การถือกำเนิดจอมมารผู้เหนือโลกที่สิบสาม – ตอนที่ 71

การถือกำเนิดจอมมารผู้เหนือโลกที่สิบสาม

บทที่ 71 – คะแนนโดยรวม

ฉันกับทสึรุเดินเที่ยวต่อในเมืองที่สงบสุขเดินไปลองเสื้อผ้าที่แปลกตา เรียกได้ว่าเสื้อผ้าในที่แห่งนี้นั้นแตกต่างจากที่โลกเดิมโดยสิ้นเชิง

ทั้งวัฒนธรรมและความนิยมของต่างๆ มันแตกต่างกันโดยสิ้นเชิงเลยก็ว่าได้ แต่ก็ไม่เป็นที่น่าแปลกใจเท่าไหร่

นอกจากนี้อาหารการกินยังแปลกตาอีกด้วย คืออาหารการกินของที่นี่ค่อนข้างที่จะหลากหลายมากกว่า อาจจะเพราะมีส่วนผสมที่มากกว่าด้วยละมั้ง

ที่โรงเรียนแม้จะมีอาหารที่พอรู้จักจากโลกเดิม แต่บางอันก็ไม่มีอย่างเช่นพวกการรมควันและอื่นๆ แต่ในโลกนี้กลับมีมากกว่านั้นอีก

อันที่จริงไม่ใช่แค่เสื้อผ้าแต่พวกอุปกรณ์เครื่องใช้ก็ประกอบไปด้วยของที่บางอย่างในโลกก่อนหน้าไม่มี

มันค่อนข้างทำให้ฉันแปลกใจ แถมมันไม่ได้ใช้ไฟฟ้าเหมือนในโลกเดิมก่อนที่ฉันจะตายซะด้วย ฉันเลยค่อนข้างสงสัยระบบการทำงานของมัน

ในขณะที่ทัวร์เมืองเต็มไปด้วยความสงบสุขนั้น ทสึรุเองก็ค่อนข้างที่จะชอบและพอใจมากเช่นกัน เพราะเจ้าตัวอ้างว่าไม่เคยออกมาเที่ยวแบบนี้

ด้วยเหตุนี้เวลากลางวันแทบทั้งวันทำเอาฉันต้องเดินอยู่ตลอดจนในที่สุดก็ใกล้จะเดินครบจนทั่วเมืองแล้ว

ในเมืองนี้มีสถานที่ท่องเที่ยวเบอะพอสมควรอย่างพวกประติมากร รูปของเทพทั้งสององค์ที่ถูกสร้างจากอาร์ติแฟ็คล้ำค่าบางอย่าง

หรือแม้ของฝากต่างแดน ชักสงสัยว่าที่นี่มันตั้งอยู่ที่ไหนของแผนที่ ทำไมกลิ่นอายการท่องเที่ยวมันชัดเจนขนาดนั้น

ในตอนนั้นเองทสึรุก็หันไปเห็นบางอย่างที่ตั้งอยู่ในลานกว้างของเมืองเป็นเวทีและที่นั่งชมในตอนที่กำลังมีการแสดง

“นั่นมันอะไรน่ะ?!”

“ละครเวทีเหรอ?”

ฉันเองก็พึ่งจะเคยเห็นนี่แหละ ถึงพอจะเคยอ่านเจอมาบ้างในหนังสือ แต่นี่ก็เป็นครั้งแรก เพราะโลกนอกชิ้นส่วนเวหาจะไม่ค่อยนิยมอะไรพวกนี้เท่าไหร่

แต่ดูเหมือนว่าที่นี่จะไม่ใช่ เพราะคนเตรียมดูคือเยอะมากมาย ทสึรุที่ได้ยินแบบนั้นก็ตาเป็นประกาย

“อันนี้ฉันเคยอ่านเจอในหนังสือมาเหมือนกัน ไปดูกันเถอะ..ไปดูกันเถอะ!”

ฉันลังเลก่อนจะมองท้องฟ้า ตอนนี้ก็ยังไม่มืดมาก ฟังจบก็น่าจะถึงเวลาพักพอดี หลังจากคิดได้แบบนั้นฉันก็ตัดสินใจ

“เข้าใจแล้ว”

ว่าแล้วพวกเราก็เข้าไปดูละครเวทีเบื้องหน้า ถ้าจะพูดว่าละครมันคงไม่เชิงละครมันเหมือนกับการเน้นบรรยายซะส่วนใหญ่

แบบให้คนพากย์และมีคนแสดงตามหลังอะไรทำนองนั้นนั่นแหละ พวกเราเข้าไปดูฟรีโดยไม่คิดตังเพราะฐานะพิเศษที่มาช่วยเมืองนี้อะไรนั่นแหละ

ขณะที่คิดแบบนั้นพวกเราก็ไปนั่งดูละครเวทีแล้ว โดยบนเวทีมีคนอยู่สามคนและของประกอบฉากอีกหลายอย่างพอสมควร

คนสามคนแบ่งออกเป็นชายหนึ่งหญิงสอง โดยชายคนนั้นเป็นคนบรรยาย ผู้หญิงสองคนเป็นคนแสดง เป็นแนวผู้หญิงล้วนสินะ

ทสึรุเองก็สนใจมาก เธออยู่นิ่งไม่ได้เลย เหมือนซิลเวียไม่มีผิด ฉันเองก็เริ่มสนใจขึ้นมาเพราะชื่อเรื่องที่ประกาศออกมา ‘เทพแห่งการกำเนิดโลก’

……

กาลครั้งหนึ่งเมื่อนานมาแล้ว..

มีคนอยู่คนหนึ่งได้ตื่นขึ้นมายังโลกสีดำอันมืดมิด.. เธอไม่รู้ว่าตัวเธอเป็นใคร ชื่อว่าอะไร เกิดมาได้ยังไง

แต่เธอรู้เพียงแค่ว่าเธอในตอนนี้มีสิ่งที่จะต้องตามหาอยู่ นั่นก็คือคนอีกคนที่อยู่ที่ไหนสักแห่งในโลกแห่งนี้ที่เกิดมาพร้อมกับเธอ

ผู้หญิงอีกคนที่เกิดมาพร้อมกันก็รับรู้เช่นกันว่ามีคนกำลังตามหาตัวเองอยู่ และเธอเองก็แสวงหาที่จะตามหาคนที่ตามหัวตัวเองเช่นกัน

ราวกับว่านั่นเป็นความต้องการอย่างเดียวในชีวิตของพวกเธอทั้งสอง.. แต่ทว่าในความมืดมิดอันธการไร้จุดสิ้นสุด

การตามหามันกลับยากเย็น ผู้หญิงคนแรกที่ตื่นขึ้นมาตามหาอยู่วันแล้ววันเล่า คืนแล้วคืนเล่า แม้จะไม่มีเวลาให้สังเกตนอกจากความมืดอันธการ

เธอเริ่มตกอยู่ในความสิ้นหวัง.. ความโดดเดี่ยว ไม่รู้ว่าหากมีเวลาเหมือนทุกวันนี้ให้จำกัดนิยาม.. มันจะผ่านไปกี่พันปี

กี่หมื่น กี่แสน.. หรืออาจจะมากกว่าชั่วชีวิตของพวกเราทั้งหมดทั้งมวลมารวมกัน เรื่องนี้ไม่มีคนทราบถึงมัน

แต่ผู้หญิงคนที่สองกลับไม่ได้ยอมแพ้ เธอเผชิญกับความโดดเดี่ยวทรมาน และทุกๆ ครั้งเธอก็จะลุกขึ้นยืนเสมอ

เธอเป็นคนมองโลกในแง่ดีเสมอ ทุกอย่างรอบตัวเธอสดใสแม้อยู่ในความมืดมิด บัดนี้คนทั้งสองที่เหมือนกันแต่ก็ต่างกันเหมือนสวรรค์กับนรก

คนหนึ่งจมปลักไปกับความสิ้นหวัง คนหนึ่งกับมีเป้าหมายแน่วแน่ไม่หวั่นเกรง.. พวกเธอเป็นเหมือนแสงสว่างและความมืดที่สร้างความสมดุลให้แก่โลก

คงไม่มีใครเข้าใจพวกเธอว่าการอยู่ในความมืดที่ว่างเปล่า มีแค่ตัวเองที่มีชีวิตอยู่ในฐานะผู้สังเกต สังเกตแค่ความมืด

จิตใจก็เริ่มว่างเปล่าไร้ความนึกคิด ผู้หญิงด้านมืดเองก็เริ่มจะกลับคืนสู่ความว่างเปล่า.. ผู้หญิงด้านสว่างก็เริ่มที่จะลืมเรือนเป้าหมาย..

