การถือกำเนิดจอมมารผู้เหนือโลกที่สิบสาม – ตอนที่ 109

การถือกำเนิดจอมมารผู้เหนือโลกที่สิบสาม

บทที่ 109 – ความรักกับความบิดเบี้ยว

“…เจ้าบอกเจ้าจะไปช่วยเธอ.. แต่ที่เจ้าทำอยู่นั่นไม่ใช่แค่การจะไปตายงั้นเหรอ..”

ภายใต้เสียงคำรามแหบพร่าที่มากด้วยความสับสนกังวลใจของเธอ สายตาของเซเลียจ้องมองลึกลงไปในดวงตาของทสึรุ

ราวกับว่าเธอมองทะลุลงไปในตัวของทสึรุได้ เสียงของเธอไม่ดังมากและไม่เบาจนเกินไป แต่เห็นได้ชัดถึงอารมณ์ที่ไม่อาจบรรยายออกมาได้

แม้เซเลียจะไม่ได้รู้จักกับทสึรุนาน หรือไม่เคยคุยกับเลทิเซียมาก่อน แต่สภาพของทสึรุตอนนี้ใครเห็นก็ต้องคิดไปว่า เธอสติแตกไปแล้ว.. เหมือนกับคนบ้า

“…”

ทสึรุไม่สามารถปฏิเสธคำพูดนั้นของเซเลียได้ เธอรู้สึกว่าต้องพูดออกไป บอกออกไปว่า.. ตัวเองต้องการจะช่วยเลทิเซียจริงๆ

แต่เมื่อดวงตาจดจ้องไปยังเซเลีย ปากที่เปิดออกกลับไร้เสียงโต้แย้ง.. เธอไม่สามารถแย้งคำพูดได้เลย แม้เสียงนั่นจะดูสงบและเบาบางขนาดไหนก็ตาม

และไม่รู้ว่าเป็นเพราะกังวลเรื่องของเลทิเซียอยู่หรือเปล่า เพราะตอนนี้สายตาที่เธอจ้องไปยังเซเลียมันมองลึกลงไป…

ลึกจนเห็นเศษเสี้ยวอย่างหนึ่ง.. มันคือความสงสารที่มีต่อทสึรุ อันที่จริงมันค่อนข้างจะชัดเจน แต่ทว่าก่อนหน้านี้ทสึรุไม่เคยคิดถึงมัน

ทสึรุไม่สนใจมันเลยสักนิด แต่ตอนนี้พอเธอเห็นสายตาที่สงสารอีกฝ่าย เธอก็อดที่จะคิดไปว่า.. “สุดท้ายแล้ว ข้ามันก็ยัง….”

อันที่จริงหากไม่ใช่เพราะคำพูดของเซเลียที่พูดเจาะเข้ากลางใจจี้จุดอ่อนพอดี เธอคงไม่คิดถึงเรื่องนั้นในจิตใจ.. แต่พอพูดขึ้นมาทำให้เธอคิดอย่างเลี่ยงไม่ได้

ขนาดอยากจะช่วยเลทิเซีย อยากจะทำเพื่อเลทิเซีย.. ทว่าสุดท้ายแล้วคนที่น่าสงสารที่สุดสำหรับเซเลียก็ยังเป็นทสึรุ…

เธอก้มหน้าลงและไม่สามารถเอ่ยอะไรออกมาได้ แม้เซเลียจะอ่านความคิดทสึรุไม่ออก แต่พอเห็นทสึรุสงบลงแล้วเธอค่อยถอนหายใจออกมา

“ฟังข้า.. ทางเดียวที่พวกเราทำได้ตอนนี้คือรีบผ่านบททดสอบทั้งสาม หนึ่งในพวกเราขอแค่ช่วงชิงอาร์ติแฟ็คนั้นมาได้ พวกเราก็ชนะมิตินี้คงพังทลายลงในทันที ดังนั้นทางเดียวที่จะช่วยท่านเลทิเซียได้ในตอนนี้คือ ผ่านบททดสอบให้ได้ ไม่อย่างนั้นอย่าว่าแต่ท่านเลทิเซียเลย พวกเราเองก็ไม่รอด!”

