บทที่ 76 – แผนซ้อนแผน
ฉันเลทิเซีย ในตอนนี้ฉันกำลังมองไปยังต้นทางเสียงระเบิด กำลังสงสัยละสิง่าเกิดอะไรขึ้น เรื่องของเรื่องคือ
ฉันมายังสถานที่ที่ไม่รู้จัก และจู่ๆ ก็มีคนเข้ามาคุยโดยที่ไม่รู้จัก คิดเหรอว่าคนอย่างฉันจะเชื่อคำพูดของใครที่ไหนไม่รู้
และเมื่อเขาอธิบายฉันเลยอึ้งอยู่พักหนึ่ง นั่นไม่ใช่การงงงวยแต่อย่างใด แต่เป็นการเรียบเรียงข้อมูลจากคำพูดอีกฝ่าย
ก่อนที่ฉันจะแกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่องเพื่อให้อีกฝ่ายคิดว่าตัวเองถือไพ่เหนือกว่า และจากสายตาอีกฝ่ายที่แม้จะกำลังโค้งคำนับแต่กลับยังเงยหน้าใช้ปลายสายตามองไปยังการตอบสนองของฉัน
ถ้าเป็นใครสักคน เขาก็รู้ว่านี่มันกำลังวางแผนอะไรไว้แน่ๆ ดังนั้นฉันเลยรู้ในทันทีนั่นแหละ แต่ฉันก็วิเคราะห์ได้ทว่าอีกฝ่ายคงเป็นประเภทวางแผนก่อนดำเนินงาน
นั่นหมายความว่าฉันได้เปรียบกว่าเพราะมุมมองของอีกฝ่ายต่อฉันนั้นคือ ‘เด็ก’ โอเค คุณอาจจะยังไม่เข้าใจความต่าง
แต่แม้อีกฝ่ายจะไม่ประมาทฉันก็ตาม แต่ทว่าความเป็น ‘เด็ก’ ของฉันสามารถทำให้อีกฝ่ายเข้าใจผิดว่าฉันเป็นเด็กไม่ธรรมดา
แต่ก็นังเป็นเด็กอยู่ดีนั่นแหละ! งงละสิ งั้นฉันจะอธิบายง่ายๆ ให้ฟัง สมมุติมีคนหนึ่งสอบได้คะแนนเกรด 1 ขอเรียกว่านายเอ
แต่ว่าอีกคนนั้นที่เป็นบีนั้นรู้ว่าเอมันอาจจะหัวดี เพราะมาจากสถานที่ที่ไม่รู้จักหรือโรงเรียนอื่นที่ค่อนข้างมีชื่อเสียงมาก่อน
บีเลยพยายามจะหาความจริงว่าเอน่ะ โง่จริงหรือเปล่า แต่เพราะว่ามีตัวกำหนดว่า เอน่ะได้หนึ่งมาก่อนแล้ว
และเอเองก็ทราบสิ่งนี้ ส่งผลให้เอพยายามจะแสดงความเหนือกว่าแบบ ฉันแค่แกล้งเท่านั้นแต่กลับแสดงท่าทีโง่ๆ อย่างมองออกชัดเจน
ในจังหวะนั้นตามหลักจิตวิทยาแนวคิดของมนุษย์ บีจะเกิดอาการอคติต่อท่าทางของเอไปโดยปริยาย และความอคติจะพัฒนาจนกลายเป็นดูถูก
และปักใจเชื่อว่าไอ้หมอนี่น่ะมันเกรด 1 จริงๆ นั่นแหละ.. นี่แหละคือแผนของฉัน หลอกให้อีกฝ่ายคิดว่าเป็นเด็กที่ไม่ธรรมดานิดหน่อย
ด้วยเหตุนั้นจะทำให้อีกฝ่ายคิดว่าตนอยู่ในกำมืออีกฝ่าย ทั้งๆ ที่ความจริงแล้วอีกฝ่ายตั้งหากกำลังถูกบงการอยู่
ถามว่าฉันควบคุมสถานการณ์ตอนไหน.. นั่นก็ตั้งแต่ตอนแรก แน่นอนว่าสำหรับฉันการระวังตัวถือเป็นสิ่งสำคัญที่สุด แต่ที่ผ่านมาเคยเห็นฉันแสดงออกทางท่าทางหรือสีหน้าหรือเปล่าละ
เปล่าเลย! ใช่ที่ฉันแสดงออกทางสีหน้ามากขึ้นเพื่อหลอกล่ออีกฝ่ายนั่นเองแหละ ดังนั้นที่เห็นฉันตกใจประหลาดใจ
