ตอนกินข้าวโม่ถิงเซียวไม่ได้พูดอะไร
แต่มู่นวลนวลก็รู้สึกว่าโม่ถิงเซียวแปลกๆ
จนถึงเมื่อตอนกลางคืน เมื่อเธอกล่อมให้โม่มู่หลับแล้ว เธอก็เห็นเขายืนอยู่ที่ประตู
เธอสูดหายใจเข้าลึกๆ และมองไปที่โม่ถิงเซียวด้วยความโกรธ “คุณยืนอยู่ตรงนั้นทำไม”
เขาทำหน้าเย็นชา ยืนอยู่ตรงนั้นโดยไม่พูดอะไร และก็ไม่รู้ว่าเขาอยากทำอะไร
“ตามผมมา”
โม่ถิงเซียวพูดทิ้งไว้แค่นั้นแล้วหันหลังกลับไป
มู่นวลนวลงง แต่ก็ยังเดินตามเขาไป
เมื่อมาถึงห้องหนังสือ โม่ถิงเซียวก็หยิบเครื่องบันทึกเสียงออกมา
เขากดปุ่มเล่นต่อหน้าเธอ
เครื่องบันทึกเสียงนี้ เป็นเครื่องที่โม่จิ่นหยุนเอามาให้โม่ถิงเซียวฟัง
มีเสียงบทสนทนาที่คุ้นเคยดังขึ้น
มู่นวลนวลคิดไม่ถึงว่าโม่จิ่นหยุนจะบันทึกเสียงไว้ แม้วิธีการจะค่อนข้างชั้นต่ำ แต่จากนิสัยที่ไม่แน่นอนของโม่ถิงเซียว ใครจะไปรู้ว่าถ้าเขาฟังเสียงบันทึกนี้แล้วจะเป็นยังไง
ตอนที่โม่ถิงเซียวกลับมาตอนเที่ยง มู่นวลนวลโกรธใส่โม่จิ่นหยุน และเห็นว่าโม่ถิงเซียวก็ไม่ได้พูดอะไร เธอก็คิดว่าเรื่องนี้จะจบแล้ว
ที่ไหนได้ เขายังรอเธออยู่ที่นี่
เสียงบันทึกเปิดจนจบแล้ว โม่ถิงเซียวก็กอดอกมองเธอ
เขาไม่พูดอะไร สีหน้าก็ไม่แสดงอะไรออกมา
มู่นวลนวลไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ ถึงได้จ้องเธอโดยไม่พูดอะไร
“จำนวนเงินเท่าไหร่ถึงจะพอใจคุณ”โม่ถิงเซียวถามด้วยเสียงเย็นชา
มู่นวลนวลนึกถึงคำพูดของตัวเอง ก็พูดไม่ออกไปชั่วขณะ
โม่ถิงเซียวหรี่ตา เดินมาข้างหน้า จนปลายเท้าของเขาแตะกับปลายเท้าของเธอ
ทั้งคู่อยู่ใกล้กันมาก เมื่อเจอกับสายตาของเขา เธอก็ก้าวเท้าไม่ออกทันที
ดวงตาสีดำล้ำลึกของเขาแฝงไปด้วยความอันตราย เขาพูดด้วยเสียงไม่หนักไม่เบา “หรือจะพูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ คุณคิดว่าผมมีค่าเท่าไหร่”
มู่นวลนวลได้สติกลับมา “ไม่… ไม่สามารถประเมินได้”
เสียงของเธอตะกุกตะกักด้วยความตึงเครียด
โม่ถิงเซียวขมวดคิ้ว เขาคิดไม่ถึงว่าเธอจะพูดอย่างนี้
เมื่อเห็นว่าเขาไม่พูด มู่นวลนวลก็ยิ่งรู้สึกกังวลใจ
หรือในคำพูดของเธอมันดูเจ้าเล่ห์เกินไป เขาถึงได้ไม่เชื่อ
แต่การกระทำต่อไปของเขาก็ทำให้เธอหยุดความคิดนั้นลง
เขายื่นมือมาลูบริมฝีปากของเธอ
จากนั้นเธอก็ได้ยินเขาพูดเสียงต่ำ “พูดดีขนาดนี้ ปากต้องหวานมากแน่”
เสียงของเขาต่ำมาก เสียงต่ำจนแสดงให้เห็นถึงเจตนาของผู้ชายโดยทั่วไป
มู่นวลนวลตัวแข็งทื่อ มือที่ไล้ริมฝีปากของเธอ แสดงให้เห็นถึงความยั่วยวน แต่เธอก็ไม่ได้ขัดขืนกับการกระทำของเขา
มู่นวลนวลอึ้งไปหลายวิก่อนจะได้สติกลับมา เธอปัดมือของโม่ถิงเซียวออก และเดินก้าวถอยหลัง “คุณโม่ ช่วยดูสถานะของตัวเองด้วย อย่าทำอย่างนี้”
“อืม”โม่ถิงเซียวตอบเสียงเรียบ
มู่นวลนวลไม่รู้ว่าเขาเข้าใจหรือยัง เธอจึงอธิบาย “คำพูดที่อยู่ในเสียงบันทึกนั้น ก็แค่พูดให้พี่สาวของคุณโกรธ คุณอย่าจริงจัง”
โม่ถิงเซียวตอบอย่างไม่โต้แย้ง “อืม”
มู่นวลนวลสูดหายใจเข้าลึกๆอย่างอดทน
ช่างเถอะ ยังไงก็ไม่สามารถเดาได้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ ไม่สนใจแล้ว
หลังจากที่เธอออกไป โม่ถิงเซียวก็บิดนิ้ว และส่งยิ้มออกมา
…..
โม่จิ่นหยุนใช้ชีวิตอย่างไม่ค่อยดีนัก
หลังจากที่เธอเอาเสียงบันทึกไปให้โม่ถิงเซียว โม่ถิงเซียวก็เริ่มใช้อำนาจในบริษัท
หลายปีมานี้ โม่ถิงเซียวเป็นผู้กุมบังเหียนของบริษัท
ผู้ถือหุ้นต่างรู้ดีว่าพวกเขาจะได้กำไรมหาศาลจากการบริหารของโม่ถิงเซียว
สามปีก่อนหน้านี้ โม่ถิงเซียวไม่ได้แสดงออกมาอย่างชัดเจนว่าต้องการอำนาจผูกขาด ผู้ถือหุ้นจึงไม่แสดงท่าทีอะไรออกมา
แต่ตอนนี้โม่ถิงเซียวต้องการอำนาจ ผู้ถือหุ้นก็ต่างย้ายมาอยู่ข้างโม่ถิงเซียวทันที
ไม่มีมิตรแท้ในธุรกิจ มีแต่คบกันเพื่อผลประโยชน์
อำนาจของโม่จิ่นหยุนในโม่กรุ๊ปเริ่มสั่นคลอนขึ้น
เธอยังคงเป็นรองประธานบริษัท แต่กลับไม่มีอำนาจอะไร และไม่มีสิทธิ์ออกเสียง
สิ่งที่เธอได้จัดการ เป็นเพียงสัญญาที่ไม่สำคัญ
เธอถูกยึดอำนาจไปจนหมด เป็นคนไม่มีค่าในโม่กรุ๊ป
เธอคิดแล้วคิดอีก สุดท้ายก็เลือกที่จะไปหาโม่ถิงเซียว
แต่เมื่อเธอไปถึงห้องทำงาน ก็ถูกเลขาของโม่ถิงเซียวกันไว้ “ท่านรองประธาน ตอนนี้มีผู้บริหารระดับสูงหลายคนกำลังรายงานงานอยู่ข้างไหน”
“แล้วจะให้ฉันรออยู่ข้างนอกหรอ”โม่จิ่นหยุนจ้องไปที่เลขา เลขาไม่ได้พูดอะไร แต่ก็ไม่หลบให้
ท่านใดนั้นผู้บริหารระดับสูงหลายคนก็เดินออกมาจากห้องทำงานของโม่ถิงเซียว
เมื่อเขาเห็นโม่จิ่นหยุนก็ทักทาย “รองประธาน”
โม่จิ่นหยุนพยักหน้าอย่างสงบ และเดินเข้าไปในห้อง
เมื่อประตูปิดลง เธอก็พูดด้วยความโกรธทันที “ถิงเซียว!”
โม่ถิงเซียวเงยหน้าขึ้นมาจากเอกสาร และมองเธอด้วยสีหน้าว่างเปล่า
โม่จิ่นหยุนที่กำลังโกรธ เมื่อเจอกับสายตาอย่างนี้ของเขา ความทะนงตัวก็ลดลงไปกว่าครึ่ง
“ถิงเซียว ทำอย่างนี้หมายความว่ายังไง ตั้งใจจะกีดกันกันใช่ไหม ผู้ถือหุ้นพวกนั้นต่างก็หวังผลกำไร พวกเขาน่าเชื่อถือหรอ ฉันเป็นพี่น้องทางสายเลือดของนายนะ ฉันสิถึงจะเป็นคนที่น่าเชื่อถือที่สุด”
ซือเย่ถือเอกสารเข้ามา เมื่อผลักประตูก็ได้ยินสิ่งที่เธอพูดทันที
เมื่อเขารู้ว่าเวลานี้ไม่เหมาะสม เขาจึงตั้งใจจะถอยหลังกลับ
แต่โม่ถิงเซียวก็มองเห็นเขาแล้ว จึงสั่งว่า “เอาเข้ามา”
ซือเย่จึงเอาเอกสารมาวางให้เขาบนโต๊ะ
เมื่อมีคนนอกอยู่ โม่จิ่นหยุนก็ไม่ได้พูดต่อ
เธอตั้งใจรอซือเย่ให้ออกไปก่อน แล้วค่อยพูดต่อ แต่ตอนที่กำลังซือเย่จะออกไป โม่ถิงเซียวก็เรียกเขาไว้ “เดี๋ยวก่อน”
โม่ถิงเซียวพูดกับซือเย่โดยไม่สนใจโม่จิ่นหยุน
โม่จิ่นหยุนข่มความโกรธไว้ รอให้โม่ถิงเซียวพูดกับซือเย่เสร็จ
แต่เมื่อเขาพูดกับซือเย่เสร็จ เขาก็พูดอีกหนึ่งประโยคว่า “เชิญรองประธานออกไปด้วย”
การกระทำของโม่ถิงเซียวในบริษัทช่วงนี้ ซือเย่ก็รู้ดี
เขาเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าโม่จิ่นหยุน และพูดเสียงแผ่วเบา “รองประธาน นายน้อยยังมีงานต้องจัดการ”
โม่จิ่นหยุนเดินไปตรงหน้าโม่ถิงเซียวโดยไม่มองซือเย่ เธอโยนเอกสารตรงหน้าเขาทิ้ง “คำพูดที่ฉันพูดเมื่อกี้ไม่ได้ยินหรอ”