ตอนนี้โม่จิ่นหยุนไม่มีความคิดอะไรอีกแล้ว เธอพูดทุกอย่างที่ตัวเองรู้
“ตอนนั้นฉันเจอเขาที่สหรัฐอเมริกา ผู้เชี่ยวชาญคนนั้นแซ่หลี่ เขาพูดภาษาจีนได้….”พูดมาถึงตรงนี้ เธอถึงเพิ่งรู้ว่าเธอรู้จักผู้เชี่ยวชาญด้านการสะกดจิตคนนั้นน้อยมาก
ซือเย่ถามต่อ “ชื่ออะไร อยู่ที่ไหน อายุเท่าไหร่”
“ไม่รู้”โม่จิ่นหยุนไม่รู้เรื่องพวกนี้ จึงได้แต่ส่ายหน้า
“ตอนนั้นหมอหลี่ให้คนมารับพวกเรา ฉันไม่รู้ว่าเขาอยู่ที่ไหน เขาใส่แมสก์ มองหน้าไม่ชัด แล้วฉันก็ไม่รู้อายุของเขาด้วย….”
ซือเย่ฟังคำพูดของเธอแล้วอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วขึ้นมา “คุณโม่ เรื่องมาถึงขนาดนี้แล้ว คุณไม่จำเป็นต้องปกปิดแล้ว เรื่องนี้ทุกคนต้องรู้เป็นอย่างดี”
ความสัมพันธ์ระหว่างโม่จิ่นหยุนกับโม่ถิงเซียวดำเนินมาจนถึงขนาดนี้แล้ว ถ้าโม่จิ่นหยุนมีสมองสักนิด ก็ไม่ควรจะปิดบังเรื่องนี้
โม่จิ่นหยุนได้ยินแล้วก็พูดอย่างรีบร้อน “ที่ฉันพูดทั้งหมดเป็นเรื่องจริง มาถึงขนาดนี้แล้วฉันจะมีเหตุผลอะไรให้ต้องหลอกอีก”
ซือเย่หันไปมองโม่ถิงเซียว “นายน้อยคุณว่า….”
โม่ถิงเซียวหันไปมองโม่จิ่นหยุนด้วยสายตาน่ากลัว ทำให้เธออดไม่ได้ที่จะหดตัวกลับ
ตอนนี้เธอกลัวโม่ถิงเซียวแล้ว
โม่ถิงเซียวพูดโดยไม่แสดงอารมณ์ “ออกไปเถอะ อย่าให้ฉันเห็นหน้าของเธออีก”
โม่จิ่นหยุนหน้าซีดทันที แต่เธอก็รู้ว่าพูดไปก็ไม่มีประโยชน์ ดังนั้นเธอจึงรีบลุกจากพื้นและออกไป
ทันทีที่เธอไปโม่ถิงเซียวก็สั่ง “ไปตรวจสอบ”
“ครับ”ซือเย่ตอบรับและเดินออกไป
“ข้อมูลที่โม่จิ่นหยุนให้มันน้อยเกินไป รู้แค่เพียงว่าเป็นคนที่แซ่หลี่ และสามารถพูดภาษาจีนได้
ข้อมูลเล็กน้อยแค่นี้ จะบอกว่าง่ายก็ง่าย จะบอกว่ายากก็ยาก
คนที่สามารถล็อคความทรงจำของคนอื่นได้ ต้องเป็นคนที่มีชื่อเสียงในวงการ
คนที่โดดเด่นแบบนี้ ในวงการนี้คงมีไม่มาก แถมโม่ถิงเซียวยังมีอำนาจ การตรวจสอบก็ไม่ถือว่ายาก
แต่ถ้ามองในมุมกลับกัน โม่จิ่นหยุนก็เป็นคนระวังตัวเช่นกัน หลังจากที่เธอทำเรื่องนี้ขึ้นมาแล้ว เธอก็คงจะไปตรวจสอบประวัติของผู้เชี่ยวชาญคนนั้นเหมือนกัน และจากคำพูดของเธอก็สามารถสรุปได้ว่า เธอหาข้อมูลของผู้เชี่ยวชาญด้านการสะกดจิตคนนั้นไม่พบ
…..
เพราะซือเย่โทรมาหามู่นวลนวล เธอจึงต้องเตรียมอาหารเที่ยงไว้ล่วงหน้า
ตอนเที่ยงโม่ถิงเซียวไม่ได้กลับมากินข้าว เธอจึงทำอาหารที่ตัวเองและโม่มู่ชอบ
แต่ถ้าโม่ถิงเซียวจะกลับมากินข้าว เธอก็จะทำอาหารที่เขาชอบ
หลังจากที่เธอทำอาหารเสร็จแล้ว โม่ถิงเซียวก็ไม่กลับมา
ก่อนหน้านี้เธอถ่ายรูปให้โม่มู่เยอะมาก ในคฤหาสน์มีเครื่องอัดภาพพอดีเธอจึงอัดภาพออกมา
ถือโอกาสตอนที่โม่ถิงเซียวยังไม่กลับมา เอารูปพวกนั้นมาวางเรียงบนพื้นพรม และดูกับโม่มู่
รูปพวกนี้ส่วนหนึ่งเป็นรูปของโม่มู่ อีกส่วนหนึ่งเป็นรูปของเธอที่ถ่ายพร้อมกับโม่มู่ และมีรูปเดี่ยวของเธอด้วย
ตอนที่เธอกับโม่มู่กำลังดูรูปอยู่ โม่ถิงเซียวก็กลับมา
เมื่อโม่มู่เห็นโม่ถิงเซียวกลับมา เธอก็โบกมือเล็กให้โม่ถิงเซียวทันที “มู่ฉิงเชียว มาดูสิ”
โม่ถิงเซียวมองมาที่โม่มู่ โม่มู่จึงยิ้มให้เขา “แหะๆ”
จากนั้นก็ลุกขึ้นมาจากพรม วิ่งเข้าไปในอ้อมกอดของมู่นวลนวล และหันไปหัวเราะให้โม่ถิงเซียวอีกครั้ง การกระทำนี้เป็นไปอย่างธรรมชาติ
อารมณ์อ่อนไหวของเด็กเธอสามารถสัมผัสได้ โม่ถิงเซียวไม่มีทางโกรธมู่นวลนวล ดังนั้นเมื่อเธอสร้างเรื่องจึงมาหลบอยู่ข้างหลังมู่นวลนวล
โม่ถิงเซียวเพียงแค่มองเธอและเดินจากไป
“ฉันทำอาหารเสร็จแล้ว คุณกินก่อนเลย”มู่นวลนวลมองเขาตอนเดินเข้ามาแปบเดียว และหันมาสนใจรูปภาพต่อ
ลูกของเธอหน้าตาดี ในรูปกับตัวจริงสวยเหมือนกัน
เมื่อโม่ถิงเซียวได้ยินอย่างนั้นก็ไม่ไปกินข้าว แต่กลับดึงรูปในมือของเธอมาดู
มู่นวลนวลเงยหน้าขึ้นอย่างไม่พอใจ “บนพื้นมีรูปเยอะแยะ ทำไมคุณไม่หยิบเอาเอง”
โม่ถิงเซียวจับรูปตรงมุมพร้อมหันมามองมู่นวลนวลและถาม “คุณถ่ายหรอ”
“ไม่งั้นใครจะถ่ายล่ะ คุณเคยถ่ายรูปกับมู่มู่หรือไง”
ที่จริงมู่นวลนวลตั้งใจจะพูดไปอย่างนั้น แต่ทันทีที่เธอพูดจบ เขาก็ตอบกลับมาว่า “ไม่เคย”
“คุณ….”มู่นวลนวลต้องการจะพูดอะไรบางอย่าง แต่เมื่อนึกขึ้นได้ว่างานเขายุ่ง แค่ดูแลโม่มู่ได้ก็ถือว่าไม่เลวแล้ว เธอจึงหยุดคำพูดเอาไว้
มู่นวลนวลถ่ายรูปให้โม่มู่เยอะมาก เมื่อปริ้นออกมา รูปจึงกระจายเต็มพื้น
เมื่อมองไปที่ภาพมากมาย ความทรงจำบางอย่างก็แวบขึ้นมาในหัวของเขา
เหมือนเขาจะมีรูปกับมู่นวลนวลเยอะมาก…. รูปที่อยู่ในห้องด้วยกัน….