หรือแม้แต่ใช้ความคิดทั้งหมดน่ะ เป็นแค่เรื่องตบตาอีกฝ่ายที่หัวดีเท่านั้นนั่นเอง! อันที่จริงตัวชี้ชะตาว่าใครอยู่เหนือกว่าถูกกำหนดตอน ชื่อจริง
แน่นอนว่าฉันรู้แต่แรกอยู่แล้วว่ามีชื่อติดอยู่ที่หน้าอก แถมฉันเองก็มีเสื้อในช่องเก็บของต่างมิติ จะดึงเก็บตอนไหนก็ได้
แต่ที่ปล่อยให้อีกฝ่ายจับได้เพราะฉันพยายามทำให้อีกฝ่ายคิดว่า พวกเราเป็นเด็กไม่ธรรมดา แต่ก็ไม่เหลือบ่ากว่าแรงนั่นเอง
ถ้าหากเป็นฉันปกติคงไม่ทำตัวตื่นตูมเหมือนถูกจับได้ว่าแอบขโมยเสื้อพี่สาวแน่ๆ ดังนั้นนั่นจึงเป็นจุดชี้ชะตาว่าใครจะถูกบงการ
หากเขาคิดว่าฉันกลัวจริงๆ แสดงว่าเขาแพ้ฉันไปแล้วล่ะ แน่นอนว่าในตอนนั้นฉันเองก็ไม่รู้ว่าเขาคิดยังไงกับสิ่งที่ฉันแสดงออกไป
จนกระทั่งตอนไปถึงคฤหาสน์ของเขาละนะ เหตุผลที่เขาไม่อธิบาย คงเพราะจะพิสูจน์ให้ชัดเจนขึ้นว่าลักษณะนิสัยฉันเป็นยังไงกันแน่
ฉันเลยพยายามแสดงความเหนือกว่าว่า ‘เรื่องแค่นี้รู้อยู่แล้ว’ นั่นเองทำให้ฉันเข้าใจทันทีว่าเขาเชื่อที่ฉันแสดงเพราะว่า
เขาพยายามยืนยันว่าที่ฉันตกใจน่ะเรื่องจริงหรือเปล่า และเมื่อฉันแสดงความหยิ่งออกไป เขาจึงจะยืนยันทันทีว่าฉันขี้ระแวงไม่น้อย
นั่นหมายความว่าฉันน่ะตกใจจริงๆ และอีกฝ่ายก็มองฉันออกทะลุปรุโปร่ง.. เปลือกนอกน่ะนะ และในเวลาเดียวกันฉันก็มองออกถึงแผนการอีกฝ่าย
ที่พยายามจะให้เราอยู่ที่นี่อีกสักหนึ่งคืน แต่เพราะจู่ๆ อีกฝ่ายก็ยื่นเงื่อนไขอาร์ติแฟ็คมาซะดื้อๆ เหมือนรู้ว่าเราต้องการมัน นั่นหมายความว่าอีกฝ่ายรู้สถานการณ์ทางนี้ไม่น้อย
ดังนั้นหากปฏิเสธตรงนั้นละก็คงมีหวังที่จะถูกใช้แผนอื่น จนทำให้ควบคุมลำบากกว่าเดิมฉันเลยเดินตามหมากทำเป็นตื่นเต้นไปด้วย
อันที่จริงอาร์ติแฟ็คน่ะฉันสนใจมาก ยอมเสี่ยงเพื่อเอามันจริงๆ แต่ดูท่าแล้วแผนการอีกฝ่ายจะถูกวางโครงเรื่องมาไว้อย่างดี
ดังนั้นฉันจึงจำเป็นต้องระวังอย่างมาก และก็ด้วยเพราะเหตุนี้จึงจำเป็นต้องเลิกสนใจเรื่องอาร์ติแฟ็คก่อนและสนใจแค่การเอาตัวรอดในโลกอันตรายพรรค์นี้
ฉันเลยตัดสินใจที่จะออกมา แต่ก็ไม่ลืมที่จะทดสอบอาวุธลับเถาวัลย์พันไม้ เป็นยาวิเศษที่จะดูดเอาอากาศรอบด้านเข้ามาเป็นพลังในการเติบโต
แน่นอนว่าที่ดูดอะคือพลังเวทในอากาศน่ะ แต่มันจะทำงานก็ต่อเมื่อยาควบคุมการไหลของเวทรอบๆ ถูกทำลาย
ฉันเอายาควบคุมเวทไปวางไว้หน้าประตู เมื่อเปิดปุบยาก็จะแตก เสียงดูดอากาศก็จะดังขึ้น อีกฝ่ายก็จะคิดว่าเป็นเสียงลมหายใจก็จะไม่ระวังตัว
และนอกจากนี้ยังโยนยาแปลกๆ ที่ไม่รู้ความสามารถมันไว้ด้วย แต่เถาวัลย์พันไม้นี่น่าจะเพียงพอต่อการจับกุมอีกฝ่ายไว้ชั่วคราวน่ะนะ
(เจ้าตัวไม่รู้ว่าเถาวัลย์ที่ปรากฏขึ้นนั้นมันแทงท้องคนจนทะลุได้.. แถมยาแต่ละชนิดเลทิเซียก็เลียนแบบผู้หญิงแปลกในห้องที่ชื่ออเล็กเซีย มันเลยมีผลลัพธ์ที่ฆ่าอัลฟี่ได้สบายๆ)
แต่ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะลงทุนถึงขนาดระเบิดเถาวัลย์ที่น่ารำคาญของฉันทิ้งขนาดนั้นอะนะ อีกฝ่ายคงจะรีบตามมาในไม่ช้าก็เร็วแน่
ฉันถอนหายใจออกมา ยกเทียนอันหนึ่งขึ้นมา เทียนนี่เหมือนจะวิเศษมากเพราะตาแก่เจ้าเล่ห์นั่นเอามาตั้งในห้อง
ทั้งๆ ที่ในโลกนี้นั้นมีตะเกียงล้ำสมัยด้วยเวทมนตร์ แถมคฤหาสน์ทั้งหลังก็ใช้ตะเกียงเวทเหล่านั้นทั้งคฤหาสน์
แต่กลับมีแค่เทียนที่จุดรอไว้ในห้องเสร็จศัพท์แบบนั้น เป็นใครก็คงต้องคิดว่ามันไม่ปกติใช่ไหมล่ะ แน่นอนว่าฉันก็เช่นกัน
(อันที่จริง เทียนเวทคือสิ่งที่ปกติเขาวางไว้ในห้องกัน เพียงแต่ในชิ้นส่วนเวหาไม่มี ซึ่งอัลฟี่หวังจะใช้ความเคยชินของเลทิเซีย เพราะในโลกเดิมจะใช้เทียน แต่ทว่าดันเป็นของอันตรายมากสำหรับคนที่ขี้ระแวงเกินหน้าเกินตาอย่างเลทิเซีย)
ฉันจุดไฟใส่เทียนและวางไว้บนต้นไม้ ก่อนที่จะรีบหนีไป ถึงฉันจะไม่รู้ว่าผลลัพธ์มันทำอะไรได้บ้างก็เถอะ
แต่ถ้าหากผลของเทียนไขเวทมนตร์อันนี้ส่งผลต่อคนอื่นจริง พวกมันคงถูกหยุดตรงนี้อยู่พักหนึ่งได้เลยละมั้ง
ถึงจะรู้สึกเสียดายที่ยังไม่ได้วิเคราะห์โครงสร้างของมัน แต่ก็มันจำเป็นนี่น่า ยังไงซะมันถือเป็นของไว้ช่วยชีวิตฉัน
ถ้าฉันไม่ใช้ มันก็ไม่มีความหมายน่ะสิ ด้วยเหตุนี้ฉันจึงจุดเทียนวางบนต้นไม้ ถึงจะหันกลับไปมองด้วยความอาวรณ์ ก่อนจะถอนหายใจออกมา
ฉันกัดฟันรีบหนีและทสึรุเองก็ตามมาติดๆ สิ่งที่ฉันกังวลมีแค่มอนสเตอร์ ถ้าหากเจ้าเมืองอะไรนั่นไม่ได้โกหก
ก็หมายความว่ามอนสเตอร์จะแข็งแกร่งขึ้นตอนกลางคืนจริงๆ แต่ว่ารอบๆ กลับไม่มีมอนสเตอร์เลยสักตัวนะ
หลังจากเดินทางออกมาสักพักดูเหมือนว่าพวกนั้นจะไม่ได้ตามมาซะด้วย บางทีเทียนไขนั่นอาจจะได้ผลดีเกินคาดเลยล่ะ
แต่ยิ่งรู้ว่ามันสำคัญขนาดไหนก็ยิ่งเสียดายมากขึ้นเท่านั้น… อย่างน้อยหากมีวิธีผลิตซ้ำละก็นะ เฮ้อ…
……..
[เรียกน้ำย่อยเสร็จ ต่อที่น้ำหลักครับ – ใครสักคน]