“ข้า…”

ทสึรุเหมือนจะพูดอะไรสักอย่าง หลังจากที่เซเลียอธิบายเสร็จ ราวกับว่าทุกอย่างกลับคืนสู่ความเงียบสงบ

แม้จะไม่เห็นหน้าทสึรุแต่ก็มีหยดน้ำใส ที่หยดลงจากใบหน้าของทสึรุ.. น้ำตาที่ไหลออกมานั้นเต็มไปด้วยความโกรธ เกลียด สมเพช ทุกอย่างรวมอยู่ทั้งหมด

และสิ่งเหล่านี้รวมอยู่ที่ตัวเธอเอง เธอเกลียดตัวเองที่สุดท้ายแล้วก็ยังทำประโยชน์อะไรไม่ได้ สมเพชตัวเองที่มัวแต่กลัวและใช้เลทิเซียเป็นไม้บังหน้า

สุดท้ายแล้วสิ่งที่อยู่กับเธอก็จะอยู่กับเธอตลอดไป ไม่เหมือนในนิทานของคนอ่อนแอ.. เพราะเธออ่อนแอ.. มันจึงอยู่กับเธอตลอดไป

อันที่จริงสามารถพูดได้ว่าคนทุกคนมีความอ่อนแอเป็นของตัวเอง.. รวมถึงทสึรุ เลทิเซีย หรือใครก็ตาม

คำว่าอ่อนแอไม่ได้น่าสมเพช เพราะมันคือเรื่องที่ทุกคนต้องมีอยู่ในใจ แต่การยอมแพ้ต่างหากที่เป็นสิ่งที่น่าสมเพช สามารถล้มได้ สามารถเศร้าได้

แต่อย่ายอมแพ้.. และสำหรับทสึรุนั้นใช้เลทิเซียเป็นข้ออ้างในการสลัดความอ่อนแอจากตัวของเธอเอง จนในท้ายที่สุดคำถามข้างในใจของเธอก็เด่นชัด..

“ข้า.. มันเป็นคนที่ไม่ควรได้รับการอภัยใช่ไหม..?”

เธอเงยหน้าขึ้นพูดอย่างช้าๆ ตอนนี้เธอแค่ต้องการคำตอบ การที่เธอใช้เลทิเซียเป็นข้ออ้างในการทำลายความอ่อนแอของตัวเอง

แน่นอนว่าทสึรุอาจจะไม่รู้หรืออาจจะรู้ ที่เธอพูดน่ะคือเธอแค่รักเลทิเซียเท่านั้น เพราะเธอรักเลทิเซียมากจนสามารถละทิ้งความอ่อนแอในอดีตได้เลยต่างหาก

เซเลียในฐานะคนนอก เธอมองไปยังทสึรุ.. ก่อนจะตอบออกมา

“เรื่องนั้น.. คนที่ตัดสินใจไม่ใช่ข้า..”

เธอชี้นิ้วออกไปด้านนอก ปลายนิ้วตรงดิ่งไปยังร่างของเลทิเซียและพูดขึ้นมาเบาๆ ว่า

“แต่เป็นเธอ..”

ทสึรุหันไปมองเลทิเซีย.. ความคิดทั้งหมดดังอึงอลอยู่ในหัวและเธออยากรู้ว่าการที่เธอใช้เลทิเซียเป็นข้ออ้าง (รัก) แบบนี้เธอจะให้อภัยทสึรุหรือไม่?

สมองของเธอแล่นเหมือนกับถูกกระตุ้น จิตใจที่ได้รับการพยุงจากคำพูดของเซเลียทำเอาทสึรุลุกขึ้นยืน ต้องขอบคุณจิตใจอันน่ารังเกียจของเธอ

มันทำให้เธอฟื้นจิตใจไวเหมือนกับเปลี่ยนอารมณ์ฉับพลัน เธอเช็ดน้ำตาออกจากตาก่อนจะพูดขึ้นว่า

“ข้าเข้าใจแล้ว..”

แล้วก็หันหลังเดินไปข้างหน้าเข้าม่านแสงที่เป็นบททดสอบที่หนึ่งทันที.. พอเธอจากไปเซเลียก็ก้มหน้าลง..

แอนนี่เดินมาหยุดอยู่ข้างๆ เซเลียแล้ว ก็โอบไหล่เธอให้เซเลียพิงหน้าลงลนไหล่ของแอนนี่

“ข้า..พูดแบบนั้น..ออกไป..”

“เจ้าทำถูกแล้ว เซเลีย”

“แต่ว่า…!!”

