เธอหันไปมองและพบว่าโม่ถิงเซียวลดกระจกรถลงทั้งหมด
ลมพัดเย็นๆเข้ามาจากหน้าต่างที่เปิดไว้ และกลิ่นควันในรถก็หายไปอย่างรวดเร็ว
มู่นวลนวลใจสั่นเล็กน้อยและหันไปมองที่โม่ถิงเซียว
โม่ถิงเซียวขับรถโดยไม่เหล่ตามองและไม่แสดงออกใดๆ ท่าทีของเขาก็ดูเย็นชา
บางทีเขาอาจจะรู้สึกร้อนนิดหน่อย
ไม่นานโม่ถิงเซียวก็จอดรถ
ทันทีที่จอดรถก็มีคนมาเปิดประตูรถให้โม่ถิงเซียว ในขณะที่มู่นวลนวลดึงประตูแล้วลงจากรถด้วยตัวเอง
ซือเย่กล่าวทักทาย:“คุณชาย”
เห็นได้ชัดว่าเขารออยู่นานแล้ว เมื่อเห็นมู่นวลนวล เขาก็พยักหน้าเล็กน้อยและส่งเสียงเรียก:“คุณมู่”
หลังจากนั้นเขาก็เดินไปอยู่ด้านหลังของโม่ถิงเซียว และในขณะที่เดินเข้าไปข้างในเขากระซิบบางอย่างกับโม่ถิงเซียว
มู่นวลนวลที่อยู่ข้างๆก็กำมือแน่นด้วยความประหม่า
เธอเดินตามพวกเขาเข้าไปในห้องทำงาน หมอพูดกับโม่ถิงเซียวสองสามคำ จากนั้นก็นำรายงานผลการตรวจดีเอ็นเอออกมา
หมอพูดคำศัพท์วิชาชีพยาวๆ มู่นวลนวลฟังไม่เข้าใจเลย
โม่ถิงเซียวเหลือบมองไปที่มู่นวลนวล และเคาะนิ้วยาวๆของเขาบนที่เท้าแขนของเก้าอี้สองครั้งและพูดด้วยน้ำเสียงสงบ:“พูดมาตรงๆเลย”
หมอจึงรีบพูดว่า:“คุณมู่กับลูกไม่มีความความสัมพันธ์กันทางสายเลือด”
“ไม่มีความความสัมพันธ์กันทางสายเลือด?” มู่นวลนวลสีหน้าเปลี่ยน หรือว่าเซินเหลียงจะโกหกเธอ?
เธอหันไปมองโม่ถิงเซียวโดยไม่รู้ตัว
โม่ถิงเซียวนั่งอยู่ตรงนั่นด้วยสีหน้าเศร้าหมอง และหยุดการการเคลื่อนไหว เขาไม่สบายอกสบายใจเหมือนก่อนหน้านี้
ต่อมาเขาก็หันหน้าไปมองซือเย่:“พาคุณมู่ไปส่ง”
น้ำเสียงของเขาเย็นชากว่าปกติด้วยความเร่งรีบ
ซือเย่รู้สึกสับสนเล็กน้อยกับผลการตรวจดีเอ็นเอ ตามหลักแล้วผลการตรวจดีเอ็นเอนั้นจะไม่มีความผิดพลาด เป็นไปได้ยังไงที่จะไม่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือด?
แม้ว่าในใจเขาจะรู้สึกงงงวย แต่ท่าทางเคร่งขรึมของโม่ถิงเซียว ทำให้เขาต้องตอบสนองอย่างรวดเร็วและเตรียมที่จะพามู่นวลนวลออกไป
“คุณมู่ เชิญครับ” ซือเย่หันไปมองมู่นวลนวล และทำท่าทางเชิญให้ออกไป
มู่นวลนวลตกตะลึง
เซินเหลียงไม่มีทางโกหกเธอ
มีอะไรผิดปกติหรือเปล่า?
เช่นเดียวกับอุบัติเหตุทางรถยนต์ของเธอกับลี่จิ่วเหิง มีใครบางคนจงใจทำให้เกิดเรื่องขึ้น?
แต่ใครจะกล้าลงมือภายใต้เปลือกตาของโม่ถิงเซียว?
มู่นวลไม่ได้ออกไปในทันที แต่พูดด้วยสีหน้าที่ยุ่งเหยิง:“คุณโม่!”
ท่าทางของโม่ถิงเซียวกลับสู่ความสบายอกสบายใจอย่างเดิม เขาไม่สนใจเธอ และพูดเขากับซือเย่ว่า:“ไม่ได้ยินที่ฉันพูดหรอ?”
มู่นวลนวลไม่เชื่อว่าเซินเหลียงจะโกหกเธอ และพยายามที่จะอธิบาย:“ฉันคิดว่าเรื่องนี้อาจจะมีการเข้าใจผิดกัน คุณ……”
โม่ถิงเซียวไม่ได้สนใจจะฟังที่เธอพูด แต่ก้มลงไปอ่านรายงานผลการตรวจดีเอ็นเอ
เมื่อมู่นวลนวลเห็นอย่างนั้นก็โกรธมาก จึงตะโกนใส่เขา:“โม่ถิงเซียว!”
ผู้ชายคนนั้นหยุดชะงัก แต่ไม่ได้เงยหน้าขึ้น
มู่นวลนวลอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็ได้ยินซือเย่พูดว่า:“คุณมู่ เชิญออกไปข้างนอกกับผม”
มู่นวลนวลจึงทำได้เพียงเดินตามซือเย่ออกไป
ซือเย่เดินไปอย่างรวดเร็ว มู่นวลนวลเดินไปพลางพูดไปพลาง:“ผู้ช่วยซือ ผลการตรวจดีเอ็นเอมีปัญหารึเปล่า?คุณกับเซินเหลียงเป็นเพื่อนกัน คุณก็น่าจะรู้”
“ผลการตรวจดีเอ็นเอนี้มีปัญหาหรือไม่ ในใจคุณชายรู้ดี”
ซือเย่พามู่นวลนวลเดินออกไปทางประตูหลัง แล้วออกจากโรงพยาบาล
เมื่อซือเย่ออกมาก็เรียกให้รถมาที่ประตูหลัง และสักพักรถก็มา
เขาทำตามคำสั่งของโม่ถิงเซียวและส่งมู่นวลนวลขึ้นรถ จากนั้นก็กลับไปที่ห้องทำงานของหมอ
เมื่อเขาเข้าไปก็เห็นว่าในห้องทำงานมีคนอยู่หลายคน
โม่ถิงเซียวยังคงอยู่ในท่าทางสบายๆ และนั่งอยู่บนเก้าอี้ด้วยสีหน้าที่เฉยเมย
โม่จิ่นหยุนก้าวไปข้างหน้าแล้วคว้ารายงานผลการตรวจดีเอ็นเอในมือของโม่ถิงเซียว:“นายหมายความว่าไง?นายคิดว่าฉันโกหกนายหรอ?นายเชื่อคนอื่น แต่ไม่เชื่อฉัน?”
สีหน้าของเธอเต็มไปด้วยความโกรธ และหลังจากที่พูดจบเธอก็โยนรายงานผลการตรวจดีเอ็นเอลงบนโต๊ะทำงานของหมอ
หมอออกไปสักพักแล้ว ในห้องมีเพียงโม่ถิงเซียวกับโม่จิ่นหยุนสองคนพี่น้อง และบอดี้การ์ดที่โม่จิ่นหยุนพามาสองสามคน
ซือเย่หยุดชะงักแล้วเดินเข้าไป:“คุณชาย”
โม่ถิงเซียวลุกขึ้นยืนและจัดเสื้อผ้าองตัวเองให้เรียบร้อย จากนั้นก็พูดกับซือเย่ว่า:“ไปเถอะ”
แน่นอนว่าโม่จิ่นหยุนจะไม่ปล่อยให้พวกเขาไปง่ายๆ
สายตาของเธอจ้องมองไปที่ซือเย่ และพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่ดี:“ที่แท้ก็เป็นแก!”
คราวก่อนที่เจอกันที่โม่กรุ๊ป ในตอนนั้นเธอนึกไม่ออกว่าเป็นใคร
แต่หลังจากไปคิดดูแล้วก็จำได้ว่านี่คือซือเย่ที่เป็นผู้ช่วยของโม่ถิงเซียวเมื่อก่อน
ในความคิดของเธอลูกน้องเหล่านี้ล้วนทำสิ่งต่างๆด้วยเงิน เธอไม่คิดว่าผ่านไปสามปีแล้ว ซือเย่จะกลับมาทำงานให้โม่ถิงเซียวอีก
เธอรู้สึกกระวนกระวายใจ
ซือเย่รู้เรื่องในปีนั้นเป็นอย่างดี ถ้าเขาพูดอะไรบางอย่างกับโม่ถิงเซียว แล้วโม่ถิงเซียวเชื่อ วันดีๆของเธอก็คงจะสิ้นสุดลง
แต่โม่ถิงเซียวก็ยังสงบนิ่ง นอกจากสองวันก่อนที่มีลูกน้องมาบอกเธอว่าโม่ถิงเซียวมาทำการตรวจดีเอ็นเอที่โรงพยาบาล
มู่นวลนวลตายไปแล้ว
ตราบใดที่โม่ถิงเซียวยังจำอดีตไม่ได้ และการตายนั้นก็ไม่หลักฐาน เธอยังจะต้องกลัวอะไรอีก?
ซือเย่หลบตาลงเล็กน้อยและพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา:“คุณโม่”
“เป็นเพราะนายฟังที่คนพวกนี้พูดก็เลยย้ายออกจากบ้านเก่า?แต่ฉันเป็นพี่สาวแท้ๆของนาย ซูเหมียนก็เป็นแม่แท้ๆของลูกนาย นี่คือสิ่งที่นายทำแบบนี้กับพวกเราหรอ!”
ใบหน้าของโม่จิ่นหยุนเต็มไปด้วยความโกรธ และดูเหมือนว่าเธอจะถูกโม่ถิงเซียวทำร้ายจิตใจ
โม่ถิงเซียวไม่แสดงท่าทีใดๆและพูดอย่างสบายๆว่า:“งั้นเธอบอกฉันว่ามู่นวลนวลเป็นใคร?”
“เป็นผู้หญิงคนหนึ่งที่หวังจะได้สูงส่งก็เท่านั้น” โม่จิ่นหยุนพดถึงมู่นวลนวลด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเกลียดชัง
โม่ถิงเซียวยื่นมือออกและดึงเน็คไทของตัวเอง และแววตาของเขาก็อึมครึ้มเล็กน้อย
คนที่คุ้นเคยกับเขาจะรู้ว่าเมื่อโม่ถิงเซียวโกรธจะมีการเคลื่อนไหวเล็กๆน้อยๆ และไม่ได้สะดุดตามากนัก
โม่ถิงเซียวหัวเราะเยาะ:“แต่มีคนบอกว่าเธอไม่ใช่แม่แท้ๆของมู่มู่”
โม่จิ่นหยุนดูเหมือนจะได้ยินเรื่องตลกแล้วเธอก็หัวเราะ จากนั้นก็ยื่นนิ้วไปชี้ที่ซือเย่:“เขาบอกหรอ?หรือว่ากูจื่อหยานบอก?”
โม่ถิงเซียวเชิดคางขึ้น แล้วพูดอย่างชะล่าใจว่า:“พวกคุณทุกคนมีเหตุผลของตัวเอง งั้นก็ให้ซูเหมียนกับมู่มู่ทำการตรวจดีเอ็นเอ ให้ความจริงเป็นเครื่องพิสูจน์ ฉันจะคืนความบริสุทธิ์ให้เธอ เธอจะได้ไม่ต้องกล้ำกลืนความไม่เป็นธรรม”
ในประโยคสุดท้าย เสียงของโม่ถิงเซียวนั้นนุ่มนวลมาก
โม่ติ่นหยุนสีหน้าตกตะลึง และในไม่กี่วินาทีเธอก็มีการตอบสนอง:“ไม่จำเป็นต้องทำการตรวจดีเอ็นเอ มู่มู่ก็เป็นลูกสาวของซูเหมียน”
โม่ถิงเซียวไม่สนใจว่าเธอจะพูดอะไร เขาค่อยๆลุกขึ้น:“ถึงตอนนั้น ฉันจะให้คนมาจัดการเรื่องนี้เอง”