอมองใบหน้าที่บ้าคลั่งของซือเฉิงยวี่ จู่ๆเธอก็นึกขึ้นได้ว่าก่อนหน้านี้เขาพูดถึงเรื่องลูกสาวของเธอ และหัวใจของเธอก็เต้นแรงขึ้นมา