บทที่ 77 – ความรู้สึกของเลทิเซีย
หลายวันนับจากนั้น
ฉันกับทสึรุมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันออก เพราะตอนอยู่ในเมืองฉันเห็นแผนที่ผ่านๆ แม้จะไม่ได้ตั้งใจดูมากเพราะกลัวว่าจะมีคนแอบตามดูอยู่
และมันจะคิดว่าฉันไม่รู้เรื่องอะไรในโลกใบนี้ แผนการก็ล่มพอดี ทำให้ฉันทำได้แค่กวาดตาผ่านไปแค่ครั้งเดียว
แต่ด้วยความที่แผนที่มันโฟกัสจุดแดงที่เป็นเมืองของพวกเขาไว้ซะชัดเจนว่า ‘นี่คือเมืองของพวกเรา’
สายตาฉันเลยโฟกัสจุดนั้นและ เห็นข้อมูลใกล้ๆ เมืองเท่านั้น… มีชื่อประเทศเขียนไว้ด้วยแหละ แต่อ่านไม่ออก
น่าแปลกคือภาษาพูดดันเข้าใจกัน อันที่จริงมันแทบเป็นภาษาเดียวกัน แต่กลับมีรูปแบบการเขียนที่แตกต่างทำให้ฉันอ่านไม่เข้าใจ
แต่เอาเป็นว่าประเทศนี้จะเป็นหนึ่งในหลายสิบประเทศบนทวีปแห่งนี้ โดยเมืองที่ฉันจากมาคือเมืองที่ตั้งอยู่บริเวณทิศตะวันตกของประเทศ
ตรงกลางประเทศรู้สึกจะมีทะเลสาบขนาดใหญ่ตั้งอยู่ ซึ่งที่แห่งนั้นแค่มองก็รู้ว่าน่าจะเป็นรอยอุกกาบาต
เอาเถอะในโลกนี้อาจจะคิดว่าอุกกาบาตคือความโกรธของพระเจ้าอะไรแบบนั้น แต่ว่าความจริงแค่เศษหินอวกาศถูกแรงโน้มถ่วงดูดมันลงมา
นั่นหมายความว่าใต้ทะเลนั้นอย่างน้อยก็มีแร่อุกกาบาตอยู่! มันสามารถสร้างเป็นอาวุธที่ดีได้ ต่อให้ไม่ต้องตีดาบอย่างประณีตให้ดาบมีจิตวิญญาณก็ตาม
ดาบมันก็แข็งแกร่งได้ เพราะหินอวกาศมีความทนทานสูงกว่าปกติ.. นั่นหมายความว่าฉันสามารถใช้เวทมนตร์แทรกแซงสร้างมันขึ้นมาได้โดยตรง!
และอีกอย่างขึ้นเหนือไปอีกหน่อยรู้สึกจะมีเมืองขนาดใหญ่อยู่ด้วย ฉันคิดว่านั่นเป็นเมืองหลวง สรุปคือทางผ่านอยู่ดีนั่นเอง
เพื่อที่จะหาข้อมูลอาร์ติแฟ็คฉันต้องไปที่เมืองหลวง แน่นอนว่าโดยการแสร้งปลอมตัวเป็นคนธรรมดาบนโลกนี้น่ะนะ
ฉันไม่มีทางตระเวนไปทั่วประเทศโดยไร้ข้อมูลแน่ๆ หากจู่ๆ ไปโผล่ในรังมังกร มีหวังตายพอดี หรืออาจจะไปโดนลูกหลงการต่อสู้สงครามอะไรอีก
ทำแบบนั้นก็เหมือนการไปฆ่าตัวตายน่ะนะ ฉันไม่ได้ทำตัวไร้สาระแบบว่า ไม่รู้เรื่องอะไรนี่แหละค่อยเรียกผจญภัย อย่างในการ์ตูนในโลกเดิมหรอกนะ
ขณะเดินทางมอนสเตอร์ก็ไม่ค่อยเยอะอะไรเหมือนโลกนอกชิ้นส่วนเวหา ซึ่งนับว่าเป็นเรื่องที่ดี
อ้อ.. แล้วก็เรื่องที่ว่ามอนสเตอร์เก่งขึ้นตอนกลางคืนน่ะเป็นแค่เรื่องโกหกนั่นแหละ เพราะว่ามันก็ไม่ต่างจากเดิมมากนัก
ส่วนการต่อสู้ฉันใช้ของวิเศษแทบทั้งหมด เพราะพยายามจะไม่เสียพลังส่วนตัว เพราะกลัวจะถูกลอบโจมตีโดยทสึรุ
ดูเหมือนทสึรุเองก็ไม่ยอมใช้พลังในการต่อสู้เลย ไม่สิ เธอไม่ช่วยสู้ด้วยซ้ำ นอกจากนั้นของวิเศษเองก็แทบหมดกระเป๋าแล้วเนี่ย!