จนทุกอย่างกลับคืนสู่ความว่างเปล่าดังเดิม…

แต่แล้วพวกเธอก็ตื่นขึ้นมาอีกครั้งและลืมสิ่งที่เคยเกิดขึ้น ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นใคร เกิดมาทำไม แต่พวกเธอก็ตามหากันและกัน

ใช่แล้ว.. เรื่องราวทั้งหมดที่กล่าวมา.. มันไม่ใช่ครั้งแรกที่เกิดขึ้นกับพวกเธอ และมันก็จะไม่ใช่ครั้งสุดท้ายเช่นกัน…

ทุกๆ การตื่น ทุกๆ การลืมตาพวกเธอก็จะตามหา.. โดยไม่รู้ว่าพวกเธอทั้งสองนั้น อยู่ใกล้กันเพียงแค่เอื้อม.. แต่เพราะทุกสิ่งทุกอย่างมันไม่มีตัวตนมาตั้งแต่แรก

ใช่.. ที่จะพูดก็คือหมายถึงพวกเธอเองก็เช่นกัน พวกเธอเป็นแค่บางอย่างที่กำเนิดมาโดยมีจิตสำนึกแต่ไร้เป้าหมาย

จนกระทั่งตัวแปรบางอย่างได้ถือกำเนิดขึ้น เมื่อพวกเธอมีตัวตนขึ้นมาจริงๆ จากความปรารถนาอันแรงกล้าที่สะสมมา..

ทำให้พวกเธอได้พบเจอกันในที่สุด.. และนั่นคือจุดเริ่มต้นของสองเทพแห่งปกรณัม…

…….จบ……

จบแค่นี้? ทำไมมันดูขาดๆ เกินๆ ยังไงไม่รู้เนี่ย แล้วสรุปเทพสองคนนั้นสร้างโลกขึ้นมา? ถึงจะไม่รู้ว่าทำยังไงเนี่ยนะ

แต่ก็เอาเถอะแล้วแต่ความเชื่อแหละนะ ต่อให้ฉันไม่เชื่อคนที่เชื่อก็ยังมีอยู่ เรื่องแบบนี้มันเป็นเรื่องของใครของมัน

และฉันเองก็ไม่คิดจะไปยัดเยียดว่าเรื่องแบบนี้มันโกหกทั้งเพ หรือคนที่เชื่อก็ไม่ควรเอาตรรกะตัวเองมายัดให้คนอื่น

ในความเป็นจริงแล้วนั้นคนที่เชื่อหรือไม่เชื่อก็ล้วนแล้วแต่มีอยู่บนโลกใบนี้ คนที่เชื่อเขาอาจจะใช้เป็นกำลังใจในการมีชีวิตต่อ

ก็แหม เล่นตามหาอีกคนโดยใช้เวลาเป็นล้านปีเนี่ย ในความมืดที่แทบจะไม่มีอะไรคงเหงาตายก่อนพอดีแหละนะ

แต่ว่าฉันเองก็อยากจะเจออะไรแบบนั้นบ้างนะ จะได้ไม่ต้องคิดอะไรมาก ไม่ต้องกังวลหรือประหม่าอะไร…

ส่วนคนที่ไม่เชื่อเขาอาจจะคิดว่ามันเหนือสามัญสำนึกเกินไป อะไรแบบนั้น.. ถึงฉันจะไม่ค่อยเข้าใจที่พูดไปเท่าไหร่ก็เถอะ แต่พี่สาวฉันมักบอกแบบนี้

ดังนั้นฉันจึงเชื่อว่าทุกคนอาจจะเป็นศัตรูได้หมด เพื่อที่จะก้าวเดินต่อไปได้ยังไงล่ะ…

“ว้าว สุดยอดไปเลยนะ ไม่เคยได้ยินนิทานอะไรแบบนี้มาก่อน ทั้งสองคนนั้นน่าสงสารจริงๆ นะ แค่ฉันไม่ค่อยมีเพื่อนเป็นสิบปีก็ไม่ไหวแล้วแท้ๆ”

ทสึรุยืดเส้นยืดสายแล้วพูดขึ้น นั่นสินะ แต่ที่ฉันบอกว่าอยากลองไปอยู่ในความมืดอันธการไร้ที่สิ้นสุดเพราะจะได้ไม่ต้องกังวลอะไรนี่คือเรื่องจริงนะ