เธอรู้ว่าคำตอบของเธอมันทำให้ทสึรุน่ะมุ่งหวังจะไปเอาคำตอบ.. ใช่ คำตอบจากคนที่ไม่มีทางให้คำตอบได้อย่างคนที่ตายไปแล้ว

หากเธอกล้าพูดออกไปว่า ‘มันไม่ใช่เรื่องที่ผิด’ ทุกอย่างมันก็จบแล้ว… แต่ถ้าหากทำแบบนั้นไม่ใช่แค่เรื่องราวทั้งหมดจบลงเท่านั้น

แต่ยังรวมไปถึงความรู้สึกของทสึรุด้วย เพราะยังไงซะเซเลียก็เป็นแค่คนนอกของความสัมพันธ์อันยุ่งเหยิงของทสึรุและเลทิเซีย

เมื่อเธอตอบออกไปมันก็เหมือนเทน้ำในแก้วเพื่อดับไฟที่กำลังไหม้บ้านหลังใหญ่.. คุณค่าของคำพูดเธอมันเพียงพอจะเรียกสติทสึรุกลับมา

เอาง่ายๆ เมื่อทสึรุได้รับคำตอบนั้นการโกหกตัวเองของทสึรุก็จะสิ้นสุดไปแล้ว เพราะคำถามนี้ของทสึรุน่ะมันมีมาตั้งแต่ต้นแม้เธอจะกลบฝังมันมาตลอด

(ในกรณีที่เจ้าตัวย้ำบอกกับตัวเองเสมอว่า ‘ก็เพราะข้ารักเลทิเซีย! ทุกอย่างมันก็แค่นั้น’ และในส่วนลึกที่ไม่คิดถึงมัน

คำว่ารักของทสึรุนี้นั้น เจ้าตัวคิดว่าตัวเองยึดติดกับมันเพื่อใช้เลทิเซียเป็นข้ออ้างในการทำให้ความอ่อนแอของตัวเองหายไป

ซึ่งมันตรงกันข้าม เพราะรักต่างหาก ทสึรุถึงยึดติดและเลทิเซียจึงสำคัญกับทสึรุมาก ทำให้ความอ่อนแอทั้งหมดเธอหายไป)

ดังนั้นหากจะบอกว่า เมื่อได้รับคำตอบนี้แล้ว มุมมองต่อโลกต่อวิถีชีวิตของทสึรุสามารถแปรเปลี่ยนได้ด้วยคำตอบนั้นเลย

นี่แสดงให้เห็นว่าทสึรุยึดติดกับมันมากแค่ไหน และหากเซเลียเป็นคนพูดออกมาไม่ว่าจะแบบไหน ก็สามารถพลิกชีวิตหรือจบชีวิตทสึรุได้

ซึ่งเธอทราบ แต่เธอเป็นแค่คนนอกเท่านั้นมีสิทธิ์ที่จะพูดที่ไหน ยังโชคดีคนที่ถามเป็นคนที่จิตใจที่แข็งแกร่งอย่างทสึรุ หากเป็นเลทิเซียคงย่ำแย่กว่านี้มาก

สุดท้ายแล้วที่เซเลียตอบออกไปแบบนั้น แม้จะยังไม่ทำให้ชีวิตทสึรุพลิกผัน แต่ก็คงอีกไม่นาน.. เพราะความจริงที่ว่าเลทิเซียได้ตายไปแล้วก็ไม่เปลี่ยนแปลงไปอยู่ดี..

……

อีกด้าน พอทสึรุผ่านเข้าไปในหนทางอสนีหายไปจากสายตามัน สีหน้าก็เผยถึงความตกตะลึงลุกขึ้นยืน

“เป็นไปไม่ได้!”

การจะฝ่าหนทางอสนีไปได้นั้น เหมือนกับการต้องทดสอบประสิทธิภาพของคนที่จะครอบครองอาร์ติแฟ็ค

กล่าวง่ายๆ คือเป็นเหมือนบททดสอบสุดหินที่ต้องใช้พลังป้องกันและความอดทนเยอะมากที่สุด ดังนั้นเขาจึงเตรียมของอย่างหนึ่งมาด้วย

เป็นยาที่หักล้างธาตุมืดกับธาตุสายฟ้าได้ แต่ข้อเสียของมันคือเมื่อกินไปแล้วจะไม่สามารถกินได้อีกครั้ง เหมือนกับร่างกายสร้างภูมิต้านทานนั่นแหละ

