โม่ถิงเซียวกระหายน้ำนิดหน่อย จึงยืนมือไปหยิบแก้วน้ำมาจิบ
เมื่อเงยหน้าขึ้นเขาก็เห็นสีหน้าของมู่นวลนวลเหมือนอยากจะพูด เขามองลงไปที่แก้วน้ำและถามโม่มู่ว่า:“น้ำจากไหน?”
โม่มู่ชี้ไปที่ห้องน้ำด้วยสีหน้าไร้เดียงสา:“น้ำที่นั่น ที่นั่นยังมีน้ำเยอะมาก พ่ออยากดื่มอีกไหม?”
ในวันปกติโท่มู่เป็นเหมือนเจ้าหญิงตัวน้อยของบ้าน มีคนรับรายล้อมอยู่รอบๆตัวเธอ เธอจะรู้ได้ยังไงว่าน้ำอะไรดื่มได้น้ำอะไรดื่มไม่ได้
โม่ถิงเซียวเม้มริมฝีปาก สีหน้าของเขาเคร่งขรึม:“ต่อไปห้ามเอาน้ำที่นั่นมาดื่มอีกนะ?”
โม่มู่ทำหน้ามุ่ย:“ทำไม?พี่สาวคนสวยบอกว่าอร่อย”
มู่นวลนวลเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าเมื่อกี้โม่มู่ก็เอาน้ำในแก้วนี้ให้เธอดื่ม……
งั้นเธอกับโม่ถิงเซียวก็……จูบกันทางอ้อม?
ไม่รู้ว่าโม่ถิงเซียวคิดแบบเดียวกันกับเธอรึเปล่า และเขาก็เหลือบมองเธอโดยไม่ทราบสาเหตุ
มู่นวลนวลหันหน้าไปอย่างลุกลี้ลุกลน:“คือว่า……คู่หมั้นของฉันน่าจะใกล้กลับมาแล้ว ฉันจะไปรอเขาก่อน”
หลังจากที่พูดจบเธอก็รีบเดินออกไป
สิ่งที่เธอไม่รู้ก็คือเมื่อเธอพูดสายตาของโม่ถิงเซียวยังคงอยู่ที่ริมฝีปากของเธอ
……
หลังจากที่มู่นวลนวลออกจากบ้านของโม่ถิงเซียว เธอพิงกำแพงและถอนหายใจยาวๆอย่างโล่งอก
ทำไมถึงรู้สึกประหม่าเมื่อยืนอยู่ตรงหน้าโม่ถิงเซียว
แค่ดื่มแก้วเดียวกันไม่ใช่หรอ?
ทำไมเธอถึงรู้สึกว่าหัวใจของเธอกำลังจะกระโดดออกมา
ปกติอยู่ร่วมกันกับลี่จิ่วเหิงก็ไม่มีความรู้สึกแบบนี้
นอกจากนี้ผู้ชายที่มีนิสัยเย็นชาอย่างโม่ถิงเซียว และมีลูกสาวนอกนอกสมรสจะดีกว่าลี่จิ่วเหิงได้ยังไง?
หลังจากนั้นไม่นานมู่นวลนวลก็สงบลงและเห็นลี่จิ่วเหิงเดินออกมาจากลิฟต์
เมื่อลี่จิ่วเหิงเห็นเธอก็รีบเดินเข้ามาถามด้วยความกังวล:“ไปไหนมา?ฉันกลับมาบ้าน เห็นโทรศัพท์และกุญแจของคุณยังอยู่ ฉันเลยถามไปที่ร้านสะดวกซื้อ”
ลี่จิ่วเหิงกับมู่นวลนวลต่างเป็นคนหน้าตาดีเข้าออกคอนโดกันเป็นคู่ และเจ้าของร้านสะดวกซื้อตรงทางเข้าคอนโดก็รู้จักพวกเขา
มู่นวลนวลนึกถึงแก้วน้ำแก้วนั้นและลืมตาขึ้นด้วยความรู้สึกผิด:“ฉันลืมกุญแจ เมื่อกี้ฉันอยู่บ้านเพื่อนบ้าน”
ลี่จิ่วเหิงยกมุมริมฝีปากขึ้นแล้วยิ้ม:“สะเพร่าจัง?ดูเหมือนว่าเธอจะขาดฉันไม่ได้จริงๆ”
ในเวลานี้ประตูห้องข้างๆก็เปิดออก
มู่นวลนวลกับลี่จิ่วเหิงหันหน้าไปมอง และเห็นโม่ถิงเซียวยืนอยู่ที่ห้องโถงสวมเสื้อผ้าสีดำ
ลี่จิ่วเหิงที่กำลังจะยื่นมือไปจับมู่นวลนวลก็หยุดชะงัก:“คุณโม่”
“ที่แท้คุณโม่ก็เป็นเพื่อนบ้านใหม่ของเรา”
ไม่รู้ว่าเป็นความเข้าใจผิดของมู่นวลนวลหรือเปล่า เธอรู้สึกว่าน้ำเสียงของลี่จิ่วเหิงไม่ได้แปลกใจ แต่เหมือนจะเป็นอย่างที่คิดไว้
โม่ถิงเซียวกอดอกและพูดด้วยน้ำเสียงเฉยเมย:“คิดไม่ถึงว่าจะได้เป็นเพื่อนบ้านของพวกคุณ บังเอิญจัง”
“หวังว่าจะมีโอกาสได้สังสรรค์กัน เราคงต้องกลับบ้านไปทานข้าวก่อน” ในขณะที่ลี่จิ่วเหิงพูดก็หันไปยิ้มให้มู่นวลนวลอย่างอ่อนโยนและจูงมือเธอ
มู่นวลนวลงอนิ้ว ลี่จิ่วเหิงจึงทำได้เพียงจับมือที่หลังมือของเธอ
นี่เป็นการปฏิเสธ ทุกครั้งที่ลี่จิ่วเหิงแตะต้องเธอ เธอก็จะแสดงท่าทางปฏิเสธอย่างนี้
ก่อนหน้านี้ลี่จิ่วเหิงเป็นสุภาพบุรุษมาก
แต่ครั้งนี้ดูเหมือนว่าเขาจงใจจะแสดง เขาไม่ยอมปล่อยมือของมู่นวลนวล และกลับจับมันให้แน่นกว่าเดิม
โม่ถิงเซียวมองดูทั้งสองคนจับมือกันด้วยแววตาที่อธิบายไม่ได้และพูดว่า:“บังเอิญจัง เราก็ยังไม่ได้ทานข้าว”
มู่นวลนวลถามด้วยความประหลาดใจ:“ดึกขนาดนี้แล้วยังไม่ทานข้าว?”
ตอนนี้เกือบจะสามทุ่มแล้ว พวกเขายังไม่ได้ทานข้าวเย็น
โม่ถิงเซียวเป็นผู้ชายตัวใหญ่ไม่เป็นไร แต่โม่มู่ยักเด็กขนาดนั้นจะทนไหวได้ยังไง
“อึ้ม” โม่ถิงเซียวตอบอย่างเฉยเมย และดูไม่มีร่องรอยของการโกหกเลย
“ถ้างั้นก็ไปทานข้าวด้วยกันสิ?ฉันทำอาหารหลายอย่างเลย”
หลังจากที่มู่นวลนวลพูดจบ โม่ถิงเซียวก็พูดว่า:“โอเค”
น้ำเสียงของเขาไม่ได้เปลี่ยนไป แต่เพราะเขาตอบเร็วเกินไป จึงทำให้คนรู้สึกไม่อดทน
หลังจากที่โม่ถิงเซียวพูดจบ เขาก็หันหน้าเข้าไปในห้องและส่งเสียงเรียก:“มู่มู่ กินข้าวกัน”
โม่มู่สวมรองเท้าแตะวิ่งออกมา:“กินแล้วไม่ใช่หรอ?”
โม่ถิงเซียวจับมือเธอและพูดอย่างเป็นธรรมชาติว่า:“นั่นมันมื้อกลางวัน”
“แต่ก่อนหน้านี้อาซือเย่……” โม่มู่ยังอยากจะเถียงเขา แต่ก็ถูกโม่ถิงเซียวพูดขัดเธอ:“อาลี่กับน้ามู่ชวนพวกเราไปทานอาหารเย็น หนูว่าไง?”
โม่มู่พูดอย่างเชื่อฟัง:“ขอบคุณค่ะอาลี่ น้ามู่……”
เมื่อพูดถึง “น้ามู่” เธอดูลังเลอย่างเห็นได้ชัด
คนสวยหน้าตาดีทุกคนเป็นพี่สาว จะเรียกว่าน้าได้ยังไง?
เธอมองโม่ถิงเซียวและมู่นวลนวลอีกครั้งสีหน้าของเธอว่างเปล่า
……
โม่ถิงเซียวพาโม่มู่ไปร่วมทานอาหารที่บ้านของลี่จิ่วเหิง
มู่นวลนวลเสิร์ฟอาหาร และลี่จิ่วเหิงก็ไปหยิบชาม
ลี่จิ่วเหิงยื่นตะเกียบให้โม่มู่:“ช่วยถือตะเกียบให้ฉันหน่อยได้ไหม?”
“ได้ค่ะ”
ลี่จิ่วเหิงเดินเข้ามาแล้วลูบหัวของเธอ:“เยี่ยมจริงๆ”
โม่มู่ยิ้มให้เขา และเดินไปที่ด้านข้างของโม่ถิงเซียว จากนั้นก็ปีนขึ้นไปนั่งลงบนเก้าอี้
ในบ้านของมู่นวลนนลไม่มีเก้าอี้ทานข้าวสำหรับเด็ก โม่มู่จึงต้องนั่งบนเก้าอี้
โม่มู่กำลังปีนอย่างโซซัดโซเซ โม่ถิงเซียวช่วยเธอแล้วถามว่า:“เมื่อวานพ่อพูดอะไรกับหนู?”
“พูดอะไร?” โม่ถิงเซียวพูดกับเธอมากมาย เธอยังเป็นเด็กเล็กจะจำได้ยังไง
โม่ถิงเซียวพูดเตือนเธอ:“ไม่ควรพูดกับมนุษย์ป้า”
โม่มู่พยักหน้าเหมือนไก่จิกข้าว:“จำได้”
“ด้วยเหตุผลเดียวกันนี้ก็ไม่ควรพูดกับมนุษย์อา” เมื่อโม่ถิงเซียวพูดอย่างนี้แล้ว เขาก็เหลือบไปที่ลี่จิ่วเหิง
ทั้งสองคนสบตากันและต่างคนก็ต่างไม่ยอมละสายตาให้กัน
มู่นวลนวลเสิร์ฟอาหาร และได้ยินที่โม่ถิงเซียวพูดพอดี
เธอรู้สึกดีว่าบรรยากาศบนโต๊ะผิดปกติ
ทั้งสองคนยังคงจ้องหน้ากันด้วยสายตาที่ไม่เป็นมิตร และและความเป็นปรปักษ์ระหว่างกันนั้นชัดเจนมากจนมู่นวลนวลไม่อาจเพิกเฉยได้
เธอเหลือบมองไปที่โม่มู่ และเห็นว่าโม่มู่กำลังเล่นกับตะเกียบของตัวเอง เธอจึงพูดว่า:“ทานข้าวกันเถอะ”
ทันทีที่เธอพูดผู้ชายทั้งสองคนก็ดูเหมือนจะนัดหมายกัน ในขณะเดียวกันก็ละสายตาและมองออกไป
ลี่จิ่วเหิงคีบอาหารให้มู่นวลนวล:“กินเยอะๆ ต่อไปไม่ต้องรอฉันทานข้าวดึกขนาดนี้นะ”
“ฉันกินคนเดียวแล้วรู้สึกไม่เจริญอาหาร” ในขณะที่พูดมู่นวลนวลก็คีบอาหารให้โม่มู่
โม่ถิงเซียวชำเลืองมองทั้งสองคนที่อยู่ตรงข้ามด้วยสีหน้าที่คาดเดาไม่ได้ และไม่ได้ขยับตะเกียบของเขา
โม่มู่เอียงหัวและถามเขาอย่างสนิทสนม:“พ่อ พ่ออยากกินอะไร?”