การถือกำเนิดจอมมารผู้เหนือโลกที่สิบสาม – ตอนที่ 46

การถือกำเนิดจอมมารผู้เหนือโลกที่สิบสาม

บทที่ 46 – อสูรและอดีต

“จริงๆ แล้ว.. ฉันไม่มีแม่หรอก…”

“เอ๊ะ..”

จู่ๆ เธอที่นอนอยู่ช้างฉันก็พูดคำที่ทำให้ฉันงงขึ้น ไม่มีแม่นี่ความหมายมันกว้างขนาดไหนกัน เพราะเธอบอกว่าคิดถึงแม่นี่น่า…

แต่ตอนนี้เธอบอกไม่มีแม่ หรือว่าเธอจะถูกทิ้งกันนะ ไม่สิแรกเริ่มเดิมทีเผ่าอสูรนั้นมีการสืบทอดสายเลือดด้วยอย่างงั้นเหรอ?

ฉันขณะที่กำลังงงอยู่นั้นเอง ชาร์ล็อตก็จ้องมาที่ฉันด้วยสายตาที่แปลกๆ ก่อนที่เธอจะนอนกลับเงยหน้าขึ้นมองเพดาน

เธอยกมือขวาขึ้นช้าๆ พร้อมกับแบมือขวาออก แสงจันทร์สาดส่องมาจากหน้าต่างเป็นเงาสะท้อนแสงออกจากช่วงลำตัวของฉัน

“เผ่าอสูรน่ะ.. เป็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่มีความทรงจำใดๆ เลยก่อนที่จะรู้สึกตัวมาบนโลกใบนี้”

“เอ๋.. มันหมายความว่ายังไงกัน?”

ฉันเริ่มสับสน หมายความว่ายังไงรู้สึกตัวมาบนโลกใบนี้ พวกอสูรโดนลบความทรงจำจนไม่รู้ว่าตัวเองเกิดจากไหนงั้นเหรอ

ไม่สิ จะเกินจริงขนาดไหนก็ควรจะมีลิมิตสิ ใครมันไปนั่งลบความทรงจำเผ่าอสูรที่เรียกได้ว่ามีเยอะกว่ามนุษย์กับปีศาจรวมกันซะอีกนะ

แต่ไม่ว่าฉันจะคิดยังไงก็ไม่มีคำอธิบาย ฉันรอฟังชาร์ล็อตเธอเงียบไปพักหนึ่งก่อนจะแนบมือกลับมาที่หน้าอก

“พวกเราเผ่าอสูรทุกชีวิต.. จะรู้สึกตัวขึ้นมาบนโลกใบนี้โดยไม่มีใครรู้ว่าตัวเราเป็นใคร มาจากไหนใครคือพ่อกับแม่.. ส่วนฉันรู้สึกตัวตอนอายุสี่ขวบ…”

“เอ๋ เดี๋ยวสิ เธอพูดเหมือนกับว่าถูกทิ้งกันแบบนี้ทุกคนงั้นเหรอ มันมีประเพณีอะไรที่แบบว่าต้องทิ้งลูกหรือยังไง?”

ชาร์ล็อตไม่ได้ตกใจกับคำถามของฉัน เหมือนว่าเธอจะเดาออกแล้วงั้นแหละ เธอส่ายหน้าเบาๆ แล้วก็ตอบ

“เผ่าอสูรแค่บางประเภทเท่านั้นที่สามารถสืบพันธุ์ได้… แต่หากเป็นพวกที่แข็งแกร่งบางสถานการณ์จะไม่สามารถทำได้ หมายความว่า…..”

“หมายความว่า.. ไม่สามารถมีลูกได้.. เอ๊ะ แต่ว่าเผ่าอสูรมีจำนวนเยอะกว่าเผ่าอื่นหลายเท่าเลยนะเมื่อเทียบกับจำนวนจริงๆ”

ถ้ามันมีแค่บางประเภทเท่านั้นที่สามารถสืบพันธุ์ได้จริง แล้วทำไมถึงมีจำนวนน้อยกว่าเผ่ามนุษย์ที่ใครๆ ก็สามารถมีลูกได้

โดยเฉพาะโลกที่กฎหมายไม่เคร่งครัดมาก ห่างไกลความเจริญการที่จะมีลูกไปทั้ง นี่ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร

แต่ด้านจำนวนกลับแพ้ต่อเผ่าอสูรโดยสิ้นเชิง.. มันหมายความว่าไงงั้นเหรอ.. หมายความว่าถ้าเผ่าอสูรไม่ถูกฟักออกมาจากไข่เยอะแยะอย่างอสูรราชินี

ก็คงถูกสร้างขึ้นโดยพระเจ้าแล้วล่ะ แต่พิจารณาว่าเผ่าอสูรมีทั้งความโดดเด่นแตกต่างกันแบบคนละทิศ เรียกได้ว่าไม่มีจุดเชื่อมกันเลย

อย่างน้อยหากเกิดจากอสูรราชินี ก็น่าจะต้องมีจุดร่วมที่เหมือนกันสักแห่งเพราะเกิดจากราชินีคนเดียวกันอะไรแบบนี้

ไม่สิ ฉันจะรีบตัดสินไม่ได้ว่าตรรกะของฉันจดใช้ได้ผลในโลกนี้..ฉันเริ่มขมวดคิ้วขึ้น … ในขณะที่ครุ่นคิดอยู่นั้นชาร์ล็อตก็อธิบายต่อ

“เรื่องนั้นไม่มีใครสามารถทราบได้แม้จะร่วมมือ หรือตรวจสอบพันธุกรรม อวัยวะต่างๆ ไปแล้วก็ตาม.. โดยเฉพาะอสูรประเภทมนุษย์พวกเขาคือมนุษย์ดีๆ นี่เอง”

“….”

ฉันชักจะงงเข้าไปใหญ่ ว่าไปแล้วจะแยกนังไงว่านี่คือมนุษย์นะนี่คืออสูรนะกันล่ะ ก็แบบเด็กกำพร้าพ่อแม่ในโลกนี้ใช่ว่าจะไม่มี

พวกเขาก็จะถูกตีหน้าว่าเป็นเผ่าอสูรทันทีเลยเหรอ มันแปลกๆ เกินไปไหมเนี่ย ฉันคิดแบบนั้นแต่ชาร์ล็อตเหมือนเดาความคิดฉันได้เธอพูดขึ้นว่า

“ส่วนการจะแยกว่าเป็นอสูรหรือไม่นั้น… ดูจาก ‘ทักษะ’ ไงล่ะ โดยปกติมนุษย์เองก็มีสิ่งที่เรียกว่าทักษะนี้กันทุกคน ไม่ว่าจะเป็นคนแก่ คนพิการ คนอ่อนแอ”

“แต่ว่ามนุษย์นั้นถูกผนึกการรับรู้ส่วนนี้ทิ้งไป การที่จะสามารถใช้ทักษะเหล่านี้ได้ต้องยอมรับเป็นบริวารแห่งเทพ หรือเรียกอีกอย่างว่าหมากรุก”

ฉันพยักหน้าเรื่องนี้พอรู้มาแล้ว ส่วนทักษะกว่าแปดล้านทักษะของฉันเหมือนจะต้องกลายเป็นทาสของเทพซะก่อนอะไรแบบนั้น

ตอบตามตรงว่าฉันไม่มีทางฝากชีวิตไว้ในกำมือของคนอื่นหรอก ต่อให้เป็นเทพก็ตาม ไม่สิเพราะเป็นเทพถึงไม่ยอมฝากมากกว่า

ทำไมถึงบอกว่าเป็นการฝากชีวิตน่ะเหรอ ก็เพราะว่าเมื่อเป็นบริวารแล้วเวลาเทพต้องการสู้เราก็ต้องถูกบังคับให้สู้อะไรทำนองนั้นละมั้งเพราะไม่งั้นจะให้เทพอนุญาตก่อนทำไม

(แน่นอนว่านี่แค่ความเข้าใจและการคาดเดาของเลทิเซียเท่านั้น)… แต่แล้วมันเกี่ยวอะไรกับอสูรล่ะ ฉันถามออกไปแบบนั้น

เธอจึงอธิบายฉันต่อ

“สำหรับเผ่าอสูรจะมีสิ่งนั้นโดยไม่จำเป็นต้องพึ่งพลังของเทพ.. แถมพลังของมันยังแตกต่างจากทักษะอื่นๆ เช่นว่าปกติมีทักษะเพิ่มพละกำลัง..เผ่าอสูรอาจจะเป็นการคูณพละกำลังขึ้นทุกครั้งที่กระทำเงื่อนไขบางอย่าง อะไรแบบนี้”

“เก่งกว่างั้นเหรอ?”

