เมื่อวานตอนเย็นโม่ถิงเซียวบอกว่าตอนที่พวกเธอจะออกไป จะมีคนไปส่งพวกเธอ
มู่นวลนวลคิดว่าน่าจะเป็นคนขับรถ บอดี้การ์ดหรืออะไรสักอย่าง เธอไม่คิดว่าโม่ถิงเซียวจะให้ซือเย่ไปส่งพวกเธอ
เมื่อซือเย่เห็นว่าเธอจูงมือโม่มู่เดินออกมา เขาก็ยิ้มและส่งเสียงเรียก:“คุณมู่”
จากนั้นเขาก็หันหน้าไปมองโม่มู่และส่งเสียงเรียก:“มู่มู่”
โม่มู่จำซือเย่ได้และเรียกเสียงหวาน:“อาซือเย่”
มู่นวลนวลไม่คิดว่าจะเป็นซือเย่ จึงถามตรงๆว่า:“ผู้ช่วยซือ ทำไมถึงเป็นคุณ?”
“อาจเป็นเพราะคุณชายค่อนข้างไว้ใจผม” ซือเย่ยิ้มอย่างสงบ
มู่นวลนวลคิดดูอีกที แม้ว่าเธอจะพาโม่มู่ออกไปด้วย แน่นอนว่าโม่ถิงเซียวต้องส่งคนที่ไว้ใจได้ให้ไปส่งพวกเธอ
เมื่อคิดอย่างนี้แล้วก็รู้สึกว่าปลอดภัยและสมเหตุสมผล
มู่นวลนวลพยักหน้าเล็กน้อย:“งั้นก็รบกวนคุณแล้ว”
ซือเย่ยิ้มและเปิดประตูรถด้วยความเคารพ
มู่นวลนวลอุ้มโม่มู่ขึ้นรถ
……
สถานที่ที่เซินเหลียงนัดเจอกับมู่นวลนวลก็อยู่ที่จินติ่ง
เมื่อไต่ตรองดูแล้วการนัดเจอกันที่จินติ่งนั้นปลอดภัยมาก
หลังจากซือเย่ไปส่งพวกเธอที่จินติ่งแล้วก็จากไป เขากลับไปหาโม่ถิงเซียวที่โม่กรุ๊ป
เป็นเพราะโม่ถิงเซียวจัดแจ้งชีวิตของโม่มู่ ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมาโม่จิ่นหยุนจึงไม่ได้มาหาโม่ถิงเซียว
ซือเย่ผลักประตูห้องทำงานของท่านประธานเข้าไป และได้ยินเสียงอันแหลมคมของโม่จิ่นหยุน:“สัญญานี้ฉันเป็นคนเซ็นเอง ทำไมหรอ?อย่าคิดว่ามีแค่นายที่มีอำนาจตัดสินใจ โม่กรุ๊ปครึ่งหนึ่งเป็นของฉัน!”
หลังจากนั้นซือเย่ก็ได้ยินโม่ถิงเซียวต่อสายเรียกเลขา:“เข้ามาเชิญรองประธานโม่ออกไป”
“ถิงเซียว มันจะมากเกินไปแล้วนะ!”
โม่จิ่นหยุนโกรธมากจนโยนแฟ้มในมือลงที่พื้น และไม่รอให้เลขาของโม่ถิงเซียวมาไล่เธอออกไป เธอจึงเดินออกไปด้วยความโกรธ
ซือเย่ถอยออกไปข้างประตูและก้มหน้าลงเล็กน้อย เพื่อให้โม่จิ่นหยุนออกไปก่อน
โม่จิ่นหยุนสังเกตเห็นซือเย่ที่อยู่ข้างประตู เธอหัวเราะเยาะและก็พูดว่า:“สุนัขรับใช้!”
จากนั้นก็รีบเดินออกไป
ซือเย่ปิดประตูและสีหน้าของเขายังคงไม่เปลี่ยนไป จากนั้นก็และเดินไปที่โต๊ะทำงานของโม่ถิงเซียว:“คุณชาย”
โม่ถิงเซียวไม่ได้รับผลกระทบจากโม่จิ่นหยุน เขายังคงอ่านเอกสารตรงหน้าอย่างตั้งใจ
เมื่อได้ยินเสียงของซือเย่ เขาก็ไม่ได้เงยหน้าขึ้นมอง เพียงแค่ถามว่า:“ไม่ส่งพวกเธอแล้วหรอ?”
“ครับ” ในขณะที่พูดซือเย่ก็ก้มหน้าลงเล็กน้อย
ในตอนนี้โม่ถิงเซียวก็เงยหน้าขึ้นและถามเขา:“ก่อนหน้านี้ที่ให้นายติดต่อผู้เชี่ยวชาญด้านสมองคนนั้น ได้เรื่องอะไรบ้างไหม?”
เมื่อซือเย่ได้ยินอย่างนั้น สีหน้าของเขาก็จริงจัง:“ได้เรื่องแล้วครับ เขามีว่างวันนี้ตอนเย็น นัดเรียบร้อยแล้ว พอถึงเวลาคุณก็ไปที่นั่นได้เลย”
“อึ้ม”
โม่ถิงเซียวตอบกลับและไม่พูดอะไรอีก
แต่ซือเย่อยังไม่ออกไป
เมื่อก่อนในเวลานี้ เมื่อซือเย่พูดจบก็จะออกไป
โม่ถิงเซียวเงยหน้าขึ้นมองเขา:“ยังมีอะไรอีกหรอ?”
ซือเย่ลังเลอยู่พักและถามความสงสัยที่อยู่ในใจ:“คุณชาย ความทรงจำของคุณ……กลับมาแล้วหรอ?”
ความสงสัยของเขาไม่เปล่าประโยชน์
ส่วนใหญ่เป็นเพราะโม่ถิงเซียวขอให้เขาไปรับมู่นวลนวลกับโม่มู่ ซึ่งผิดปกติเกินไป
ผิดปกติจนทำให้เขาต้องคาดเดาได้
โม่ถิงเซียวหรี่ตาเล็กน้อย แววตาเศร้าหมองปรากฏขึ้นในดวงตาของเขาและไม่นานก็หายไป:“จำได้บ้าง แต่ไม่เป็นเรื่องเป็นราว”
ความทรงจำที่ไม่เป็นเรื่องเป็นราวและไม่สมบูรณ์นั้นยากที่จะปะติดปะต่อ
ความประหลาดใจปรากฏขึ้นบนใบหน้าของซือเย่
เขาลุกขึ้นเดินไปที่หน้าต่างแล้วค่อยๆพูดว่า:“มู่นวลนวลสูญเสียความทรงจำ เธอสลบไปสามปี แม้ว่าร่างกายของเธอจะหายเป็นปกติ แต่การสูญเสียความทรงจำของเธอสามารถอธิบายได้อย่างสมเหตุสมผล ก่อนหน้านี้ฉันไปหาหมอและตรวจอย่างละเอียด และอาการบาดเจ็บของฉันในปีนั้นไม่ได้ร้ายแรงขนาดนั้น”
ความแฝงก็คือที่เขาสูญเสียความทรงจำเป็นเพราะมีคนกำจัดมันออกไป
แน่นนอนว่าซือเย่เข้าใจความแฝงที่โม่ถิงเซียวพูด
ก่อนหน้านี้ที่โม่ถิงเซียวกับโม่จิ่นหยุนปะทะกัน โม่ถิงเซียวให้ซือเย่ไปสืบเรื่องของมนวนวลเมื่อสามปีก่อนให้ชัดเจน ดังนั้นโม่ถิงเซียวจึงรู้อาการของมู่นวลนวลเป็นอย่างดี
โม่ถิงเซียวทำเรื่องนี้อย่างระมัดระวัง แต่ก่อนหน้านี้ที่เขาปะทะกับโม่จิ่นหยุน เขาตรวจสอบทุกคนที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอีกรอบ
แต่มู่นวลนวลต้องระวังตัวให้มากขึ้น
……
มู่นวลนวลพาโม่มู่เข้าไปในจินติ่ง และกูจื่อหยานก็รีบมาพาพวกเธอเดินเข้าไป
“นวลนวล!”
แม้ว่ากูจื่อหยานจะเรียกชื่อมู่นวลนวล แต่สายตาของเขาก็อดไม่ได้ที่จะมองไปที่โม่มู่
มู่นวลนวลสังเกตเห็นสายตาของเขา และดึงโม่มู่ไปข้างหลังตัวเอง:“คุณกู”
“เหอะเหอะ”เมื่อกูจื่อหยานเห็นการกระทำของเธอก็หัวเราะอย่างทำตัวไม่ถูก:“เซินเสี่ยวเหลียงรอพวกคุณอยู่ที่ห้องรับรองพิเศษ”
หลังจากที่พูดจบเขาก็หันหน้าไปมองโม่มู่ และยิ้มอย่างที่ตัวเองคิดว่าอ่อนโยนมาก:“นี่คือมู่มู่ใช่ไหม ฉันอากูไง!”
โม่มู่โผล่หัวออกมาจากด้านหลังมู่นวลนวล:“อึ้ม”
กูจื่อหยานยิ้มหน้าบาน และไม่รู้ว่าเขาเอาอมยิ้มสีรุ้งจากไหนมาส่งให้โม่มู่ จากนั้นก็พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน:“กินลูกอมไหม?”
ถ้าไม่ใช่เพราะมู่นวลนวลรู้ว่ากูจื่อหยานไม่ได้ขาดเหลือเรื่องเงิน เธอคงคิดว่ากูจื่อหยานเป็นคนไม่ดีที่จะลักพาตัวเด็กไปขาย
เมื่อโม่มู่เห็นอมยิ้มสีรุ้ง ตาของเธอก็โต
ไม่มีเด็กคนไหนที่ไม่ชอบกินลูกอม
โม่มู่ยกมือเล็กๆขึ้นแล้วหดกลับไป
เธอเงยหน้าขึ้นมองมู่นวลนวลแล้วพูดเบาๆ ว่า:“แม่”
โม่มู่กำลังใช้วิธีขอคำแนะนำจากมู่นวลนวล
มู่นวลนวลเม้มริมฝีปากแล้วยิ้ม จากนั้นก็อุ้มเธอขึ้นมา:“ลูกอมที่อากูให้ มู่มู่หยิบมาได้ แต่ต้องพูดว่าขอบคุณก่อนนะ”
โม่มู่มองไปที่กูจื่อหยานแล้วยื่นมือเล็กๆ ออกไปและหยิบลูกอมมาอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็พูดอย่างดีใจว่า:“ขอบคุณค่ะอากู”
ใบหน้าของกูจื่อหยานดูเบิกบานใจ
“มู่มู่ อาไม่ได้มีแค่ลูกอมนะ ยังมีของอร่อยๆอีก เฟรนช์ฟรายส์ แล้วก็ลูกอมอื่นๆ ด้วย……”
กูจื่อหยานยังพูดต่ออีกหลายอย่าง แต่โม่มู่จำได้แค่เฟรนช์ฟรายส์กับลูกอม
เธอก้มลงมองอมยิ้มสีรุ้งที่อยู่ในมือ และพิงเข้าไปในอ้อมแขนของมู่นวลนวลอย่างพึงพอใจ เห็นได้ชัดว่าเธอไม่ได้สนใจในสิ่งที่กูจื่อหยานพูด
กูจื่อหยานดูเหมือนบาดเจ็บเล็กน้อย
มู่นวลนวลถามทันที:“เราไปหาเสี่ยวเหลียงกันก่อนเถอะ มู่มู่ยังเด็ก ของอร่อยมากมายเธอคงกินไม่ไหว”
กูจื่อหยานพบักหน้าแล้วพาพวกเธอไปที่ห้องรับรองที่เซินเหลียงอยู่
เมื่อเซินเหลียงเห็นมู่นวลนวลกับโม่มู่เข้ามา แววตาของเธอก็เป็นประกายและวิ่งเข้าไป:“มู่มู่มาให้น้ากอดหน่อยเร็ว”
โม่มู่ลังเลอยู่ครู่หนึ่งและค่อยๆยื่นมือออกไปหาเซินเหลียง
เซินเหลียงกอดโม่มู่ด้วยความดีใจและประหลาดใจ:“มู่มู่ให้น้ากอด ไม่กลัวคนแปลกหน้าใช่ไหม?น่ารักจัง……”
เซินเหลียงอดไม่ได้ที่จะหอมแก้มของเธอไปสองสามที
เมื่อกูจื่อหยานที่อยู่ข้างๆเห็นอย่างนั้นก็สูดหายใจเข้าลึกๆ และหันหน้าไปอย่างเงียบๆ