ซูเหมียนไม่คิดว่าโม่ถิงเซียวพูดแบบนี้ สีหน้าของเธอเปลี่ยนไปทันที:“หมายความว่าไง?”
“คำพูดง่ายๆอย่างนี้ เธอก็ฟังไม่เข้าใจ ไม่สามารถมอบโม่มู่ให้เธอดูแลได้” โม่ถิงเซียวขมวดคิ้วเล็กน้อยและพูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นชามากยิ่งขึ้น
ความอดทนของเขาหายไปทีละนิด
“ไม่ว่ายังไงฉันเป็นคู่หมั้นของคุณ และเป็นแม่ผู้ให้กำเนิดของมู่มู่ ทำไมคุณถึงพูดกับฉันแบบนี้!” ซูเหมียนโมโหเขาและระดับเสียงก็ดังขึ้น โดยไม่มีท่าทีสงบและสง่างามเหมือนปกติ
สามปีที่ผ่านมา เธออดทนมามากพอแล้ว
ต่อให้เป็นก้อนน้ำเข็งก็ควรจะละลายลงบ้าง
แต่โม่ถิงเซียวเหมือนก้อนหิน ท่าทางที่เขาที่มีต่อเธอไม่ได้เปลี่ยนไปเลยสักนิด
“อย่างแรกคือเรื่องคู่หมั้น โม่จิ่นหยุนเป็นคนพูด ไม่เกี่ยวอะไรกับฉันเลย อย่างที่สองถ้าเธอไม่ใช่แม่ผู้ให้กำเนิดของโม่มู่ เธอคิดว่าเธอจะได้นั่งอยู่ที่นี่และพูดกับฉันหรอ?”
น้ำเสียงของโม่ถิงเซียวเย็นชาและโหดร้าย
ซูเหมียนสีหน้าซีดและพูดไม่ออกอยู่นาน เธอหยิบกระเป๋าแล้วลุกขึ้นออกไป
ทันทีที่เธอเดินไปที่ประตูใหญ่ เธอก็เจอกับโม่จิ่นหยุนที่เดินเข้ามาพอดี
โม่จิ่นหยุนรีบหยุดเธอไว้:“ซูเหมียน?เธอจะไปไหน?เย็นมากแล้วอยู่ก่อนสิ”
ซูเหมียนมองเข้าไปข้างในอย่างระมัดระวัง จากนั้นก็พาโม่จิ่นหยุนหลบไปที่มุมนอกประตูใหญ่
ภายใต้โคมไฟบนถนนสีเหลืองสลัวๆ โม่จิ่นหยุนเห็นดวงตาที่แดงก่ำของซูเหมียน ทำให้สีหน้าของเธอเปลี่ยนไปเล็กน้อย:“เกิดอะไรขึ้น?”
“จิ่นหยุน ฉันทนโม่ถิงเซียวไม่ไหวแล้วจริงๆ เขาเป็นเพียงก้อนหิน……”
ซูเหมียนเล่าสิ่งที่โม่ถิงเซียวพูดกับเธอเมื่อตะกี้ให้โม่จิ่นหยุนฟัง
โม่จิ่นหยุนไตร่ตรองและไม่ได้พูดอะไร
ซูเหมียนถอนหายใจด้วยความอึดอัด:“ในปีนั้นเธอไม่น่าพาโม่มู่กลับมาเลย โม่ถิงเซียวดีกับเขามากกว่าฉันซะอีก!”
“อย่าพูดอย่างนั้น โม่มู่เป็นลูกสาวแท้ๆของถิงเซียว” โม่จิ่นหยุนรู้สึกว่าความสัมพันธ์ทางสายเลือดมีความสำคัญมาก
โม่ถิงเซียวจำอดีตไม่ได้ โม่จิ่นหยุนคิดว่าหลังจากที่เธอบอกโม่ถิงเซียวว่าซูเหมียนเป็นแม่ผู้ให้กำเนิดของโม่มู่ โม่ถิงเซียวคงจะรู้สึกพิเศษกับซูเหมียนขึ้นมาบ้าง
แต่ไม่คิดว่าโม่ถิงเซียวจะดีกับโม่มู่ แต่ยังคงเฉยเมยกับซูเหมียน
สามปีที่ผ่านมาไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเลย
ด้วยเหตุนี้โม่จิ่นหยุนจึงจงใจปล่อยข่าวกับสื่อว่าซูเหมียนเป็นคู่หมั้นของโม่ถิงเซียว
แม้ว่าซูเหมียนจะไม่พอใจกับคำพูดของโม่จิ่นหยุน แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรมาก เธอเพียงแค่พูดอย่างอ่อนเพลียว่า:“วันนี้ฉันเหนื่อยนิดหน่อย ฉันกลับก่อนนะ”
“ฉันจะให้คนขับรถไปส่งเธอ และฉันจะหาวิธีดู” ในขณะที่โม่จิ่นหยุนพูด เธอก็ยื่นมือไปตบไหล่ซูเหมียน
……
หลังจากซูเหมียนกลับไปแล้ว โม่จิ่นหยุนก็เดินเข้าไป
มู่ถิงเซียวกำลังทานอาหารเย็น ข้างๆเขามีเก้าอี้สำหรับทานอาหารของเด็กอยู่ โม่มู่ถือชามสีชมพูใบเล็กและกินผลไม้
เมื่อเธอเห็นโม่จิ่นหยุนเดินเข้ามา เธอก็ส่งเสียงเรียกอ้อแอ้:“คุณป้า~”
“มู่มู่กำลังกินผลไม้อยู่~” โม่จิ่นหยุนยิ้มและเดินเข้าไป
โม่มู่ยื่นมือที่ถือส้อมไปจิ้มแตงโมมาชิ้นหนึ่งแล้วยื่นให้โม่จิ่นหยุน:“คุณป้ากิน”
โม่จิ่นหยุนมองไปที่ชามผลไม้เละๆ ของโม่มู่ ไม่รู้ว่าเขาเปื้อนน้ำลายมากแค่ไหน โม่จิ่นหยุนจึงลังเลเล็กน้อย
เธอยิ้มและจับมือของโม่มู่ จากนั้นก็ส่งผลไม้ไปที่ปากของโม่มู่:“มู่มู่กินเองเลย กินเยอะๆ จะได้สวยๆ”
เมื่อโม่ถิงเซียวได้ยินที่โม่จิ่นหยุนพูด เขาก็หันไปมองเธอและพูดเสียงต่ำ:“มู่มู่เอาแอปเปิ้ลมาให้พ่อกินชิ้นหนึ่ง”
เมื่อได้ยินที่โม่ถิงเซียวพูด แววตาของโม่มู่ก็เป็นประกาย แล้วยัดแตงโมใส่ปาก จากนั้นก็หาแอปเปิ้ลและยื่นไปที่ปากของโม่ถิงเซียว
โม่ถิงเซียวอ้าปากและกิน:“ที่เหลือกินเองให้หมดเลยเนอะ”
โม่มู่ดูเหมือนจะได้รับกำลังใจ เธอจึงโยนส้อมทิ้งและใช้มือ
โม่จิ่นหยุนกำลังจะพูด แต่ถูกโม่ถิงเซียวขัดจังหวะ:“เธอยังไม่ได้กินข้าวใช่ไหม?”
“ยังเลย”
โม่ถิงเซียวพูดอย่างเมินเฉย:“งั้นก็ไปกินข้าวเถอะ ไม่ต้องห่วงมู่มู่”
เมื่อโม่จิ่นหยุนเข้ามาในห้องอาหาร คนรับใช้ก็นำอุปกรณ์ทานอาหารไปวางไว้ที่ฝั่งตรงข้ามของโม่ถิงเซียว
โม่มู่มู่กินผลไม้ในชามจนหมด จากนั้นเธอก็ดึงแขนเสื้อของโม่ถิงเซียวและยกชามขึ้น:“พ่อ หนูกินหมดแล้ว”
เธอยังกินไม่หมดปากและแก้มของเธอก็ป่อง
โม่ถิงเซียวเห็นแล้วก็รู้สึกตลก เขายื่นมือออกไปหยิกแก้มของเธอ
“โอ้โห ทำอะไรเนี่ย……”
โม่ถิงเซียวหดมือกลับมาและคนรับใช้ก็หยิบทิชชู่มาเช็ดน้ำผลไม้ที่มุมปากของโม่มู่
โม่มู่ไม่ค่อยให้ความร่วมมือ เธอยื่นมือไปทางโม่ถิงเซียวและต้องการให้โม่ถิงเซียวยกเธอออกจากเก้าอี้สำหรับทานอาหารของเด็ก
“มาแล้ว” โม่ถิงเซียวหยิบทิชชู่จากคนรับใช้มาเช็ดที่มุมปากของโม่มู่ แล้วอุ้มเธอมานั่งบนตัก:“นั่งให้ดี”
โม่มู่นั่งลงอย่างเชื่อฟังและไม่วุ่นวาย
โม่ถิงเซียวทานข้าวต่อไป
เมื่อโม่จิ่นหยุนเห็นปฏิสัมพันธ์ระหว่างพ่อกับลูกสาว เธอก็พูดด้วยสีหน้ายุ่งเหยิง:“นายอย่าตามใจเธอมากเกินไป เดี๋ยวเด็กจะเสียนิสัย”
โม่มู่สังเกตลูกกระเดือกของโม่ถิงเซียว ตอนที่โม่ถิงเซียวทานข้าว กระเดือกขยับได้ โม่มู่ยื่นมือไปจับด้วยความประหลาดใจ
โม่ถิงเซียวจับมือที่ยุ่งเหยิงของเธอและชำเลืองมองเธอเป็นการตักเตือน โม่มู่โน้มตัวเข้ามาในอ้อมแขนของเขาอย่างรวดเร็วและไม่ส่งเสียงใดๆ
หลังจากนั้นโม่ถิงเซียวก็เงยหน้าขึ้นมองโม่จิ่นหยุนและพูดด้วยน้ำเสียงเฉยเมย:“เสียนิสัยที่ไหนกัน?”
โม่จิ่นหยุนรู้สึกสับสนกับคำพูดของเขา จึงมองไปที่ใบหน้าที่ไร้ความรู้สึกของโม่ถิงเซียวจากนั้นก็มองไปที่โม่มู่ที่เงียบสงบและประพฤติตัวดี เธอเม้มริมฝีปากและไม่พูดอะไร
เมื่อโม่ถิงเซียวกินข้าวเสร็จ เขาก็พบว่าโม่มู่หลับเหมือนไก่ที่จิกข้าวแล้วหลับไป
โม่ถิงเซียวค่อยๆอุ้มโม่มู่ไปชั้นบนและวางเธอลงบนเตียง
เมื่อวางลงโม่มู่ก็ฮึมฮัมเบาๆ โม่ถิงเซียมยื่นมือไปตบตูดเธอ หลังเธอก่อนที่เธอจะหลับไปอีกครั้ง
เจ้าก้อนกลมกำลังนอนหลับบนเตียงเหมือนหมู
โม่ถิงเซียวนึกถึงตอนที่ฟื้นขึ้นมาครั้งแรก เขาจำอะไรไม่ได้เลยและเขาก็ไม่ได้สนใจลูกสาวคนนี้มากนัก เป็นคนรับใช้เลี้ยงดูลูกสาวของเขา
จนกระทั่งวันหนึ่งเมื่อเขากลับมาจากเลิกงาน เจ้าก้อนกลมก็เดินโซเซมาจูบเขา……
บางทีนี่อาจเป็นความมหัศจรรย์ของความสัมพันธ์ทางสายเลือด
เขาจำได้ได้ว่าเมื่อก่อนเขาคบกับซูเหมียนได้ยังไง เขาไม่ได้รู้สึกดีกับซูเหมียนเลย แต่โม่มู่มีความสำคัญกับเขามาก
หลังจากแน่ใจว่าโม่มู่หลับไปแล้ว โม่ถิงเซียวปิดประตูเบาๆ แล้วออกไป
ทันทีที่ออกมาเขาก็เห็นโม่จิ่นหยุดที่ดูเหมือนว่าจะรอเขาอยู่นานแล้ว
“ถิงเซียว ฉันมีเรื่องจะคุยกับนาย”
โม่ถิงเซียวเอามือล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกงและทำตัวตามสบาย:“ถ้าเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับซูเหมียน เธอไม่จำเป็นต้องพูดแล้ว ฉันเบื่อที่จะฟัง”
“ซูเหมียนไม่ดีตรงไหน เธอจริงใจกับนาย หรือว่าแม่ผู้ให้กำเนิดของโม่มู่ เธออายุมากขึ้น……”
โม่ถิงเซียวพูดขัดจังหวะเธอ:“เธอก็อายุมากแล้ว ควรที่จะแต่งงานออกไปได้แล้ว”
“ถิงเซียว นาย……”