บางทีฉันควรจะรีบแยกจากเธอนะ ต้องมากังวลทั้งมอนสเตอร์และกังวลเพราะยัยคนนี้อีกเนี่ย มันยากกว่าที่คิดหลายเท่าเลย
แถมฉันยังรู้สึกว่าความอันตรายมันยังไม่หายไปเลยด้วยซ้ำ แต่ในทางกลับกันมันกลับยิ่งมากขึ้นกว่าเดิม
ความรู้สึกไวต่ออันตรายของฉัน มันทำให้ฉันในตอนนี้รู้สึกเหมือนมีบางอย่างขาดหายไป และทำให้ไม่สบายตัวเท่าไหร่นัก
เหตุผลอาจจะเป็นเพราะฉันอยู่ใกล้กับทสึรุมากไปแล้วแหละ… เพราะปกติฉันจะเว้นระยะห่างเสมอแต่พอได้มาในโลกในชิ้นส่วนเวหานี้
ทั้งเรื่องมอนสเตอร์ เรื่องมนุษย์..เรื่องโลก ทุกอย่างจำเป็นต้องระวังตัวเสมอทำให้ฉันเผลอมองข้ามทสึรุไปหลายต่อหลายครั้ง
ความรู้สึกอันตรายนี้บางทีอาจจะเกิดจากผู้หญิงคนนี้ก็เป็นได้ ฉันควรจะรีบตีตัวออกห่างจากทสึรุโดยเร็วที่สุด
แต่ฉันจะหาข้ออ้างยังไงล่ะ เพื่อที่จะตีตัวออกห่างจากทสึรุ โดยไม่ทำให้เธอเศร้า…
เอ๊ะ.. เดี๋ยวก่อนนะ ฉันหยุดเคลื่อนที่ลงกะทันหัน ทำให้ทสึรุที่เดินตามมาอยู่แสดงสีหน้าสงสัยออกมาแล้วพูดขึ้น
“มีอะไรงั้นเหรอ เลทิเซีย?”
เดี๋ยวก่อน.. ทำไมฉันต้องคิดแบบนั้นด้วย? พวกเราเป็นศัตรูกันทำไมฉันต้องเป็นห่วงความรู้สึกจองเธอด้วย
ไม่สิ ตั้งแต่แรกเดิมมีทำไมฉันต้องอยู่กับทสึรุด้วย หรือทำไมต้องพาเธอออกมาจากเมืองนั้นกับตัวเองด้วย
เธอเป็นศัตรูของฉันที่วางแผนจะฆ่าฉันอยู่นะ.. อีกอย่างในโลกนี้ไม่ใช่โลกเดิมอยู่นอกฐานะองค์หญิงปลอมๆ ของฉัน
ถ้าเธอจะฆ่าฉันมันก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะต่อให้ฉันตายก็ไม่มีใครรู้ ไม่สิ ต่อให้ตายก็อาจจะไม่มีคนสนใจฉันอยู่ดี
เพราะขนาดเลวี่ยังไม่ต้องการที่จะยุ่งกับฉัน.. แล้วทำไมฉันต้องมาอยู่ที่นี่กับผู้หญิงที่ไม่รู้ว่าเป็นมิตรหรือเปล่าแบบนี้ด้วย
แถมยังห่วงเรื่องของเธอ แบบนี้ ไม่.. ฉันไม่ได้ทำแบบนั้น ฉันจะห่วงศัตรูทำไม.. ฉันแค่ทำให้เธอตายใจและคิดว่าฉันเป็นมิตรเธอต่างหาก
ฉันน่ะ.. ไม่เชื่อใจคนอื่นไม่ได้นอกจากลูเซียกับพี่ แม้แต่เลวี่เองก็เป็นของปลอม โลกใบนี้น่ะมันของปลอมทั้งเพ
ทุกอย่างมันคือของปลอม ฉันก็แค่แกล้งแสดงเพื่อทำให้มันกลมกลืน เพื่อที่จะอยู่รอด… มันเป็นแบบนั้น
แต่ว่าภาพตอนที่ฉันเที่ยวในเมืองกับทสึรุก็ลอยขึ้นมา เป็นภาพที่ทำให้ความรู้สึกของฉันรู้สึกเจ็บแปลบไปทั่วทั้งหัว
ฉันเชื่อใจใครไม่ได้ในโลกใบนี้ รอยยิ้มนั่น ความสนุกนั่น หรือแม้แต่การตอบโต้ทุกอย่างมันเป็นแค่การแสดงของฉัน
ที่จะทำให้เจ้าเมืองอัลฟี่ตายใจ หากเจ้านั่นแอบมองอยู่ ใช่แล้ว ฉันไม่เคยมีความสุขกับความสุขจอมปลอมพวกนี้หรอก
………….
เลทิเซียกำลังปฏิเสธความคิดของเธอ ทุกอย่างน่ะต้องเป็นแค่การแสดง เธอจะมีความสุขไปกับการแสดงได้ยังไง
โลกใบนี้น่ะไม่ยุติธรรมกับเธอตลอดมา ไม่ว่าจะเป็นตั้งแต่เกิดมาจนถึงตอนนี้ เธอไม่เคยมีความสงบสุขเลยแม้แต่นิดเดียว
จริงอยู่ที่ทุกอย่างล้วนเป็นสิ่งที่เธอคิดหรืออาจจะเข้าใจผิด แต่สุดท้ายแล้วอะไรคือความจริงในโลกใบนี้กันละ?
เธอไม่สามารถอ่านใจใครได้ เธอได้เพียงแต่ระวังและระวัง หากเธอเกิดมาและได้รับความรักจากมารดาที่แท้จริง เธอคงไม่เป็นแบบนี้
สำหรับเด็กธรรมดาที่ถูกเก็บมาเลี้ยงอาจจะมองว่าคนในอาณาจักรอาเดฟเป็นครอบของตัวเอง เพราะพวกเขาอบอุ่นและใจดี
แต่สำหรับเลทิเซียที่ต้องรู้ว่าแม่ตัวเองทิ้งตัวเองไว้กลางป่าแล้ว คนจากอาณาจักรอาเดฟมันก็ไม่ต่างจากคนแปลกหน้าที่รับเธอมา ชุบเลี้ยงโดยไม่รู้เหตุผล
เลทิเซียไม่เข้าใจหรอกความคิดที่ว่าเพราะสงสาร เพราะเอ็นดู อันที่จริงเธอไม่รู้จักแม้แต่คำว่าแม่
เธอเคยอ่านเจอในหนังสือนิทานหรือเรื่องเล่าที่มีทั้งแม่ผู้ใจดีมีลูกเพื่อที่จะเลี้ยง และก็เจอแม่ที่มีลูกเพื่อที่จะให้ลูกเลี้ยง
หรือแม้แต่แม่ที่มีลูกเพราะความผิดพลาด หรือใช้ลูกเพื่อระบายอารมณ์ ใช่ สุดท้ายแล้วเธอก็ไม่รู้จักกับคำว่าแม่
เมื่อเกิดใหม่ก็ถูกแม่ทิ้งนั่นจึงทำให้เธอไม่ได้เชื่อใจใครเลย มันกลายเป็นปมขนาดใหญ่โดยที่เธอไม่รู้ตัว
ดังนั้นทุกอย่างที่เธอเห็นที่เธอพบบนโลกใบนี้มีแต่ความเสแสร้ง เป็นใบหน้าที่เสแสร้งซึ่งไม่รู้ว่าข้างในมีอะไรอยู่กันแน่
ดังนั้นความเป็นจริงสำหรับเธอไม่ใช่โลกใบนี้ แต่เป็นตัวเธอเองต่างหาก ซึ่งบัดนี้ความจริงสำหรับเธอนั้นถูกสั่นคลอน
เธอไม่เข้าใจว่าตัวเองทำไมถึงสนุก สนุกเพื่ออะไร เธอพยายามที่จะบอกกับตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่านั่นคือการแสดง
แต่ทว่าเมื่อคิดถึงความรู้สึกนั้นหัวใจเธอกลับเต้นไม่เป็นจังหวะ เธอสับสน เธอที่เชื่อว่าโลกใบนี้กำลังคิดจะฆ่าเธอ
แต่เธอกลับรู้สึกสนุกไปกับของปลอมๆ .. เมื่อความรู้สึกเหล่านี้มาหลอมรวมกันมันทำให้ความรู้สึกของเลทิเซียดูสับสนมากยิ่งไปอีก
ไม่มีใครเข้าใจเธอ หรือแม้แค่ตัวเธอเองก็ไม่เข้าใจตัวเธอเอง ยิ่งเธอนึกถึงว่าการที่ตัวเองมีความรู้สึกกับศัตรูจนไม่เป็นอันต่อสู้กับศัตรู
ก็เหมือนการฆ่าตัวตายเพราะมัวแต่ลังเลที่จะต่อสู้ แบบนั้นมันใช้ไม่ได้…
……..