ก๊อกก๊อก!
เสียงเคาะประตูดังขึ้นขัดจังหวะความคิดของโม่จิ่นหยุน
โม่จิ่นหยุนระงับสีหน้าของเธอ:“เข้ามา”
บอดี้การ์ดผลักประตูเข้ามาและพูดด้วยความเคารพ:“คุณโม่ ทุกอย่างเตรียมพร้อมแล้วครับ”
“ไม่ต้องรอจนถึงคืนนี้แล้ว ออกเดินทางตอนนี้เลย”
โม่จิ่นหยุนออกคำสั่งและไม่นานก็มีเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์เข้ามาเคลื่อนย้ายโม่ถิงเซียว
ในขณะที่เจ้าหน้าที่ทางการแพทย์กำลังจะส่งโม่ถิงเซียวขึ้นเครื่องบิน พวกเขาก็ต้องประหลาดใจเมื่อพบว่าโม่ถิงเซียวดูเหมือนจะตื่นขึ้นมา
“คุณโม่ คุณชายโม่น่าจะฟื้นขึ้นมาในอีกไม่นาน” หมอบอกเรื่องนี้กับโม่จิ่นหยุนด้วยสีหน้าดีใจ แต่บนใบหน้าของโม่จิ่นหยุนไม่มีร่องรอยของความดีจเลย
เธอพูดอย่างเฉยเมยว่า:“รู้แล้ว”
โม่จิ่นหยุนไล่เจ้าหน้าที่ทางการแพทย์คนอื่นๆออกไป จนเหลือเพียงคนเดียวและสั่งว่า:“ช่วงนี้อาการที่บ่งบอกว่าเขาจะฟื้นเริ่มถี่ขึ้นเรื่อยๆ เพิ่มปริมาณยาหน่อย อย่าให้เขาฟื้นขึ้นมาก่อนที่จะไปสหรัฐอเมริกา”
อันที่จริงแล้วอาการของโม่ถิงเซียวไม่ได้บาดเจ็บมากขนาดนั้น
หนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมาโม่ถิงเซียวสามารถฟื้นขึ้นมาได้ และโม่จิ่นหยุนเป็นคนสั่งให้คนให้วางยาโม่ถิงเซียว เพื่อที่จะไม่ให้เขาฟื้นขึ้นมา
สิ่งที่กูจื่อหยานพูดก่อนนี้หยั่งรากลึกลงในหัวใจของโม่จิ่นหยุน
แม้ว่าความสัมพันธ์ของเธอกับโม่ถิงเซียวจะเปราะบาง แต่เธอก็รู้อยู่แก่ใจว่าถ้าโม่ถิงเซียวฟื้นขึ้นมา แล้วรู้ว่าเธอไม่ได้ส่งคนไปช่วยมู่นวลนวล เขากับเธอจะต้องกลายเป็นอริกันอย่างแน่นอน
เธอจะไม่มีวันปล่อยให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้น
โชคดีที่เธอได้ติดต่อกับนักสะกดจิตบำบัดที่มีชื่อเสียงระดับโลกไว้แล้ว
เมื่อคิดถึงตรงนี้แล้วโม่จิ่นหยุนก็เม้มริมฝีปาก และแววตาของเธอก็เป็นประกาย
……
เครื่องบินจอดที่สนามบินส่วนตัวในสหรัฐอเมริกา และนักสะกดจิตบำบัดที่โม่จิ่นหยุนติดต่อไว้ได้ส่งคนมารับแล้ว
มีชายสีหน้าเย็นชาเดินเข้ามาหาโม่จิ่นหยุน:“ขออนุญาติถาม ใช่คุณโม่ไหม?”
“ใช่ ฉันเอง”
หลังจากยืนยันตัวตนแล้ว พวกเขาก็พาโม่ถิงเซียวกับโม่จิ่นหยุนเดินทางออกไป
โม่จิ่นหยุนยังไม่ไว้วางใจนักสะกดจิตบำบัดท่านนั้นมากนัก:“พวกคุณเป็นลูกน้องของผู้เชี่ยวชาญท่านนั้นใช่ไหม?”
ชายคนขับรถพูดอย่างไม่แสดงอารมณ์ใดๆว่า:“คุณโม่ไม่เชื่อใจบอสของเราหรอ?แต่คุณก็ทำได้แค่เชื่อใจเขา ถึงแล้ว เชิญคุณโม่ลงจากรถ”
โม่จิ่นหยุนกัดฟันและลงจากรถไปด้วยกัน
ข้างหน้าของเธอคือคฤหาสน์ทรงกลมสีดำเข้มสไตล์แปลกๆ
ในใจของโม่จิ่นหยุนคิดจะถอย คฤหาสน์หลังนี้และลูกน้องสองคนที่ผู้เชี่ยวชาญส่งมานั้นดูแปลกเกินไป
คนที่อยู่ข้างหลังพูดเร่งรัดเธอ:“คุณโม่ เชิญ”
โม่จิ่นหยุนไม่ได้พาลูกน้องมาด้วย สาเหตุหลักคือยิ่งมีคนรู้เรื่องนี้น้อยเท่าไหร่ก็ยิ่งดีเท่านั้น
ไม่ว่าจะยังไงก็ต้องลองดู
โม่จิ่นหยุนยกเท้าขึ้นและเดินเข้าไป
พวกเขาพาเธอเข้าไปข้างใน
เดินผ่านทางเดินเข้าไปในห้องว่างห้องหนึ่ง
เมื่อเปิดไฟในห้องมีชั้นหนังสือขนาดใหญ่เต็มผนัง ด้านหน้าชั้นหนังสือมีโต๊ะไม้สีเข้มและมีชายรูปร่างสูงนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงาน
ชายคนนั้นสวมแว่นตา หน้ากากและชุดสูทสีดำธรรมดา เขาดูลึกลับมาก
ลูกน้องเดินไปหาชายคนนั้นด้วยความเคารพ:“MR.Li พาคนมาแล้วครับ”
ชายคนนั้นพยักหน้าเล็กน้อย และลุกขึ้นเดินไปหาโม่จิ่นหยุน จากนั้นก็ยื่นมือมาให้เธออย่างสุภาพ:“สวัสดีครับคุณโม่”
เขาพูดภาษาจีน
โม่จิ่นหยุนยื่นมือออกมาและพูดอย่างไม่แน่ใจ:“คุณหลี่?”
เสียงของชายคนนั้นมีรอยยิ้ม:“สามารถเริ่มได้เลย”
“คุณหลี่ คุณสวมหน้ากากตลอดเวลาหรอคะ?” โม่จิ่นหยุนระวัง ผู้เชี่ยวชาญคนนี้ดูหนุ่มเกินไป
“พาคุณโม่ออกไปดื่มชา” ชายคนนั้นออกคำสั่งและคนของเขาก็เชิญโม่จิ่นหยุนออกไป
เมื่อประตูปิดลง สายตาของชายคนนั้นก็จ้องมองไปที่ร่างของโม่ถิงเซียว
เขาถอดแว่นออก แววตาของเขาดูสนใจและพูดพึมพำว่า:“น่าสนใจ”
……
“ช่วงไม่กี่วันมานี้ มีปาปารัสซี่ถ่ายรูปโม่ถิงเซียวประธานบริหารของโม่กรุ๊ปที่เดินทางไปต่างจังหวัด ในรูปเขากับเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆคนนั้นดูสนิทสนมกันมาก สงสัยว่าจะเป็นลูกสาวนอกสมรส……”
ในหอผู้ป่วยวีไอพีข่าวบันเทิงกำลังออกอากาศทางทีวี
เมื่อพยาบาลที่กำลังเปลี่ยนชุดของคนไข้บนเตียงได้ยินข่าวก็เริ่มกระซิบกระซาบกัน
“จริงหรือไม่จริง?โม่ถิงเซียวมีลูกสาวนอกสมรส?”
“เขาเพิ่งเปิดเผยว่าเขามีคู่หมั้นไม่ใช่หรอ?เด็กนั่นคงไม่ใช่ลูกของเขากับคู่หมั้นนะ?”
พยาบาลคนหนึ่งชี้ไปที่คนไข้ผู้หญิงที่นอนอยู่บนเตียงและพูดขึ้นว่า:“……เธอระวังหน่อย อย่าแทงลึกจนเกินไป……”
พยาบาลอีกคนไม่เห็นด้วย:“แทงลึกไปสักหน่อยเธอก็ไม่รู้สึก นอนหลับเป็นผักมาสามปีแล้ว คงจะไม่ฟื้นขึ้นมาแล้ว”
“อย่าพูดอย่างนี้……ฉันทำเอง”
ทันทีที่พยาบาลกำลังจะแทงเข็มเข้าไปที่ด้านหลังข้อมือของผู้ป่วย เธอก็รู้สึกว่าข้อมือที่ถูกเข็มแทงมานานจนเป็นจ้ำเขียวๆนั้นเหมือนจะขยับได้
“เมื่อกี้ฉันตาลายรึเปล่า?”