ชาร์ล็อตพยักหน้า คงเป็นแบบนั้นแหละนะ อ้อ ลืมบอกไปว่าไม่ใช่แค่มนุษย์ที่มีทักษะนะ แต่วิธีการดึงทักษะออกมาใช้ก็คงพึ่งเทพเจ้าอยู่ดีนั่นแหละ

ในขณะที่ฉันคิดอะไรอยู่นั้นก็นึกขึ้นได้.. แล้วที่ชาร์ล็อตบอกว่าคิดถึงแม่มันคืออะไร เธอไม่มีแม่ไม่ใช่เหรอ ด้วยความสงสัยฉันเลนถามขึ้น

“แล้วที่ว่าคิดถึงแม่ของเธอล่ะ มันหมายความว่าไง?”

เธอไม่ได้ตอบฉันทันทีที่ฉันถาม เธอหันหน้าไปมองนอกหน้าต่างที่มีแสงจันทร์เริ่มที่จะสาดไม่เข้าหน้าต่างเพราะดวงจันทร์ค่อยๆ แขวนขึ้นกลางฟ้าช้าๆ

“ไม่รู้สิ แต่ฉันยังรู้สึกว่าฉันมีแม่อยู่จริงๆ .. เธอยังอยู่ตรงนั้น.. รอวันที่ฉันจะกลับไปยังบ้าน รอ..และรอ”

“….”

ฉันไม่รู้จะพูดอะไร แม้ว่าฉันจะไม่สนใจคนอื่นแค่ไหนแต่ก็สัมผัสถึงความรู้สึกอันซับซ้อนมากมายอยู่ในคำพูดเหล่านั้น..

แล้วจู่ๆ ชาร์ล็อตก็นอนตะแคงหันหน้ามาทางฉัน เพราะเตียงมันแคบแม้แสงจันทร์จะสาดไม่ถึงแต่ฉันเห็นหน้าเธอชัดมาก ไม่รู้ทำไมพออยู่ในสถานการณ์นี้ถึงรู้สึกใจเต้นแปลกๆ

“นี่.. เลทิเซียอยากฟังนิทานสักเรื่องหรือเปล่า?”

“อืม…”

ฉันตอบออกไปเพราะเผลอตัวกับอารมณ์ชั่ววูบก่อนจะได้สติกลับมาแต่ก็ตอบออกไปแล้ว.. ให้ตายสิ ทำไมฉันรู้สึกว่าตัวเองเริ่มอ่อนต่อโลกขึ้นเรื่อยๆ นะเนี่ย

ขณะคิดแบบนั้น ชาร์ล็อตเองก็เริ่มเล่า.. ถึงเธอจะบอกว่าเป็นนิทานแต่ทันทีที่เธอเล่าฉันก็รู้ทันทีเลยว่า.. มันคือเรื่องราวชีวิตของเธอ

อดีตของชาร์ล็อต

………

กาลครั้งหนึ่ง เด็กผู้หญิงฉันสีขาวคนหนึ่งได้ลืมตาขึ้นมาในป่าดงดิบแห่งหนึ่ง ห่างไกลหมู่บ้านเต็มไปด้วยสัตว์ดุร้าย

เธอสามารถพูดได้ สามารถเข้าใจได้ รู้ชื่อของตัวเองแต่กลับจำอะไรไม่ได้เลยราวกับว่าเด็กน้อยคนนั้นกลวงไปทั้งตัว

เธอไม่รู้เรื่องมากนักแต่ไม่มีคนสอนเธอ เธอก็รู้จักวิธีหากิน แต่ร่างกายอ่อนแอเธอไม่สามารถล่าสัตว์ได้ ผลไม้ในป่าดงดิบยิ่งน่ากลัว

เธอได้กินเพียงผลไม้ที่ดูเหมือนจะไม่เป็นพิษและกินหญ้าพร้อมน้ำจากลำธารเพื่อประทังชีวิต

แต่ร่างกายก็ไม่ได้รับสารอาหาร ไม่มีแรงเริ่มที่จะเบลอ เธอไม่รู้จักสิ่งที่เรียกว่าตาย.. แต่เธอรู้ว่านี่คงเป็นจุดจบ

แต่จู่ๆ เธอก็ตื่นขึ้นมา ท้องยังคงร้องราวกับว่า.. เธอไม่สามารถตายได้ ไม่ว่าจะไม่ได้กินอะไรมาสิบวัน.. ยี่สิบวัน … สามสิบวัน

เธอไม่ตาย เธอยังหายใจแต่กระเพาะเหมือนกับกำลังบิดไปมา เธอไม่สามารถอดทนต่อความเจ็บปวดได้..

เธอจึงกินเห็ดแถวนั้น.. เธอถูกพิษที่มาจากเห็ดทันทีที่กิน.. เธอทรมานไปทั้งร่างกายเหมือนโดนสิ่งมีชีวิตกัดแซะลำคอลงไปจนถึงท้อง

เธอร้องไห้ระงมเพราะความทรมาน.. แต่ทรมานแค่ไหนก็ไม่ตาย.. มันคือความทรมานที่ไม่สามารถหยุดได้..

วันคืนผ่านไป ฝนตก.. ลมพายุ หิมะร่วงและใบไม้ผลิ ร่างของเธอยังคงแห้งเหี่ยวไร้สารอาหารหนังหุ้มกระดูก.. แต่ไม่ตาย ไม่สามารถตายได้

เธอรู้สึกว่างเปล่าโดดเดี่ยว.. ไม่มีใครรู้สึกว่าตัวเองเหมือนเป็นคนคนเดียวในโลกใบนี้.. ดวงตาของเธอจ้องมองไปยังหมาป่าสองตัว

ดูเหมือนมันจะอยู่ด้วยกัน.. พี่น้อง? ครอบครัว? คนรัก.. เธอไม่รู้แต่มันจ้องมาที่เธอ เธอรู้ประสงค์ของมัน..

แต่ก็มีเสือตัวใหญ่โผล่ออกมาแย่งชิง.. พวกมันเริ่มที่จะต่อสู้แต่หมาป่าก็ไม่มีทางสู้เสือได้ในทุกๆ ด้าน ทว่าหมาป่าทั้งสองก็ช่วยกันและกัน

โกยไม่รู้ตัวเธอได้รู้สึกชื่นชม.. ความสัมพันธ์.. และในตอนนั้นเสียงของเธอคนนั้นได้ดังขึ้นในหัวของเด็กผู้หญิง

เสียงดังกล่าวนั้นพูดว่า..

“ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของฉันสิ.. ส่วนเธอน่ะพักผ่อนไปได้แล้ว ปล่อยให้พี่คนนี้ได้ปกป้องเธอเองนะ.. ชาร์ล”

เด็กผู้หญิงก็รู้สึกปลื้มใจราวกับว่าเธอแสวงหามัน..เฉกเช่นกับจิ้งจอกคู่นั้น……..

โดยที่ทราบดียิ่งกว่าใคร……

……..

พอเล่ามาถึงจุดนี้จู่ๆ คอของชาร์ล็อตก็เอียงมาติดหน้าฉัน เพราะร่างกายเธอใหญ่กว่าฉันทำให้ฉันแทบตกเตียง

ฉันจำเป็นต้องขยับกลับไปแต่เธอเหมือนจะหลับไปแล้ว หน้าเศร้าๆ หายไปแล้วด้วย.. ฉันลังเลอยู่พักหนึ่งก่อนจะกัดฟัน.. ถือว่าเป็นกรณีพิเศษแล้วกัน

พอคิดแบบนั้นก็อดที่จะนึกถึงพี่ตัวเองไม่ได้

เรื่องราวของชาร์ล็อตมันทำให้ฉันรู้สึกว่า….….

…………….

การถือกำเนิดจอมมารผู้เหนือโลกที่สิบสาม

การถือกำเนิดจอมมารผู้เหนือโลกที่สิบสาม

Status: Ongoing
เรน ชายหนุ่มผู้มองโลกในแง่ร้ายสุดแสน ดันเป็นบัคจึงไปเกิดใหม่ในต่างโลกพร้อมพรสามข้อได้ แต่ด้วยพรสามข้อบางอย่างในคำขอทำให้เขาเกิดใหม่เป็นผู้หญิงทั้งยังกลายเป็นจอมมารไม่พอยังถูกแม่ตัวเองทิ้งไว้กลางป่าไปเฉยเลย!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท