เซินเหลียงลูบแขนของตัวเอง:“ฉันไม่ชินกับสิ่งที่พวกเธอเรียกกันจริงๆ ซ้ายก็คุณมู่ ขวาก็คุณโม่……”
เธอส่ายหัว:“แม้แต่ละครทีวีก็ไม่กล้าแสดงแบบนี้”
มู่นวลนวลหัวเราะแล้วพูดว่า:“ไม่เป็นอะไรหรอก ตอนนี้ฉันกับคุณโม่ก็ไม่ต่างจากคนแปลกหน้า”
เซินเหลียงนึกขึ้นได้ว่าเมื่อกี้มู่นวลนวลพูดว่าโม่ถิงเซียวฉลาดมาก
“โม่ถิงเซียวฉลาดที่ไหนกัน ฉลาดแค่ไหนก็เป็นคนไม่ใช่เหรอ……”เซินเหลียงไม่อยากคุยกับเธอเรื่องโม่ถิงเซียวอีก จึงเปลี่ยนเรื่องคุย:“ฉันมีรูปถ่ายก่อนหน้านี้ กลับไปแล้วจะส่งให้เธอดู ลองดูว่าเธอจะจำเรื่องก่อนหน้านี้ได้บ้างไหม”
“โอเค” มู่นวลนวลพยักหน้า:“ขอบคุณนะ”
“ขอบคุณอะไรกัน เรารู้จักกันมาตั้งหลายปีแล้ว!” เซินเหลียงเขย่ากุญแจรถในมือ:“ไม่ให้ฉันไปส่งเธอจริงๆหรอ?”
มู่นวลนวลส่ายหัว:“ไม่เป็นไร รีบไปเถอะ”
มู่นวลนวลไม่ยอมให้เซินเหลียงไปส่งเธอ เซินเหลียงจึงทำได้เพียงออกไปก่อน
หลังจากรถเซินเหลียงขับออกไป มู่นวลนวลก็เรียกแท็กซี่
เดิมทีเธอตั้งใจจะตรงกลับไปเลย แต่ระหว่างทางรถติด คนขับเลี่ยงไปใช้ถนนอีกเส้นหนึ่งและระหว่างทางเธอต้องผ่านคลินิกจิตวิทยาของลี่จิ่วเหิง
มู่นวลนวลลงจากรถ และตรงไปที่คลินิกจิตวิทยา
ทันทีที่เธอเข้าไปหญิงสาวที่แผนกต้อนรับก็ถามด้วยรอยยิ้ม:“สวัสดีค่ะ คุณนัดล่วงหน้าไว้ไหมคะ?”
“เปล่าค่ะ ฉันมาหาคนค่ะ” หลังจากที่มู่นวลนวลพูดจบแล้วก็เหลือบมองเข้าไปข้างใน
นี่เป็นครั้งแรกที่เธอมาที่คลินิกจิตวิทยาของลี่จิ่วเหิง การตกแต่งนั้นอบอุ่นมากและการตกแต่งภายในห็สไตล์เดียวกัน ดูแล้วใหม่มาก
หญิงสาวที่แผนกต้อนรับอึ้งไปชั่วขณะ และรีบถามอย่างสุภาพว่า:“งั้นคุณมาหาใครคะ?”
มู่นวลนวลตอบว่า:“ลี่จิ่วเหิง”
หญิงสาวที่แผนกต้อนรับมีแววตาที่เปลี่ยนไปเล็กน้อย และอดไม่ได้ที่จะมองไปที่มู่นวลนวล:“คุณมาหาหมอลี่?คุณนามสกุลอะไรคะ?”
แม้ว่าน้ำเสียงของเธอจะยังคงสุภาพ แต่น้ำเสียงของเธอก็เต็มไปด้วยคำถามที่เจาะลึก
ก่อนหน้านี้มู่นวลนวลเคยได้ยินลี่จิ่วเหิงพูดว่าห้องตรวจของเขาเล็กมาก ถ้าเธอไม่เป็นอะไรก็สามารถไปหาเขาได้
ตอนนี้ดูเหมือนว่าลี่จิ่วเหิงคงจะยุ่งมาก ถ้าจะให้เขาตรวจโรคต้องทำการนัดล่วงหน้า
“แต่ถ้าเขายุ่งมากก็ไม่เป็นไรค่ะ ไม่ได้มีเรื่องสำคัญเร่งด่วนอะไร” เธอผ่านมาก็เลยแวะเข้ามาเยี่ยม ในเมื่อลี่จิ่วเหิงกำลังยุ่ง เธอจึงไม่รั้งอยู่นาน
เมื่อหญิงสาวที่แผนกต้อนรับได้ยินอย่างนั้นก็ไม่ได้พูดอะไร
ในขณะนี้ก็มีเสียงฝีเท้าดังมาจากด้านในและมีเสียงการพูดคุยกัน
มู่นวลนวลหันไปมองและเห็นลี่จิ่วเหิงกำลังกับคนอื่นๆ อีกสองคนที่เดินออกมาจากด้านใน
ข้างๆเขาเป็นผู้หญิงวัยกลางคน และข้างๆผู้หญิงวัยกลางคนก็มีเด็กผู้ชายวัยรุ่น
น่าจะเป็นผู้ปกครองพาลูกไปพบนักจิตวิทยา
ลี่จิ่วเหิงเงยหน้าขึ้นและเห็นมู่นวลนวล เขาตกตะลึงอย่างเห็นได้ชัด แล้วหลังจากนั้นเขาก็พูดอะไรบางอย่างกับผู้ปกครอง และสั่งให้ผู้ช่วยไปส่งเธอ จากนั้นเขาก็เดินไปหามู่นวลนวล
ลี่จิ่วเหิงเดินไปหาเธอและถามด้วยความกังวล:“ทำไมจู่ๆถึงมาหาฉันได้?เกิดอะไรขึ้นรึเปล่า?”
เมื่อหญิงสาวที่แผนกต้อนรับเห็นท่าทางของลี่จิ่วเหิงที่เต็มไปด้วยความไม่พอใจแล้ว เธอก็รู้สึกงุนงง
หมอลี่ยังหนุ่ม แต่ไม่โสด?
มู่นวลนวลยังไม่ทันได้พูดอะไร ลี่จิ่วเหิงก็ยื่นมือออกไปโอบไหล่เธอ:“เราเข้าไปด้านในกัน”
มู่นวลนวลไม่คุ้นชินกับท่าทางของเขา หลังจากที่เข้าไปในห้องของเขา เธอก็ถอยออกห่างและเอาแขนของเขาออกจากไหล่ของเธอ
ลี่จิ่วเหิงไม่สนใจและรินน้ำอุ่นให้เธอหนึ่งแก้ว
“ขอบคุณค่ะ” มู่นวลนวลรับน้ำ:“อันที่จริงฉัน……แค่ผ่านมาและแวะเยี่ยมคุณก็เท่านั้น”
ลี่จิ่วเหิงถามอย่างไม่ได้ตั้งใจ:“ไปไหนมาหรอ?”
“ออกไปทานข้าวกับเพื่อน” สิ่งที่พูดเป็นความจริงครึ่งเดียว
ตอนนี้มู่นวลนวลไม่มีเพื่อน ลี่จิ่วเหิงจึงสามารถเดาได้ว่า:“กับคุณเซิน?”
มู่นวลนวลพยักหน้า:“อึ้ม”
เธอยื่นมือออกไปจับแก้วน้ำ เธอขยับไปมาแลเห็นได้ชัดเจนว่าเธอมีอะไรอยากจะพูด
ลี่จิ่วเหิงมองไปที่เธอด้วยความสงบนิ่ง เมื่อมู่นวลนวลอยู่ต่อหน้าคนที่เธอไว้ใจ เธอจะไม่โกหกและจะไม่ปิดบังความรู้สึกของตัวเอง
ลี่จิ่วเหิงนั่งลงตรงข้ามเธอและถามด้วยน้ำเสียงที่ผ่อนคลาย:“แค่ไปทานข้าวกัน?ไม่ได้ไปช้อปปิ้งหรอ?คราวนี้ฉันไม่ได้เจอปาปารัสซี่อีกใช่ไหม?”
มู่นวลนวลครุ่นคิดและพูดว่า:“จิ่วเหิง คุณ……กับคุณโม่รู้จักกันมาก่อนใช่ไหม?”
ลี่จิ่วเหิตกตะลึงและถามว่า:“ใครพูดอะไรกับคุณหรอ?”
เขาถามห้วนๆ และมู่นวลนวลก็ไม่รู้จะพูดยังไง
เขาดูใจกว้างมาก
มู่นวลนวลรู้สึกว่าตัวเองกำลังสงสัยเขา และดูใจแคบไปหน่อย
เมื่อลี่จิ่วเหิงเห็นว่าเธอเงียบ จึงถามอย่างเคร่งขรึมว่า:“คุณเซินบอกอะไรกับคุณ ใช่ไหม?”
มู่นวลนวลเม้มริมฝีปาก:“เธอบอกเรื่องบางอย่างกับฉัน”
ดูเหมือนลี่จิ่วเหิงคาดการณ์เอาไว้แล้ว เขาไม่ถามว่าเรื่องอะไร เพียงแค่ถามว่า:“คุณเชื่อเธอไหม?”
“ฉันคิดว่าเธอไม่ได้โกหกฉัน” มู่นวลนวลเชื่อใจเซินเหลียง
“ก็แค่นั้น” ลี่จิ่วเหิงยิ้ม:“ในเมื่อคุณคิดว่าสามารถเชื่อได้ งั้นคุณเซินก็คงเชื่อได้”
คำพูดของลี่จิ่วเหิงทำให้มู่นวลนวลสับสนมากยิ่งขึ้น
เธอรู้สึกว่าระหว่างเธอกับลี่จิ่วเหิงไม่เหมือนคู่หมั้นกัน แต่เป็นเหมือนเพื่อนสนิท
การอยู่ร่วมกันไม่แตกต่างจากการเป็นเพื่อนร่วมห้อง และการใช้ชีวิตประจำวันก็ไม่ได้คลุมเครือ
มู่นวลนวลลังเลและถามคำถามที่อยู่ในใจ:“เราเป็นคู่หมั้นกันจริงๆหรอ?”
เมื่อลี่จิ่วเหิงได้ยินอย่างนั้นสีหน้าของเขาก็จางลง และพูดด้วยน้ำเสียงที่ดูขี้เล่นอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน:“คุณคิดว่าเราเหมือนคู่หมั้นกันไหม?”
มู่นวลนวลส่ายหัว:“ไม่เหมือน”
เมื่อลี่จิ่วเหิงได้ยินอย่างนั้นก็หัวเราะ
หลังจากนั้นเขาก็ลุกขึ้นยืนและถามมู่นวลนวลว่า:“อีกเดี๋ยวกลับบ้านด้วยกันนะ หรือว่าคุณจะกลับตอนนี้เลย?ถ้าคุณจะกลับตอนนี้ ผมจะช่วยเรียกรถให้คุณ”
มู่นวลนวลเห็นได้ชัดว่าเขาจงใจที่จะเปลี่ยนเรื่องอย่างเรียบง่าย
เธอรู้สึกว่าคำถามของเขาเมื่อตะกี้ มีอะไรบางอย่างในคำพูดของเขา
ลี่จิ่วเหิงเป็นคนแรกที่เธอเจอ หลังจากที่เธอฟื้นขึ้นมา
สำหรับตอนนี้ลี่จิวเหิงน่าจะเป็นคนที่เธอคุ้นเคยมากที่สุด
แต่ตอนนี้เธอรู้สึกคลุมเครือ และลี่จิ่วเหิงเป็นคนที่ซับซ้อนที่สุด
ลี่จิ่วเหิงตบไหล่เธอและพูดปลอบโยนว่า:“ไม่ต้องคิดมาก ปล่อยไปตามธรรมชาติ”
มู่นวลนวลก็ไม่ได้พูดอะไรมาก เธอพยักหน้าและพูดว่า:“ฉันจะรอกลับพร้อมคุณตอนเย็น”
ถึงเธอจะกลับไปก่อนตอนนี้ก็ไม่มีอะไร
ลี่จิ่วเหิงโทรมาสั่งน้ำชายามบ่ายให้เธอ และให้พักที่ห้องรับรองข้างๆ
ในช่วงบ่ายลี่จิ่วเหิงมีคนไข้
มู่นวลนวลได้ยินเพียงเสียงสนทนาที่แผ่วเบา แต่ไม่เข้าใจว่าพวกเขากำลังคุยอะไรกัน
แต่เธอก็ไม่ได้อยากรู้อยากเห็นมากเกินไป เพราะนี่คือเป็นเรื่องส่วนตัวของคนอื่น