มู่นวลนวลยิ้มอย่างจริงใจ:“การแสดงของเธอเว่อร์ขนาดนี้ ผู้ชมซื้อบัตรไหม?”
“ชีวิตก็คือการแสดงความรู้สึกในใจที่เว่อร์ ”
หลังจากที่พูดจบเธอก็กระพริบตาและพูดว่า:“เธอจะพิจารณาหน่อยไหม บทเรื่องต่อไปให้ฉันมีบทบาท?ให้ฉันได้พัฒนาและดังในชั่วข้ามคืน”
เมื่อเซินเหลียงพูดว่า “ดังในชั่วข้ามคืน” เธอก็ทำให้เกิดฟองอากาศเหมือนตอนที่แปรงฟันที่มุมปาก
เธอดูดีอกดีใจเหมือนกับเด็ก
มู่นวลนวลใจลอยนิดหน่อย
สามปีที่ผ่านมาดูเหมือนว่าจะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง
“ได้สิ ให้เธอได้พัฒนาบทละคร แต่ไม่รับประกันนะว่าจะดังในชั่วข้ามคืน แต่ต้องเหมาะกับเธอแน่” น้ำเสียงของมู่นวลนวลจริงจัง
ไม่ใช่เรื่องง่ายที่นักแสดงคนหนึ่งจะได้พบกับบทบาทที่เหมาะสม
เซินเหลียงยิ้มและพูดว่า:“งั้นก็ตกลงตามนี้”
……
เซินเหลียงลาพักร้อนจริง ๆ
มู่นวลนวลต้องการพบโม่จิ่นหยุน แน่นอนว่าไม่สามารถพาโม่มู่ไปกับเธอได้
ดังนั้นโม่มู่จึงต้องเล่นอยู่ที่บ้านกับเซินเหลียง
โชคดีที่โม่มู่กับเซินเหลียงคุ้นเคยกันมากขึ้นแล้ว การพาเธอไปดูทีวีด้วยกัน ยังสามารถช่วยให้มู่นวลนวนดูได้สักพัก
เซินเหลียงกับมู่นวลนวลกำชับกันสักพัก แล้วกำลังจะป้อนน้ำให้โม่มู่เพราะไม่อยากให้เธอกินขนมเยอะ จากนั้นก็ออกไปข้างนอก
วันนี้เป็นวันทำงาน มู่นวลนวลจึงตรงไปหาโม่จิ่นหยุนที่โม่กรุ๊ป
แต่เมื่อเธอถามที่แผนกต้อนรับ หญิงสาวที่แผนกต้อนรับก็บอกเธอว่า:“รองประธานลาพักพักร้อนยาว”
“ลาพักร้อนยาว?ทำไมจู่ๆ เธอถึงลาพักร้อนยาวล่ะ?” โม่จิ่นหยุนลาพักร้อนยาวแบบนี้ ทำไมฟังดูแล้วรู้สึกว่ามีความผิดปกตินิดหน่อย
หญิงสาวที่แผนกต้อนรับกล่าวขอโทษ:“ขอโทษด้วยค่ะ ทางเราก็ไม่ทราบ”
“ขอบคุณค่ะ” หลังจากมู่นวลนวลขอบคุณแล้วก็เดินออกมาพร้อมกับโทรหาซือเย่
แม้จะรู้ว่าซือเย่กับโม่ถิงเซียวอยู่ในตึกนี้ แต่โม่กรุ๊ปไม่ใช่สถานที่ที่จะเข้าออกได้ตามอำเภอใจ ยิ่งไปกว่านั้นคือการขึ้นไปที่ห้องทำงานท่านประธานที่ยุ่ชั้นบนสุด
เธอจึงทำได้เพียงแค่หยิบโทรศัพท์ออกมาโทร และไม่ได้สังเกตเห็นคนข้างนอกชั่วขณะ
พอโทรติดเธอก็ชนคน
“ปึง” มู่นวลนวลรู้สึกว่าตัวเองเจ็บจมูก
เธอจับจมูกของตัวเองแล้วเงยหน้าขึ้นมองด้วยน้ำตาคลอ และเห็นใบหน้าที่เย็นชาของโม่ถิงเซียว
มู่นวลนวลตกตะลึงไปชั่วขณะและค่อยๆ วางโทรศัพท์ลงและเรียก :“โม่ถิงเซียว?”
