โม่ถิงเซียวเหมือนคนนอก เขาเฝ้าดูการโต้แย้งที่ไร้เรี่ยวแรงของโม่จิ่นหยุนด้วยสายตาเย็นชา
เขาจ้องมองโม่จิ่นหยุนอย่างเย็นชาจนคำพูดแก้ต่างที่จะพูดออกมานั้นถูกขัดจังหวะ
“พูดจบแล้วหรอ?” โม่ถิงเซียวพูดเสียดสี
โม่จิ่นหยุนขยับริมฝีปาก แต่ก็พูดไม่ออก
โม่ถิงเซียวหัวเราะเยาะเย้ยแล้วเดินกลับขึ้นไปข้างบนที่ห้องหนังสือ
เขาปิดประตูห้องหนังสือและเดินไปที่หน้าต่าง
ข้างนอกหน้าต่างมีฝนตกในยามค่ำคืนอันหนาวเหน็บ ไฟถนนในลานบ้านมืดสลัว ต้นไม้ซ้อนทับกันจนเป็นเงามืด
ฝนยังคงตกและมีลมพัดแรง
โม่ถิงเซียวมองออกไปนอกหน้าต่างสักพัก และจู่ๆก็นึกถึงฉากที่มู่นวลนวลกับลี่จิ่วเหิงยืนอยู่ด้วยกัน
ภาพนั้นไม่เข้าตา……มาก
……
หลังจากมู่นวลนวลกับลี่จิ่วเหิงกลับมาบ้านก็อาบน้ำอุ่นและเปลี่ยนเสื้อผ้า
เมื่อเธอออกมาก็พบว่าลี่จิ่วเหิงทำน้ำขิงให้เธอหนึ่งชาม
ลี่จิ่วเหิงนำน้ำขิงมาให้เธอและพูดว่า:“อาจจะเผฺ็ดหน่อยนะ”
มู่นวลนวลหยิบช้อนขึ้นมา และมีอะไรบางอย่างแวบเข้ามาในหัว
ดูเหมือน……มีใครเคยทำน้ำขิงให้เธอมาก่อน……
เธอปวดหัวจนช้อนในมือตกลงไปในชาม เธอหลับตาและเอามือกุมหน้าผาก
“เป็นอะไร?” เมื่อลี่จิ่วเหิงเห็นปฏิกิริยาของเธอแล้วก็ชะโงกหน้าไปมองเธอทันที และพูดด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล
มู่นวลนวลพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนแอ:“ปวดหัวนิดหน่อย……”
เมื่อลี่จิ่วเหิงได้ยินอย่างนั้นก็กระพริบตา:“จำอะไรได้หรอ?”
“ไม่ใช่……”
อาการปวดหัวเกินขึ้นอย่างรวดเร็วและหายไปในไม่นาน เธอส่วยหัวด้วยความมึนงง และหันไปถามกูจื่อหยาน:“คุณเคยทำน้ำขิงให้ฉันมาก่อนไหม?”
ลี่จิ่วเหิงพูดด้วยความสนใจ:“เธอทายสิ?”
มู่นวลนวลยิ้มเยาะ ลี่จิ่วเหิงเป็นคนระมัดระวังและรอบคอบ น้อยมาที่เขาจะล้อเล่นกับเธออย่างนี้
เธอยิ้มและพูดว่า:“คุณก็รู้ว่าฉันจำอะไรไม่ได้”
“งั้นก็ไม่สำคัญ” หลังจากที่ลี่จิ่วเหิงพูดจบ เขาก็เร่งรัดเธอ:“ดื่มเร็วเข้า”
เมื่อมู่นวลนวลดื่มน้ำขิงเสร็จก็ดึกมากแล้ว จึงรีบต้มบะหมี่สองชามเพื่อเป็นอาหารเย็นของทั้งสองคน
ใขขณะที่กิน มู่นวลนวลก็นึกถึงโม่ถิงเซียวกับโม่มู่และพูดว่า:“คุณโม่คนนั้นดูยากที่จะเข้าถึง แต่ลูกสาวของเขาน่ารักมากเลย”
ลี่จิ่วเหิงหยุดคีบตะเกียบในมือและถามอย่างใจเย็น:“เธอคิดว่าเขาเป็นยังไง?”
“ในฐานะพ่อ ฉันดูออกได้ว่าเขารักลูกสาวของเขามาก แต่นิสัยของเขาค่อนข้างแปลกๆ” เธอพูดพลางพยักหน้าเห็นด้วย
“งั้นหรอ” ลี่จิ่วเหิงตอบและไม่พูดอะไร
เมื่อมู่นวลนวลเงยหน้าขึ้นและเห็นหน้าตาท่าทางที่ครุ่นคิดของลี่จิ่วเหิง
“คุณเป็นอะไร?”มู่นวลนวลแทบจะไม่เห็นลี่จิ่วเหิงแสดงท่าทีอย่างนี้เลย จึงถามว่า:“คุณเป็นอะไร?งานไม่ราบรื่นหรอ?”
“เปล่า” ลี่จิ่วเหิงยิ้มและส่ายหัว:“กินกันเถอะ”
มู่นวลนวลก้มลงกินบะหมี่ต่อ แต่ความครุ่นคิดในดวงตาของลี่จิ่วเหิงก็มากยิ่งขึ้น
เมื่อพิจารณาจากสถานการณ์ในวันนี้ ทั้งสองคนจำกันไม่ได้
……
วันต่อมา
ปกติแล้วโม่ถิงเซียวจะนั่งรถไปทำงานที่โม่กรุ๊ป
แต่วันนี้เมื่อนั่งรถไปได้ครึ่งทาง โม่ถิงเซียวก็บอกคนขับรถว่า:“ไปที่ Shengding Media”
เนื่องจากเรื่องเมื่อวาน คนขับรถจึงไม่กล้าถามอะไรเพิ่มเติม:“ครับ”
ไม่นานรถก็ไปจอดอยู่บนถนนตรงข้ามกับประตูทางเข้า Shengding Media
โม่ถิงเซียวหลือบมองไปที่ประตูของ Shengding Media และบอกคนขับรถว่า:“ลงไป ถ้าเจอกูจื่อหยานบอกว่าฉันต้องการพบเขา”
คนขับได้ลงจากรถและเดินจากไป
ไม่นานเขาก็พากูจื่อหยานมา
ชายคนนั้นหน้าตาเคร่งขรึมและดูเหมือนจะเป็นคนที่ระมัดระวังและมั่นคง
เมื่อเห็นโม่ถิงเซียว กูจื่อหยานก็ไม่อยากจะเชื่อ:“ถิงเซียว นายอยากเจอฉัน?”
ทุกครั้งที่ผ่านมาเขาจะเป็นฝ่ายไปหาโม่ถิงเซียว และทุกครั้งเขาก็จะถูกโม่ถิงเซียวไล่กลับมา ไม่คิดว่าวันหนึ่งโม่ถิงเซียวจะเป็นฝ่ายมาหาเขาก่อน
ผู้คนจะถูกท้าทายอยู่ตลอดเวลาจากความเป็นจริง ขอเพียงไม่ลดละความพยายามของตัวเอง
เมื่อก่อนเขาคิดว่าการที่โม่ถิงเซียวไม่มากินข้าวกับเขานั้นโหดร้ายมาก แต่ตอนนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะได้เจอเขา……
โม่ถิงเซียวละสายตาและตอบว่า:“อืม”
กูจื่อหยานดึงประตูรถแล้วเขาไปนั่ง เขาขยับตัวและหันไปมองซือเย่ จากนั้นก็พูดกับโม่ถิงเซียวว่า:“ให้ซือเย่เข้ามาด้วยเถอะ?นายคงจำเขาไม่ได้ เมื่อก่อนเขาเป็นผู้ช่วยของนาย และติดตามนายมาหลายปี”
ปีนั้นหลังจากที่เกิดเรื่องขึ้นกับโม่ถิงเซียว โม่จิ่นหยุนก็ไล่ซือเย่ออก
หลังจากถูกไล่ออกซือเย่ก็ไปหากูจื่อหยานที่ Shengding Media และทำงานอยู่กับกูจื่อหยาน
โม่ถิงเซียวกลับจ้องมองชายคนนั้นด้วยสีหน้าแข็งกร้าวและพยักหน้าอย่างสุดลูกหูลูกตา
โม่ถิงเซียวมองชายที่ท่าทางแข็งทื่อคนนั้นอีกครั้งและพยักหน้า
กูจื่อหยานที่เคยถูกโม่ถิงเซียวปฏิเสธที่จะพูดคุยด้วยก็รู้สึกดีใจละประหลาดใจมาก เขาพูดอย่างไม่อยากจะเชื่อว่า:“นาย……ความทรงจำของนายกลับมาแล้วหรอ?”
โม่ถิงเซียวพูดอย่างเย็นชา:“เปล่า”
“งั้นนายมาหาฉันทำไม?” กูจื่อหยานพูดด้วยน้ำเสียงระมัดระวัง เขารู้สึกเหมือนว่าตัวเองเป็นนางสนมที่อยู่ในวัยเย็นแล้วถูกฮ่องเต้เรียกพบ
โม่ถิงเซียวถามเขาตรงๆ:“เมื่อก่อนเราสนิทกันมากเลยหรอ?”
“ใช่น่ะสิ”กูจื่อหยานถอนหายใจ:“นายอารมณ์ร้อนขนาดนั้น นอกจากฉันแล้วจะมีใครรับได้ และยังมีใครที่อยากจะเป็นเพื่อนกับนายอีก จริงๆ……”
เขาพูดได้เพียงครึ่งหนึ่งก็รู้สึกว่าอากาศและอุณหภูมิในรถดูเหมือนจะลดต่ำลง
แม้ว่าโม่ถิงเซียวจะสูญเสียความทรงจำ แต่นิสัยของเขาก็ไม่ได้เปลี่ยนไปเลย
เขายิ้มเยาะ:“จะบอกอะไรให้นะ นอกจากฉันแล้ว ซือเย่ก็เป็นคนที่สนิทสนมกับนายที่สุด เขาเป็นลุกน้องที่ทำงานให้นายมาหลายปี”
หลังจากที่พูดจบเขาก็ผลักซือเย่ที่นั่งอยู่ข้างๆ:“ซือเย่ นายว่าจริงไหม”
หลังจากที่เขาถูกโม่จิ่นหยุนไล่ออก นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันได้เจอโม่ถิงเซียวในรอบสามปีที่ผ่านมา
ด้วยสถานะจะแตกต่างกัน จึงไม่มีโอกาสที่จะได้เจอกันเลย
เมื่อนึกถึงสิ่งเหล่านี้เขาพยักหน้าด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย:“ครับ”
โม่ถิงเซียวกวาดสายตามองไปที่ทั้งสองคน แล้วหยิบนามบัตรส่งให้ซือเย่:“ตอนนี้ฉันขาดผู้ช่วย ตัดสินใจดีแล้วก็โทรหาฉัน”
กูจื่อหยานเบิกตากว้างอย่างว่างเปล่า วันนี้โม่ถิงเซียวมาหาเขาไม่ใช่หรอ?
ตอนนี้ทำไมถึงส่งนามบัตรให้ซือเย่?
ซือเย่รับนามบัตรด้วยท่าทางประหลาดใจ
โม่ถิงเซียวเอามือกลับและพูดเบาๆว่า:“ฉันต้องไปบริษัทแล้ว”
นี่เป็นการสั่งให้กูจื่อหยานกับซือเย่ลงจากรถ
กูจื่อหยานกับซือเย่มองหน้ากัน แม้ว่าพวกเขาจะไม่เข้าใจว่าโม่ถิงเซียวหมายถึงอะไร แต่การที่พวกเขาทำตามที่โม่ถิงเซียวสั่งจนชิน ทำให้พวกเขาลงจากรถไปอย่างเชื่อฟัง
โม่ถิงเซียวมองไปที่ด้านหลังของทั้งสองผ่านหน้าต่างรถ และมีความคิดแวบขึ้นมาในหัวของเขา
เมื่อสามปีก่อนหลังจากที่เขาฟื้นขึ้นมาก็มีพียงโม่จิ่นหยุนคนเดียวอยู่ข้างๆเขา เขาเขาสูญเสียความทรงจำทั้งหมด และแน่นอนว่าเขาเลือกที่จะเชื่อโม่จิ่นหยุนที่เป็นสายเลือดเดียวกันกับเขา
แต่เหตุการณ์ในช่วงนี้ ทำให้เขารู้สึกว่าโม่จิ่นหยุนไม่ได้น่าเชื่อถือขนาดนั้น