แต่ภาพพวกนั้นก็หายไปอย่างรวดเร็ว เปลี่ยนเป็นภาพอื่น
โม่ถิงเซียวยกมือขึ้นมากุมขมับ ทรุดตัวลงบนพื้น
มู่นวลนวลตกใจ รีบวางโม่มู่ลงและเดินไปข้างโม่ถิงเซียว
“โม่ถิงเซียวคุณเป็นอะไรไป”เธอพูดจบก็นึกออกว่าสภาพเขาตอนนี้เหมือนตอนที่อยู่ในห้องหนังสือมาก
เขาขมวดคิ้วแน่น เหงื่อผุดออกมาเต็มหน้าผาก และกัดฟันแน่นด้วยท่าทางทรมาน
เพราะมีประสบการณ์จากครั้งก่อน เธอจึงรู้ว่าเธอไม่สามารถช่วยอะไรเขาได้ ได้แต่ถามเขาอยู่ข้างๆ “ฉันให้คนไปส่งคุณที่โรงพยาบาลดีไหม”
โม่ถิงเซียวไม่ได้ตอบเธอ ยังคงนั่งอยู่บนพื้น
เมื่อเธอเห็นเขาเป็นอย่างนี้จึงลุกวิ่งออกไป เด็กตัวเล็กจึงเดินมานั่งข้างเขาและพูดเสียงเบา “คุณพ่อ”
มู่นวลนวลเพิ่งนึกได้ว่าโม่มู่ยังอยู่ตรงนี้
อาการของโม่ถิงเซียวอาจทำให้ลูกกลัว
มู่นวลนวลรีบมาอุ้มลูกขึ้น และปลอบว่า “คุณพ่อไม่สบาย ต้องไปโรงพยาบาล”
“ไม่สบายหรอคะ”โม่มู่เอามือขึ้นมาจับท้องของตัวเอง และพูดอย่างใสซื่อ “คุณพ่อปวดท้อง”
อาจเป็นเพราะโม่มู่ก็เคยปวดท้องมาก่อน ดังนั้นเธอจึงคิดว่าโม่ถิงเซียวก็ปวดท้องเหมือนกัน
มู่นวลนวลจึงพูดตามว่า “ใช่คุณพ่อปวดท้อง”
จากนั้นก็เรียกคนรับใช้ขึ้นมาพาโม่ถิงเซียวออกไป และให้บอดี้การ์ดไปส่งโม่ถิงเซียวที่โรงพยาบาล
ในเมื่ออาศัยอยู่ด้วยกัน ดังนั้นมู่นวลนวลจึงตัดสินใจไปโรงพยาบาลกับโม่ถิงเซียวด้วย
เธอนั่งเบาะหลังกับโม่ถิงเซียว ตอนนี้โม่ถิงเซียวแทบไม่ได้สติแล้ว จึงนั่งอย่างไม่คงตัว
มู่นวลนวลต้องพยุงเขาไว้ ให้เขาพิงตัวเอง
ในที่สุดก็มาถึงโรงพยาบาล เมื่อรถจอดลง บอดี้การ์ดก็มาพยุงตัวเขาออกไป
ทันทีที่บอดี้การ์ดแตะตัวเขา เขาก็ลืมตาขึ้นทันที
บอดี้การ์ดรีบเรียกอย่างตกใจ “นายน้อย”
สายตาของเขาดูสับสนเล็กน้อย จากนั้นก็กลับมาเป็นปกติ
เขานั่งตัวตรง และพูดอย่างเคร่งขรึม “จะทำอะไร”