แต่ฉันก็ไม่ปฏิเสธนะว่าที่ทสึรุพูดน่ะไม่ใช่เรื่องจริง… เพราะในความเป็นจริงความโดดเดี่ยวน่ะไม่ใช่แค่เรื่องง่ายดายขนาดนั้น

เพราะต้องระวังหลังตลอดเวลาไงล่ะ จะพักผ่อนได้ก็แค่ตอนอยู่กับพี่หรือน้องเท่านั้นแหละ ดังนั้นความโดดเดี่ยวนี่อันตรายมากเลยล่ะ

(ใช่ ถึงจะในความหมายที่แตกต่างจากที่เลทิเซียคิดไปมากก็เถอะ)

ว่าแล้วพวกเราก็เดินกลับ แม้ตกกลางคืนแล้วเมืองก็ไม่ได้เงียบขนาดนั้น อาจจะเพราะไม่ได้ดึกมากขนาดนั้น

ได้ยินทั้งเสียงคนเมาเหล้าทะเลาะกัน เสียงร้องกาไก่ เดินไปพักหนึ่งก็เห็นสาววัยกลางคนกำลังลากผู้ชายคนหนึ่งออกจากร้านเหล้า

“ไอ้แก่ขี้เมา วันนี้ข้าจะฟาดเจ้าจนไม่กล้าใช้เงินอีกเลยคอยดู!”

“หนวกหู~เฟ้ย.. ยายแก่บ้า~~ ปล่อยข้าาา ข้าจะไปหาน้อง— อ๊อก”

ว่าแล้วก็ถูกซัดก่อนจะพูดจบ เดินมาอีกก็เจอคุณแม่กำลังถีบลูกออกหน้าประตูแล้วบอก

“ไอ้ลูกบ้านี่! บอกให้ไปตามหากัซไป!!”

“โถ่แม่ เดี๋ยวมันก็กลับมาหรอกน่า”

“แต่นี่มันเลยเวลามาแล้ว แกเป็นคนเลี้ยงมันทำไมตอนนี้ขี้เกียจซะล่ะ!”

“ก็ได้ๆ เซ้าซี้จัง”

แล้วก็เดินออกจากบ้านด้วยใบหน้าที่ไม่ค่อยจะพอใจนัก… เดินมาอีกสักพักก็เจอกับชายวัยกลางคนที่กำลังเก็บแผงลอยเนื้อย่าง

พร้อมกับรีบวิ่งไปยังหอนางโลม แถมทำท่าทางเหมือนระวังอะไรสักอย่างด้วย ซึ่งฉันเองก็ไม่รู้ว่าระวังใคร (จะระวังใครอีกล่ะนอกจากเมีย)

คะแนนที่หักลบในเมืองท่องเที่ยวในเมืองนี้แล้วฉันให้ 1/10!

หลายๆ อย่างมันอันตรายเกินไปน่ะสิ! ก็แบบต้องระวังตัวตลอดเวลามันจะไปสนุกได้ไง ไม่รู้ว่ามีอาวุธที่รอดักโจมตีหรือเปล่า มันจะสนุกได้ไง

เอาตรงนะๆ อยู่ในห้องยังสบายใจซะกว่าเลยล่ะ!

(อนึ่ง เลทิเซียไม่เคยให้คะแนนเมืองท่องเที่ยวเกิน หนึ่งคะแนนสักเมือง.. ส่วนเหตุผลก็เพราะเจ้าตัวเป็นแบบนี้เนี่ยแหละ ถึงอีกส่วนจะเป็นเพราะไม่ค่อยได้เที่ยวก็เถอะนะ)

……

การถือกำเนิดจอมมารผู้เหนือโลกที่สิบสาม

การถือกำเนิดจอมมารผู้เหนือโลกที่สิบสาม

Status: Ongoing
เรน ชายหนุ่มผู้มองโลกในแง่ร้ายสุดแสน ดันเป็นบัคจึงไปเกิดใหม่ในต่างโลกพร้อมพรสามข้อได้ แต่ด้วยพรสามข้อบางอย่างในคำขอทำให้เขาเกิดใหม่เป็นผู้หญิงทั้งยังกลายเป็นจอมมารไม่พอยังถูกแม่ตัวเองทิ้งไว้กลางป่าไปเฉยเลย!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท