โม่ถิงเซียวกลับไปถึงโม่กรุ๊ป โม่จิ่นหยุนก็รออยู่ในห้องทำงานของประธานบริษัท
เมื่อเขาเดินเข้าไปก็เห็นโม่จิ่นหยุนนั่งอยู่บนโซฟา หน้าตาของเธอบึ้งตึง เห็นได้ชัดว่าเธอมารอเขาอยู่นานแล้ว
เมื่อโม่ถิงเซียวเข้ามา เธอก็ถามว่า:“นายไปไหนมา?”
“ฉันจะไปไหนจำเป็นต้องรายงานเธอด้วยหรอ?” โม่ถิงเซียวเหลือบมองเธอ และเดินตรงไปนั่งบนเก้าอี้ที่อยู่ด้านหลังโต๊ะทำงาน
และเพิกเฉยต่อโมจิ่นหยุน
โม่จิ่นหยุนโกรธมาก เธอใส่รองเท้าส้นสูงและลุกขึ้นเดินไปตรงหน้าเขา:“ถิงเซียว เราเป็นพี่น้องกันแท้ๆ และมีสายเลือดเดียวกัน เราควรจะเชื่อใจกันและสนับสนุนซึ่งกันและกัน”
“เชื่อใจกันหรอ?” โม่ถิงเซียวยิ้มเยาะราวกับว่าได้ยินเรื่องตลก จึงถามเธอว่า:“เธอเคยโกหกฉันไหม?”
โม่ถิงเซียวจ้องมองไปที่เธอด้วยสายตาที่เฉียบคม จนทำให้เธอลุกลี้ลุกลนและฝืนยิ้ม เธอถามอย่างไม่แน่ใจว่า:“ใครมาพูดอะไรกับนายหรอ?”
โม่ถิงเซียวไม่ตอบ และจ้องมองไปที่เธอ
โม่จิ่นหยุนถูกเขามองจนรู้สึกอึดอัด เธอกลัวว่าสิ่งที่โกหกไว้จะถูกเปิดเผยจนไม่รู้ว่าจะเอามือไปวางไว้ตรงไหน
ทำไมเธอต้องรู้สึกหวาดกลัว?
ทุกสิ่งที่เธอทำในตอนนั้นก็เพื่อโม่ถิงเซียวและตระกูลโม่!
เมื่อนึกถึงตรงนี้ สีหน้าท่าทางของโม่จิ่นหยุนก็กลับมาเป็นปกติ:“ไม่ว่าคนอื่นจะพูดอะไรกับนาย นายก็อย่าเชื่อพวกเขา กว่าพวกเราตระกูลโม่จะมาถึงวันนี้ มีสายตากี่คู่ที่จ้องมองมาที่พวกเรา และอยากให้เราสองพี่น้องขัดแย้งกันเอง จากนั้นพวกเขาก็รอที่จะกอบโกยผลประโยชน์จากเรา!”
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่โม่ถิงเซียวได้ยินคำพูดเช่นนี้จากเธอ จนเขาไม่รู้ว่าจะพูดอะไร:“งั้นหรอ?”
โม่จิ่นหยุดพูดอย่างมั่นใจ:“ใช่น่ะสิ!”
โม่ถิงเซียวไม่สนใจเธอ เขาก้มลงเปิดคอมพิวเตอร์:“ฉันจะทำงานแล้ว เธอออกไปเถอะ”
โม่จิ่นหยุนไม่แน่ใจว่าโม่ถิงเซียวเชื่อที่เธอพูดหรือไม่ แต่เธอก็ทำได้แค่หันหลังเดินออกไป
หลังจากที่ออกมาใบหน้าของโม่จิ่นหยุนก็เต็มไปด้วยความสงสัย
สามปีที่ผ่านมาโม่ถิงเซียวก็ดีๆอยู่ เขาจำเรื่องในอดีตไม่ได้เลยสักนิด และไม่ได้ติดต่อกับกูจื่อหยานและคนเหล่านั้น แม้ว่าเขาจะไม่ได้ใกล้ชิดกับเธอมากนัก แต่เขาก็ยังฟังเธอ
แต่ช่วงนี้เธอพบว่าโม่ถิงเซียวควบคุมได้ยากขึ้นเรื่อยๆ
จริงๆแล้วปัญหามันอยู่ที่ตรงไหน?
โม่จิ่นหยุนคิดไปพลางเดินกลับไปที่ห้องทำงานของตัวเองไปพลาง และเธอก็โทรออกไปต่างประเทศทันที
โทรศัพท์ดังขึ้นหลายครั้งก่อนที่จะรับสาย
ทันทีที่มีการรับสาย โม่จิ่นหยุนก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟและพูดว่า:“หมอหลี่ ระยะนี้ฉันเริ่มควบคุมน้องชายของฉันไม่ได้แล้ว ฉันพูดอะไรเขาก็ไม่ฟัง ฉันสงสัยว่าการสะกดจิตของคุณเป็นปัญหา!”
อีกด้านหนึ่งของโทรศัพท์เงียบมาก
หลังจากนั้นไม่นานเสียงแหบแห้งของผู้ชายก็ดังขึ้น:“การสะกดจิตไม่ใช่การดูดจิตวิญญาณ แม้ว่าเขาจะถูกสะกดจิตเ ขาก็ยังมีความคิดเป็นของตัวเอง ถ้าคุณต้องการให้เขาทำตามที่คุณพูดและต้องการที่จะควบคุมเขา งั้นก็ขึ้นอยู่กับความสามารถของคุณเอง”
ไม่มีความผิดปกติใดๆในน้ำเสียงของหมอหลี่ แต่โม่จิ่นหยุนรู้สึกว่าเขากำลังพูดเหน็บแนมตัวเอง
โม่จิ่นหยุนกำมือแน่นและพูดด้วยสีหน้าที่ไม่น่ามอง:“คุณกำลังเหน็บแนมว่าฉันไม่มีความสามารถหรอ?”
หมอหลี่พูดอย่างไม่รีบร้อน:“ในช่วงสามปีที่ผ่านมา คุณเป็นคนเดียวที่ได้รับความไว้วางใจจากเขา แต่ฝีมือของคุณไม่ดีเอง”
“คุณ……”
โม่จิ่นหยุนภาคภูมิใจในตัวเองมาโดยตลอด และเธอแทบจะไม่เห็นใครอยู่ในสายตา เมื่อได้ยินคำพูดแบบนี้ แน่นอนว่าเธอต้องโกรธมาก
แต่เมื่อคิดว่าเรื่องของโม่ถิงเซียวยังต้องพึ่งพาหมอหลี่คนนี้ เธอก็ระงับความโกรธทันที
เธอหลับตาลงเพื่อสงบสติอารมณ์และถามอีกครั้ง:“หมอหลี่ เป็นไปได้ไหมที่น้องชายของฉันจะจำเรื่องก่อนหน้านี้ได้?”
“คำถามนี้ของคุณไม่มีคำตอบที่แน่นอน”
“ความหมายของคุณคือเขอาจจะจำเรื่องก่อนหน้านี้ได้?” โม่จิ่นหยุนสีหน้าเปลี่ยน:“ในตอนแรกคุณบอกว่าไม่มีทางพลาดไม่ใช่หรอ?”
“นั่นเป็นเพียงสิ่งที่คุณคิด ผมยังมีงานต้องทำ บ๊ายบายคุณโม่”
หลังจากที่หมอหลี่พูดจบก็วางสาย
“หมอหลี่?ฮัลโหล?ฮัลโหล?” โม่จิ่นหยุนไม่อยากจะเชื่อเลยว่าหมอคนนี้จะกล้าวางสายใส่เธอ
เธอโกรธมากจนโยนโทรศัพท์ และเดินไปรอบๆในห้องทำงานอย่างกระวนกระวายใจ
ไม่ได้ ไม่สามารถนั่งรอแบบนี้ต่อไปได้ และไม่สามารถให้โม่ถิงเซียวจำเรื่อก่อนหน้านี้ได้
ขอเพียงแค่เขาไม่ติดต่อกับคนก่อนหน้านี้ เขาก็จะไม่สามารถจำเรื่องก่อนหน้านี้ได้อย่างแน่นอน
ผ่านมาสามปีแล้ว ทุกอย่างก็ผ่านมาได้ไม่ใช่หรอ?
โม่จิ่นหยุนยิ่งคิดก็ยิ่รู้สึกว่าความคิดของตัวเองนั้นถูกต้อง
เมื่อคิดอย่างนี้แล้ว โม่จิ่นหยุนก็ต่อสายโทรศัพท์เรียกคนขับรถของโม่ถิงเซียวมา
โม่จิ่นหยุนถาม:“สองวันมานี้ ถิงเซียวไปไหนมาบ้าง?”
คนขับก้มหน้าและพูดอย่างลังเลว่า:“ไม่ได้ไปที่ไหนครับ”
เมื่อได้ยินอย่านั้นโม่จิ่นหยุนก็หัวเราะเยาะ:“เขาไปที่หาคนแซ่กูที่ Shengding Media มาใช่ไหม?”
คนขับรถรีบพูดอย่างรวดเร็ว:“……ครับ”
โม่จิ่นหยุนเหลือบมองเขาและพูดเตือน:“จับตาดูไว้ให้ดี”
……
เนื่องจากซูเหมียนพาโม่มู่ออกไปข้างนอกและเกือบจะทำโม่มู่หาย โม่ถิงเซียวจึงไม่ทำงานล่วงเวลา เมื่อถึงเวลาเลิกงานเขาก็จะออกจากบริษัทและเตรียมที่จะกลับบ้าน
เขากำลังเดินออกจากตึกของโม่กรุ๊ป และโม่จิ่นหยุนก็เดินตามหลังมา
“ถิงเซียว”
เธอรีบเดินตามและเรียกชื่อของโม่ถิงเซียว
โม่ถิงเซียวหันกลับมาและมองเธอด้วยสีหน้าที่นิ่งสงบ:“มีอะไร”
โม่จิ่นหยุนเดินไปข้างหน้าและจับแขนของโม่ถิงเซียวด้วยท่าทางสนิทสนม:“กลับบ้านด้วยกันนะ”
โม่ถิงเซียวมองเธอด้วยความประหลาดใจ เขาดึงแขนของตัวเองออกและเดินไปที่รถของตัวเอง
สีหน้าท่าทางของโม่จิ่นหยุนไม่ค่อยดีนัก แต่เธอก็เดินตามมา
คนขับเปิดประตูรถให้โม่ถิงเซียวเข้าไปนั่ง และโม่จิ่นหยุนก็เดินตามเขาเข้าไปในรถ
โม่ถิงเซียวขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรมาก
เขาก้มหน้าและหยิบเอกสารออกมาดู
โม่จิ่นหยุนที่อยู่ข้างๆก็อึดอัดและวางตัวไม่ถูก
เธอเพิ่งรู้ว่าตัวเองกับโม่ถิงเซียว นอกจากจะความคิดเห็นไม่ตรงกันแล้ว ยังไม่มีเรื่องที่จะพูดคุยกันด้วย
การรับรู้นี้ทำให้เธอไม่สบายมากขึ้น
เธอครุ่นคิดอยู่สักพักแล้วพูดว่า:“ถิงเซียว……”
“ฉันกำลังดูเอกสาร อย่ารบกวนฉัน” โม่ถิงเซียวไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้น เขาพูดด้วยน้ำเสียงเมินเฉยราวกับว่าคุยอยู่กับคนแปลกหน้า
คำพูดของเขามีไว้เพื่อการนี้ และโม่จิ่นหยุนก็ไม่ได้คิดที่จะพูดคุยกับเขาอีก
เมื่อรถจอดที่ประตูบ้านเก่าตระกูลโม่
โม่ถิงเซียวก็ลงจากรถ เขาสังเกตเห็นรถสีขาวจอดอยู่ที่ลานจอดรถหน้าประตู
นั่นเป็นรถของซูเหมียน
ซูเหมียนมักจะมาที่บ้านตระกูลโม่บ่อยๆก็เพราะโม่มู่ เขาเคยลืมตาข้างหนึ่งและปิดตาข้างหนึ่ง
เขาเป็นคนที่ความจำดี หลังจากเห็นแล้วก็จำได้ทันทีว่าเป็นรถของซูเหมียน
เมื่อวานเขาบอกไปแล้วว่าต่อไปไม่ให้ซูเหมียนมาที่บ้านตระกูลโม่อีก
เธอไม่สนใจคำพูดของเขาเลยรึไง?