“เหอะ!” โม่ถิงเซียวหัวเราะเยาะ:“ดูเหมือนว่าฉันจะดูถูกเธอมากเกินไป จนตามาถึงที่บริษัท”
มู่นวลนวล:“……” เธอไม่ได้ตามเขามา
ช่างเถอะ ต่อให้เธอบอกว่าเธอไม่ได้มาหาโม่ถิงเซียว โม่ถิงเซียวก็คงจะไม่เชื่อ
มู่นวลนวลเดินตรงไปที่ซื่อเย่และถามเขาด้วยเสียงต่ำ:“โม่จิ่นหยุนไม่ได้มาทำงานที่บริษัทหรอ?”
ซือเย่รู้สึกได้ถึงความเย็นชาจาก เขาไม่กล้าเงยหน้ามองโม่ถิงเซียว แต่ดันทุรังพูดกับมู่นวลนวล:“เธอลาพักร้อนยาว”
มู่นวลนวลถามอีกครั้ง:“เธออยู่บ้าน?ที่บ้านเก่าหรอ?”
ซือเย่รู้สึกอึดอัดที่ถูกจ้องมองด้วยสายตานั้น แต่ก็ทำได้เพียงคำถามของมู่นวลนวล:“น่าจะใช่ครับ”
มู่นวลนวลรู้สึกว่าซือเย่อึดอัดใจ
เธอหันหน้าไปมองที่โม่ถิงเซียวและเห็นว่าเขาจ้องมองซือเย่ เขาเดินตรงไปที่ทางเข้าลิฟต์
“คุณหญิง ถ้าไม่มีอะไรผมขึ้นไปก่อนนะครับ?” ในตอนที่ซือเย่พูดสายตาของเขาก็มองไปที่ที่โม่ถิงเซียวจากไป และเขาก็ดูไม่สบายใจเล็กน้อย
มู่นวลนวลพยักหน้า:“ฉันจะไปหาเธอที่บ้านเก่า คุณไปเถอะ”
ในวินาทีต่อมามู่นวลนวลก็เห็นซือเย่วิ่งเข้าไปหาโม่ถิงเซียวอย่างรวดเร็ว
มู่นวลนวลลูบจมูกตัวเองด้วยสีหน้าแปลกๆ
ซือเย่ติดตามโม่ถิงเซียวมานานหลายปีและรู้จักโม่ถิงเซียวดี ไม่คิดว่าเขาจะหวาดกลัวโม่ถิงเซียวขนาดนี้
ซือเย่รีบตามโม่ถิงเซียวไปแล้วกดลิฟต์ จากนั้นก็ยืนอยู่ข้างหลังโม่ถิงเซียวด้วยความเคารพ
โม่ถิงเซียวไม่ได้พูดอะไรสักคำ แต่ออร่าที่เคร่งขรึมของเขาเปล่งประกายมาก
ดูเหมือนจะไม่เป็นที่พอใจ……
ติ๊ง——
ประตูลิฟต์เปิดออก จากนั้นซือเย่ก็รอให้โม่ถิงเซียวเข้าไปก่อนแล้วเดินตามเขาเข้าไป
ในพื้นที่ที่ปิดสนิท ซือเย่รู้สึกว่าความกดอากาศต่ำลง
เขาเป็นฝ่ายเริ่มพูดก่อน:“คุณหญิงมารองประธาน เธอไม่รู้ว่ารองประธานลาพักร้อนยาว เมื่อกี้เธอก็เลยถามผม”
หลังจากที่พูดจบเขาก็สังเกตปฏิกิริยาของโม่ถิงเซียวอย่างระมัดระวัง
ลิฟต์เปิดออก โม่ถิงเซียวเดินออกจากลิฟต์และมองเขาอย่างเย็นชา:“คุณหญิง?”
“ครับ……คุณมู่” ซือเย่รีบเปลี่ยนคำพูด
ไม่รู้ว่าโม่ถิงเซียวพอใจกับการพูดของซือเย่หรือไม่ เขาเพียงส่งเสียงฮึแล้วถามว่า:“เธอจะไปหาโม่จิ่นหยุนทำไม?”
ซือเย่ยิ้มออกมาและพูดด้วยความจริงใจอย่างผิดปกติ:“แน่นอนว่าเป็นเพราะเรื่องของคุณชาย”
ใครจะรู้ โม่ถิงเซียวเงียบไปครู่หนึ่งและพูดอย่างสบายๆ:“เพื่อที่จะกลับมาแต่งงานกับฉัน ยอมทำทุกวิถีทางจริง ๆ”
เมื่อซือเย่ได้ยินอย่างนั้นก็แทบจะสำลักน้ำลาย
หากเป็นโม่ถิงเซียวเมื่อก่อน ไหนเลยจะพูดแบบนี้ออกมา เมื่อรู้ว่ามู่นวลนวลเป็นห่วงเขาขนาดนี้ เขาก็ดูดีอกดีใจมาก
……
มู่นวลนวลนั่งแท็กซี่ไปที่บ้านเก่าตระกูลโม่
หลังจากฟื้นขึ้นมา เธอก็เคยมาที่บ้านเก่าครั้งหนึ่ง
ในเวลาสามปีบ้านเก่าที่หรูหราและเรียบง่ายแห่งนี้ไม่ได้เปลี่ยนไปตามกาลเวลา แต่กลับสงบและเงียบมากขึ้นเรื่อย ๆ
มู่นวลนวลลงจากรถแล้วเดินไปที่ประตู มีบอดี้การ์ดขวางเธอไว้:“คุณเป็นใคร?”
“ฉันชื่อมู่นวลนวล ฉันมาพบคุณหนูใหญ่ตระกูลโม่ของพวกคุณ” มู่นวลนวลพูดอย่างใจเย็นโดยที่สีหน้าไม่เปลี่ยนไป
เมื่อบอดี้การ์ดได้ยินอย่างนั้นก็สังเกตมู่นวลนวลอย่างละเอียด
มู่นวลนวลรูปร่างซูบผอม แต่เธอมีพื้นฐานที่ดีและดูโดดเด่น เธออยู่กับโม่ถิงเซียวมานานและอารมณ์ดี
บอดี้การ์ดคิดว่ามู่นวลนวลอาจจะเป็นลูกสาวเศรษฐีหรือเพื่อนของโม่จิ่นหยุน
แต่ก็ถามก่อนจะดีกว่า
บอดี้การ์ดพูดว่า:“เดี๋ยวก่อน”
เขากระซิบบางอย่างกับบอดี้การ์ดอีกคน และบอดี้การ์ดคนนั้นก็เข้ามา
ไม่นานโม่จิ่นหยุนก็ออกมา
เธอสวมชุดสีดำเรียบ ๆ และดูซีดเซียวเล็กน้อยราวกับว่าเธอป่วยหนัก
โม่จิ่นหยุนยกมือขึ้น เพื่อบอกใบ้ให้บอดี้การ์ดถอยไปไกลๆ หน่อย
เมื่อเหลือเพียงเธอกับมู่นวลนวลอยู่ที่ประตู เธอก็ยิ้มเยาะและพูดว่า:“มู่นวลนวล เธอมาหาฉันทำไม?อยากเห็นฉันเป็นตัวตลกหรอ?น่าเสียดายทำให้เธอต้องผิดหวังแล้ว ต่อให้ฉันไม่มีอะไร ฉันก็ยังเป็นคุณหนูใหญ่ของตระกูลโม่ และยังมีหน้ามีตา”
มู่นวลนวลยังไม่ได้พูดอะไร โม่จิ่นหยุนก็พูดจนยุ่งเหยิง
มู่นวลนวลหรี่ตาลงและพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา:“คุณจะมีหน้ามีตาหรือไม่ ฉันไม่ได้อยากรู้ ฉันแค่จะถามคุณว่าใครเป็นคนสะกดจิตให้โม่ถิงเซียว?”
มู่นวลนวลไม่รู้ว่าคำพูดของตัวเองจะสะเทือนใจโม่จิ่นหยุน สีหน้าของเธอเปลี่ยนไปมากและพูดเสียงดัง:“ออกไปซะ!”