มู่นวลนวลอดไม่ได้ที่จะหัวเราะแล้วยื่นมือไปลูบผมของเธอเบา ๆ และถามว่า:“เธอจำฉันได้?”
เด็กผู้หญิงตัวเล็กพยักหน้า แล้วยื่นมือเข้าไปในอ้อมแขนของเธอและพูดอ้อแอ้ว่า:“หาโม่ชิงเจียว”
มู่นวลนวลรู้สึกงุนงงเล็กน้อยกับการกอดอย่างกะทันหันนี้
เจ้าตัวเล็กที่อยู่ในอ้อมแขนกอดคอและจ้องมองเธอ
เด็กสมัยนี้เป็นสนิทสนมง่ายขนาดนี้เลยหรอ?
ผู้หญิงส่วนใหญ่ไม่สามารถต้านทานกับสิ่งน่ารักได้ นับประสาอะไรกับเด็กผู้หญิงตัวเล็กที่น่ารักน่าชังอย่างนี้
เด็กผู้หญิงตัวเล็กพูดเร็วเกินไปจนมู่นวลนวลไม่เข้าใจว่าเธอพูดอะไร จึงถามว่า:“เธอพูดถึงใครนะ?”
“โม่ชิงเจียว” โม่มู่พูดอย่างตั้งใจอีกครั้ง
มู่นวลนวลผงะไปครู่หนึ่ง และรู้ว่าเธอกำลังพูดถึงโม่ถิงเซียวและถามว่า:“เธอชื่ออะไร?”
“มู่มู่” โม่มู่พูดอย่างตรงไปตรงมา
เมื่อมู่นวลนวลเห็นว่าโม่มู่พูดอย่างตรงไปตรงมา ถามอะไรก็ตอบอย่างนั้นก็ดไม่ได้ที่จะรู้สึกเป็นห่วง
ลูกสาวที่ถูกเลี้ยงดูมาจากครอบครัวที่ร่ำรวยอย่างตระกูลโม่ จะซื่ออย่างนี้ได้ยังไง เธอควรจะฉลาดกว่านี้
มู่นวลนวลอุ้มเธอขึ้นมาแล้วถามว่า:“เธอมากับพ่อของเธอหรอ?”
โม่มู่ส่ายหัว
มู่นวลนวลรู้สึกลำบากใจนิดหน่อย เธอจะพาโม่มู่ไปหาโม่ถิงเซียวที่ไหนล่ะ?
น่าจะต้องไปที่โม่กรุ๊ป
แต่เธอไม่รู้ว่าโม่กรุ๊ปอยู่ที่ไหน
ต่อให้ไปที่โม่กรุ๊ปก็ไม่แน่ว่าจะเจอโม่ถิงเซียว
ในเวลานี้พวกเธอบังเอิญเดินผ่านร้านอาหารร้านหนึ่งที่ป้ายโฆษณาด้านนอกร้านอาหารมีภาพเฟรนช์ฟรายส์
โม่มู่ชี้ไปที่เฟรนช์ฟรายส์ด้วยแววตาที่เป็นประกายและพูดตรงๆว่า:“เฟรนช์ฟรายส์!”
มู่นวลนวลเห็นว่าเธออยากกินเฟรนช์ฟรายส์ และมันก็ถึงเวลาอาหารแล้ว มู่นวลนวลจึงอุ้มเธอเข้าไป
ตอนนี้เธอก็ไม่รู้ว่าจะหาโม่ถิงเซียวและคนอื่นๆ ในตระกูลได้ยังไง เธอจึงพาโม่มู่ไปทานอาหารก่อน
มู่นวลนวลสั่งเฟรนช์ฟรายส์ให้โม่มู่ และสั่งข้าวผัดกับซุปด้วย
มู่นวลไม่เคยดูแลเด็ก เธอหยิบช้อนกำลังป้อนโม่มู่ แต่ในพริบตาเดียวเธอก็เห็นโม่มู่ถือตะเกียบแล้วคีบอาหารเข้าปากแล้ว
เธอบีบมือซ้ายเป็นกำปั้นเล็กๆ แล้ววางบนโต๊ะอาหาร เธอถือตะเกียบด้วยมือขวา และโน้มตัวไปที่ขอบชาม จากนั้นก็อ้าปากแล้วคีบข้าวเข้าปากอย่างรวดเร็ว
แต่ด้วยความที่เธอยังเด็กก็มีข้าวติดที่ข้างปากและบางส่วนก็หล่นลงที่พื้น ที่มุมปากของเธอมีข้าวติดอยู่เต็มไปหมด
มู่นวลยิ้มให้กัความน่ารักของเธอโดยไม่รู้ตัว เธอขอให้บริกรเอาซุปชามเล็กมาให้ และใช้ช้อนคนจนหายร้อน จากนั้นก็ให้โม่มู่ดื่ม
เธอเคยเห็นเด็กๆ ของครอบครัวอื่นๆทานอาหารคำโต เธอรู้สึกว่าเด็กตัวเล็กๆนั้นน่ารักมาก ไม่ต้องพูดถึงโม่มู่ที่หน้าตาเหมือนกับตุ๊กตา เธอรู้ว่าตัวเองไม่ต้องกินข้าวก็เป็นได้ แค่ได้ดูโม่มู่เธอก็อิ่มแล้ว
มู่นวลนวลชิมของตัวเองและรู้สึกว่าน้ำซุปอุ่นแล้ว เธอจึงหยิบช้อนขึ้นมาป้อนเข้าปากของโม่มู่แล้วพูดอย่างอ่อนโยนว่า:“กินน้ำซุปหน่อย ค่อยๆกินนะ”
โม่มู่กินน้ำซุปหกที่ข้างปากและกินข้าวต่อ
มู่นวลนวลนั่งมองโม่มู่อยู่ข้างๆ และตัวเองก็ไม่ได้กินข้าวมากนัก
เมื่อโม่มู่กินเกือบหมดแล้ว มู่นวลนวลก็ให้บริกรในำเฟรนช์ฟรายส์มาเสิร์ฟ
เด็กๆ ชอบอาหารทานเล่นแบบนี้ แต่ทานเยอะไม่ได้ หลังจากที่โม่มู่ทานข้าวอิ่มแล้วก็ทานเฟรนช์ฟรายส์ได้มากนัก เธอทานเฟรนช์ฟรายส์กับซอสมะเขือเทศ
เมื่อเห็นว่าเธออิ่มแล้ว มู่นวลนวลจึงถามเธอว่า:“พวกเราจะไปหาพ่อของเธอได้ที่ไหน?”
อันที่จริงมู่นวลนวลก็แค่ถามเท่านั้น และเธอไม่คิดว่าโม่มู่จะรู้
วินาทีต่อมาโม่มู่ส่งก็ส่งตุ๊กตาที่เธอถือไว้ให้มู่นวลนวล:“โทรศัพท์ไง”
มู่นวลนวลมองตุ๊กตาเสือสีชมพูที่เธอส่งให้ น่ารักมากเลย
เธอรับและถามโม่มู่ว่า:“ใช้อันนี้หรอ?”
“อึ้ม” โม่มู่รีบพยัหน้าแะมองไปที่เธออย่างมีความหวัง
มู่นลนวลมองตุ๊กตาเสือในมือของเธออย่างเก้ๆกังๆ
เธอคิดว่าปกติแล้วตอนที่อยู่ที่บ้านโม่ถิงเซียวใช้เสือน้อยตัวนี้แกล้งโม่มู่……
เมื่อคิดอย่างนี้แล้ว เธอจึงบีบตุ๊กตาเสือไปสองครั้ง เธอรู้สึกว่าสัมผัสถูกวัตถุที่แข็งบางอย่าง
มู่นวลนวลบีบอีกครั้งเพื่อให้แน่ใจว่ามีอะไรอยู่ในตุ๊กตา เธอยื่นมือไปเปิดซิปที่ด้านหลังของตุ๊กตาและหยิบไม้ขนาดเล็กออกมาจากผ้าฝ้าย
มีชื่อและเบอร์โทรศัพท์สลักไว้บนบล็อกไม้อย่างชัดเจน
“โม่ชิงเจียว?” มู่นวลนวลเห็นชื่อที่เขียนไว้แล้วก็พูดออกมา
ทันทีที่โม่มู่ได้ยินเสียงของเธอก็เอียงหัวและพูดว่า:“คุณเรียกพ่อฉัน”
มู่นวลนวลหยิบบล็อกไม้เล็กๆ แล้วถามโม่มู่ว่า:“อันนี้ พ่อเธอใส่ไว้หรอ?”
“อึ้ม เบอร์ของพ่อ” โม่มู่พยักหน้าอย่างดีใจ
มู่นวลนวลตกตะลึงไปชั่วขณะ
เธอนึกถึงวันนั้นที่เธอออกจากโรงพยาบาล
มันยากที่จะจินตนาการได้ว่าผู้ชายที่แข็งแกร่งอย่างนั้นจะทำสิ่งเล็กๆน้อยๆ ที่ใ่ใจอย่างนี้และยังสลักคำว่า “โม่ชิงเจียว” ไว้ด้วย
จากสิ่งนี้ทำให้เห็นได้ว่าโม่ถิงเซียวรักลูกสาวของเขามาก
เธอคิดว่าโม่ถิงเซียวจะเป็นคนที่เย็นชามาก
มู่นวลนวลเหลือบมองไปข้างนอกร้านอาหาร
นานขนาดนี้แล้วก็ไม่เห็นมีใครมาตามหาโม่มู่
มู่นวลนวลจึงกดเบอร์โทรศัพท์ของ “โม่ชิงเจียว”
หลังจากที่เธอกดเบอร์โทรศัพท์แล้ เธอก็ไม่ได้โทรออกทันที
ไม่รู้ว่าทำไมเธอถึงรู้สึกใจสั่นอย่างบอกไม่ถูก
ดูเหมือน……ตื่นเต้น?
โม่มู่ที่อิ่มแล้วเห็นมู่นวลนวลถือโทรศัพท์ จึงโน้มตัวเข้าไปถามว่า:“โทรรึยัง?”
“กำลังจะโทรเลย” มู่นวลนวลยื่นมือไปลูบหัวโม่มู่และกดโทรออก
ในขณะที่มู่นวลนวลโทรออก เธอก็เปิดสปีกเกอร์โฟน
เมื่อได้ยินเสียงรอสายดังขึ้น หัวใจของมู่นวลนวลก็เต้นแรง
ความรู้สึกนี้ยากที่จะอธิบาย เธอได้พบกับโม่ถิงเซียวครั้งแรกในวันที่เธอออกจากโรงพยาบาล
เมื่อโม่มู่ได้ยินเสียง “ตู๊ด” ก็คิดว่าโทรติดแล้ว เธอจึงเรียก:“พ่อ?”
มู่นวลนวลยิ้ม:“พ่อของเธอยังไม่รับสายเลย รอเดี๋ยวนะ”
“อ้อ” โม่มูตอบและจ้องมองไปที่หน้าจอโทรศัพท์ แววตาที่มีความหวังของเธอทำให้มู่นวลนวลใจละลาย
หลังจากที่โทรศัพท์ดังขึ้นสี่ครั้งก็มีเสียงทุ้มของชายคนหนึ่งดังขึ้น:“ใครครับ?”
เสียงของเขาทุ้มและเย็นชา
เมื่อโม่มู่ได้ยินเสียงของโม่ถิงเซียวก็ตะโกนเรียกด้วยความดีใจ:“พ่อ!”
“มู่มู่?” เสียงแตกต่างกับเมื่อตะกี้ เห็นได้ชัดว่าเสียงของ “มู่มู่” มีอารมณ์ร่วมไปด้วย
“มู่มู่เอง พ่ออยู่ไหนคะ……” ทันทีที่เริ่มพูด โม่มู่ก็พูดไม่หยุด
โม่ถิงเซียวที่อยู่อีกด้านหนึ่งของโทรศัพท์ฟังอย่างเงียบๆ สักพัก เพื่อให้แน่ใจว่าเสียงของโม่มู่ฟังดูปกติ จากนั้นก็พูดด้วยน้ำเสียงทุ้มว่า:“เอาโทรศัพท์ให้ฉันคุยกับพี่สาวหน่อย”
มู่นวลนวลรู้สึกประหลาดใจว่าโม่ถิงเซียวรู้ได้ยังไงว่ามีพี่สาวคนหนึ่งช่วยโทรศัพท์ให้ลูกสาวของเขา?