พยาบาลอีกคนถามเธอ:“อะไร?”
ในเวลานี้มีเสียงของผู้หญิงที่อ่อนแอมากจนแทบจะไม่ได้ยินดังขึ้นจากเตียง:“พวกคุณ……คือ……”
พยาบาลทั้งสองมองลงไปที่คนไข้ผู้หญิงบนเตียงพร้อมกัน:“เธอฟื้นแล้ว?!”
มู่นวลนวลกระพริบตา เนื่องจากเธอนอนหลับมาสามปี จึงทำให้เธอพูดลำบาก
เธอยังไม่ทันได้พูดอีก พยาบาลทั้งสองคนก็วิ่งออกไป
“ฉันจะไปโทรแจ้งคุณลี่!”
“ฉันจะแจ้งหมอ!”
……
ทันทีที่ลี่จิ่วเหิงออกมาจากลิฟต์พยาบาลก็วิ่งเข้ามาอย่างดีใจและบอกเขาว่า:“คุณลี่ คู่หมั้นของคุณฟื้นขึ้นมาเมื่อกี้ค่ะ!”
เมื่อสามปีก่อนคนไข้ผู้หญิงคนหนึ่งมาที่โรงพยาบาล เธอไม่ฟื้นสามปีแล้ว แต่ไม่ว่าจะฝนตกหรือแดดออกผู้ชายที่ชื่อลี่จิ่วเหิงจะมาเยี่ยมคนไข้ผู้หญิงคนนี้ทุกวัน และไม่แคยละทิ้งเธอ
แม้ว่าลี่จิ่วเหิงจะไม่เคยบอกว่าเขาเกี่ยวข้องอะไรกับคนไข้ผู้หญิงคนนี้ แต่พยาบาลและหมอเหล่านี้ต่างก็คิดว่าคนไข้ผู้หญิงคนนี้เป็นคู่หมั้นของลี่จิ่วเหิง
เมื่อลี่จิ่วเหิงได้ยินอย่างนั้น รอยยิ้มก็ปรากฎขึ้นในแววตาของเขา แต่เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่แปลกใจเลยสักนิด:“จริงหรอ?”
เมื่อพยาบาลเห็นท่าทางของลี่จิ่วเหิงก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกสงสัยเล็กน้อย เขาควรจะดีใจมากไม่ใช่หรออ
“เดี๋ยวผมไปดูเธอก่อนนะ” ลี่จิ่วเหิงไม่สนใจความสงสัยของพยาบาลและเดินตรงไปที่ห้องผู้ป่วย
ในห้องผู้ป่วยมีหมออยู่สองสามคนที่กำลังตรวจดูอาการให้มู่นวลนวล
เมื่อลี่จิ่วเหิงเดินเข้าไป เขาเห็นมู่นวลนวลนอนอยู่บนเตียงด้วยสีหน้าที่งุนงงและพูดว่า:“มู่นวลนวล ในที่สุดเธอก็ฟื้นแล้ว”
เธอเงยหน้าขึ้นแล้วมองไปที่ลี่จิ่วเหิงด้วยดวงตาคู่เดิมที่สวยงามและสดใสของเธอ เสียงของเธอแหบจนแทบไม่ได้ยิน:“คุณเรียกฉันหรอ?”
เมื่อลี่จิ่วเหิงได้ยินที่เธอพูด สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป
เขากระพริบตาแล้วชี้ไปที่ตัวเอง:“รู้จักฉันไหม?ฉันเป็นใคร?”
มู่นวลนวลส่ายหัว:“คุณเป็นใคร?”
ลี่จิ่วเหิงหรี่ตาเล็กน้อยแล้วยิ้ม:“คู่หมั้นของเธอ”
มู่นวลนวลจ้องมองเขาสองสามวินาที แววตาของเธอเต็มไปด้วยความสงสัย:“จริงหรอ?”