อันที่จริงยาที่ต้านธาตุสายฟ้ากับธาตุมืดน่ะ มันเป็นพิษนั่นแหละ หากกินแล้วไม่เข้าไปในเขตสีดำก็ตายทันที อารมณ์เหมือนใช้พิษหักล้างพิษ

ซึ่งด้วยเหตุนี้พวกเขามีเวลาสองชั่วโมงก่อนยาจะหมดฤทธิ์ ว่าง่ายๆ คือต้องไปให้ทันไม่ช้าไม่เร็ว.. แทบผลตอบแทนยาแต่ละเม็ดมีคุณค่าแทบซื้อบ้านได้ทั้งหลัง

แม้จะเสียเงินสร้างยาเหล่านี้ไปจนแทบสร้างเมืองได้ แต่บัดนี้กับเห็นหนูเล็ดลอดเข้าไปในบททดสอบที่หนึ่งก่อน นี่ยิ่งทำให้เขาร้อนใจ

หากความพยายามทั้งหมดมาเสียเปล่าละก็… นอกจากจะเสียเงินและก็คงเสียหน้า แถมแผนที่วางไว้ก็พังหมด!

ตอนแรกกะจะใช้นักเรียนเป็นคนผ่านบททดสอบเพื่อถือครองอาร์ติแฟ็คแค่นั้นกรรมสิทธิ์ทุกอย่างจะตกเป็นของโรงเรียนเอเรียสทันที

เขากัดฟันด้วยความโกรธ หากเขาไปทดสอบเองก็มีผลเสียมากมายหากรองผู้อำนวยการเป็นคนแย่งสมบัติกับนักเรียนในชิ้นส่วนเวหาแบบนี้

เสียงทั้งเกียรติ เสียทั้งหน้า.. แต่หากปล่อยไว้ก็เสียทุกอย่าง!

“ใจเย็นๆ ก่อนนะ รองผู้อำนวยการ แค่ผ่านหนทางอสนีไม่ได้แปลว่าจะผ่านบททดสอบบทแรกนะ เพราะบททดสอบนั้นน่ะ.. ต้องต่อสู้กับตัวเอง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงสภาพตอนนั้นของเด็กคนนั้นเลย”

“อืม.. นั่นสินะ”

อาจารย์ไนท์พูดขึ้น และรองผู้อำนวยการหลังจากตอบเขาก็สูดลมหายใจและสงบสติอารมณ์ลงไป ความคิดที่ตีกันในหัวก็เริ่มที่จะหยุดลง แต่ในขณะเดียวกันก็นึกอะไรขึ้นมาได้

“จะว่าไป.. ท่าทางของเด็กนั่นที่แสดงออกมาเป็นตอนที่ข้าเตะศพนั่นนี่น่า.. หรือว่า…?”

เขาพึมพำออกมา ก่อนที่จะหันไปมองร่างเลทิเซีย.. และมุมปากก็กระตุกยกยิ้มขึ้น ราวกับว่าเพื่อผลลัพธ์ที่สมบูรณ์แบบ ต่อให้เป็นเด็กหรือผู้หญิงเขาก็ไม่สน

ทุกอย่างต้องเรียบร้อยเท่านั้น แผนนี้พลาดไม่ได้ พลาดเท่ากับตาย แต่หากไม่พลาดก็จะขึ้นสวรรค์ทันที

“บางที.. อาจจะใช้ประโยชน์ได้.. หึๆ”

อาจารย์ไนท์ที่ได้ยินก็ถอยห่าง.. ในใจกลัวว่าสงครามที่ไม่เคยเกิดขึ้นมานานหลายปีจะบังเกิดขึ้นอีกครั้งเพราะนิสัยแบบนี้ของรองผู้อำนวยการ…

……..

การถือกำเนิดจอมมารผู้เหนือโลกที่สิบสาม

การถือกำเนิดจอมมารผู้เหนือโลกที่สิบสาม

Status: Ongoing
เรน ชายหนุ่มผู้มองโลกในแง่ร้ายสุดแสน ดันเป็นบัคจึงไปเกิดใหม่ในต่างโลกพร้อมพรสามข้อได้ แต่ด้วยพรสามข้อบางอย่างในคำขอทำให้เขาเกิดใหม่เป็นผู้หญิงทั้งยังกลายเป็นจอมมารไม่พอยังถูกแม่ตัวเองทิ้งไว้กลางป่าไปเฉยเลย!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท