บทที่ 112 – แผนการโกง
หลังจากที่หลบหนีออกมาไกลแล้ว แอนนี่ก็ฟื้นขึ้นมา ที่เธอฟื้นก่อนก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะอาการบาดเจ็บของเธอเทียบไม่ถึงหนึ่งในสิบของทสึรุด้วยซ้ำ
“เจ้านี่มันตัวหนักจริงๆ เจ้าอุ้มทสึรุเลย!”
พอแอนนี่ฟื้น เซเลียก็รู้สึกเหมือนพระเจ้าทรงโปรด พอพูดแล้วก็โยนทสึรุให้แอนนี่ แน่นอนว่าสำหรับแอนนี่แล้ว ทสึรุเบาเป็นขนนก
แอนนี่ตื่นมาก็เข้าใจบททดสอบทันที เหมือนเซเลียที่มีเสียงบอกในหัว เธอเองก็เช่นกันและเหมือนจะเข้าใจปัญหายุ่งยากของบททดสอบนี้ดี
ทั้งสองคนกับอีกหนึ่งที่หมดสติจึงพากันรีบหลบออกจากทางเข้าให้ไกลที่สุด ทั้งยังตัดสินใจกันว่า ยิ่งจบเร็วแค่ไหนยิ่งดี
เพราะหากใช้เวลานานขึ้น ศัตรูด้านนอกก็จะยิ่งเข้ามาเยอะขึ้น แม้แต่ตอนนี้บางทีอาจจะมีศัตรูเข้ามาแล้วก็ได้
ดังนั้นต้องรีบจบให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ แอนนี่จึงออกไปล่าอสูรอสนี ให้เซเลียเฝ้าทสึรุที่ไม่ได้สติ
แต่ว่าเหมือนอสูรรัตติกาลจะมีความแปลกพิสดารตรงที่ว่ามันสามารถมองข้ามการหายตัวด้วยอาร์ติแฟ็คไปโดยสิ้นเชิง
แอนนี่จึงได้แต่ต่อสู้กับอสูรรัตติกาล และก็เป็นเช่นนี้ อสูรรัตติกาลแม้ไม่ได้นับว่าเก่งเท่าไหร่ แต่ก็อยู่ในระดับที่เหนือกว่าสัตว์ธรรมดาไปไกลโข
ทั้งหากโจมตีอาจจะโดนผลของพลังธาตุมืดไปอีก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเมื่ออสูรรัตติกาลตายมันจะแตกเป็นกลุ่มควันสีดำ
และดึงดูดอสูรรัตติกาลตนอื่นมา พออสูรตัวอื่นสัมผัสกับกลุ่มควันสีดำก็จะแข็งแกร่งขึ้นอีกเท่าตัวเลย
และทสึรุเองก็ฟื้นขึ้นมาในที่สุด แต่ก็เป็นเวลาเดียวกับที่เด็กจากโรงเรียนเอเรียสแห่กันเข้ามาหลายสิบคนรวดเดียว
แม้โลกนี้จะกว้างใหญ่จนไม่นับว่าเยอะมาก แต่ว่าอสูรอสนีก็ยังถูกล่าและอสูรรัตติกาลก็ต่างพากันโจมตีเหมือนเห็นอาหารอันโอชะ
“พวกเราต้องแยกกันออกไปตามหาแล้วล่ะ”
“อืม..”
เซเลียพูดขึ้นในขณะที่ทสึรุกับแอนนี่พยักหน้า.. ไม่อยากจะบอก.. คือหลายวันที่ผ่านมาพวกเธอเก็บตราอสนีได้แค่สามชิ้นเท่านั้น
ตราอสนีนี้ จริงๆ มันไม่เหมือนตราด้วย มันสลัวๆ มีรูปร่างเป็นเหมือนเหรียญขนาดเท่าฝ่ามือ ประกอบขึ้นจากสายฟ้า
แต่ความสลัวของมันเห็นชัดว่าเป็นตราอสนีที่อ่อนแอที่สุดในตราอสนีทั้งหมด ทสึรุกับแอนนี่เองก็เห็นด้วย แต่ตอนนั้นเองเซเลียก็พูดขึ้น
“อันที่จริงข้ามีวิธีหนึ่ง.. ที่ไม่รู้ว่าจะได้ผลหรือเปล่า?”
“วิธีอะไรเหรอ?”
ทสึรุถามขึ้นมา หลายวันที่ผ่านมาที่ได้ตราอสนีมา ต้องขอบคุณการคาดเดาของเซเลีย ที่พอจะเดาว่าอสูรอสนีอยู่ไหนบ้าง
ตอนนี้ทสึรุจึงเชื่อใจเซเลียมาก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงแอนนี่ที่รู้จักกับเซเลียผู้เจ้าเล่ห์มานานแล้วเลย เธอเชื่อเซเลียหมดใจมานานแล้ว
“จากการวิเคราะห์ของข้า.. บางทีธาตุสายฟ้ากับธาตุมืดนี่อาจจะเป็นธาตุประจำตัวของ อาร์ติแฟ็คที่เราตามหา.. บางทีมันอาจจะเป็นคทาเวทมนตร์หรืออะไรแบบนั้น”
“และตั้งแต่หนทางอสนี หรือด่านหนึ่งแม้กระทั่งด่านสองในตอนนี้ ล้วนมีความเกี่ยวข้องกับธาตุทั้งสอง จะให้พูดก็คือพวกมันเกิดขึ้นจากธาตุทั้งสองของอาร์ติแฟ็คชิ้นนั้นที่เรากำลังต้องการ!”
“แล้ว?”
แอนนี่ดูงงๆ เธอเลยถามออกมา ทสึรุก็ไม่ต่างกันมากนัก ตอนนั้นเองดวงตาเซเลียฉายแววเจ้าเล่ห์ออกมา
“พวกเจ้าอย่าลืมสิ.. อสูรรัตติกาลตอนมันตายก็มีควันสีดำที่กระจายออกมาทำให้ดึงดูดอสูรรัตติกาลตนอื่น.. แล้วอสูรอสนีเวลาตายมีอะไรเด้งออกมาล่ะ..”
“ตราอสนี!!”
“ใช่! บางทีเพราะสายฟ้าถูกรวบรวมให้เป็นตราอสนี เลยทำให้มันไม่มีผลดึงดูดต่ออสูรอสนีเหมือนตอนอสูรรัตติกาล.. แต่ถ้าเรากระตุ้นให้มันกลายเป็นกลุ่มก้อนสายฟ้าละก็ …”
นี่คือวิธีโกง! ใช้ตราอสนีให้กลายเป็นหมอกสายฟ้าดึงดูดอสูรอสนีตัวอื่นมาเชือด! อันที่จริงทุกอย่างก็เป็นตามที่เซเลียเดา
อสูรรัตติกาลเกิดมาจากธาตุมืด ในขณะที่อสูรอสนีเกิดมาจากธาตุสายฟ้า หากว่ากันตามตรงสองสิ่งนี้ไม่ใช่สิ่งมีชีวิต
แต่เป็นธาตุที่ควบแน่นจนกลายเป็นมีรูปร่าง และด้วยความพิเศษบางอย่างของธาตุทำให้มันมีความบ้าคลั่งและไล่ฆ่ามนุษย์ที่เข้ามาทดสอบ
นี่เป็นเหตุผลที่ไม่ว่าจะเป็นการลบตัวตนหรือซ่อนตัว ถึงไม่มีผล เพราะพวกมันไม่มีตาไม่มีร่างกายแต่แรกอยู่แล้ว มันเป็นแค่พลังธาตุ
และเหตุผลที่เมื่ออสูรรัตติกาลตายกลายเป็นควันแล้ว มันดึงดูดอสูรรัตติกาลตนอื่น เป็นเพราะว่าความกระหายต่อธาตุมืด
อสูรที่เกิดจากธาตุมืด ย่อมต้องการพลังงานธาตุมืดอยู่แล้ว พอได้รับพลังงานธาตุมืดมันก็แข็งแกร่งขึ้น!
ในขณะที่อสูรอสนีพอตายกลับไม่กลายเป็นกลุ่มก้อนสายฟ้า แต่ถูกควบแน่นเป็นตรา สามารถจับได้ด้วยมือเปล่าโดยไร้ผลกระทบ
เหมือนกับว่านี่ไม่ใช่ธาตุสายฟ้า.. แต่เป็นตราที่มีพลังสายฟ้าอยู่ข้างในเท่านั้น!
แต่เซเลียไม่มั่นใจว่าถ้าเป็นสายฟ้าที่ไม่ได้เกิดจากอาร์ติแฟ็คที่สร้างอสูรอสนีขึ้นมาจะได้ผลไหม เพราะมีต้นกำเนิดสายฟ้าคนละที่
แต่ตราสายฟ้าสามารถล่ออสูรอสนีได้แน่ๆ ถ้าทำให้ตราอสนีแตกออกได้ เธอเชื่อว่าทำได้มากกว่าเก้าส่วน!
พออธิบายแนวคิดตัวเอง แอนนี่กับทสึรุก็เห็นด้วย โดยเฉพาะทสึรุยิ่งเร่งรีบอยู่แล้ว จะให้วิ่งหาไปทั่วแบบนี้ละก็เสียเวลามากแน่ๆ
“แต่ว่า.. ถ้าตราสายฟ้าแตกเราจะทำให้มันกลับมาเป็นตราได้เหรอ.. เพราะอสูรอสนีในโลกนี้มีร้อยตัวพอดี ถ้าหายอันหนึ่งก็ไม่มีทางสำเร็จเลยนะ..”
ทสึรุถามออกมาอย่างสงสัย เซเลียเองก็คิดถึงแง่นั้นไว้แล้วเธอจึงตอบออกไปทันทีว่า
“ข้าคิดว่าที่ใช้เปิดประตูน่ะ.. ไม่ใช่ตราหรอก..แต่เป็นพลังสายฟ้าด้านในนั้นต่างหาก!! พูดก็คือแค่เรารักษาสายฟ้านั้นไว้ได้ก็น่าจะสามารถผ่านได้ อีกอย่างเราไม่มีเวลาแล้ว ไม่งั้นพวกเราจะตายกันหมด!”
เซเลียพูดอย่างมีเหตุผล ทั้งสามจึงมองหน้ากันและกันก่อนจะพยักหน้า ก่อนที่จะวางแผนกันว่าจะไปทำที่ไหน
พอตัดสินใจได้จึงออกเดินทางทันที พื้นที่แห่งนี้กว้างใหญ่ไพศาลอย่างแท้จริง ต่อให้มีคนนับร้อยค้นหา การจะหาให้ทั่วโลกนี้ก็ยังเป็นไปได้ยากมาก
ดังนั้นการจะไปหลบที่ไหนสักแห่งแล้วใช้สายฟ้าล่ออสูรอสนีมาเชือดก็คงทำได้.. ในขณะที่ทั้งสามกำลังจะออกเดินทางจู่ๆ เซเลียก็นึกอะไรขึ้นได้
“จริงสิ ทสึรุ”
“มีอะไรงั้นเหรอ?”
“นี่ อาวุธ.. เธอใช้ทวนเป็นอาวุธใช่ไหมล่ะ แถมตอนนี้ยังไม่มีอาวุธด้วย”
เซเลียหยิบทวนเล่มหนึ่งออกมาให้ ทวนเล่มนี้มีสีฟ้าเหมือนสร้างจากน้ำทะเลยังไงยังงั้น เซเลียอธิบาย
“นี่คืออาร์ติแฟ็คที่ข้าพึ่งได้มา รู้สึกว่าจะเป็นอาวุธที่ทำเลียนแบบหอกวารีอะไรสักอย่างนี่แหละมั้ง เจ้าเอาไปใช้สิ”
“เอ๋.. แต่ว่า?”
“ไม่เป็นไรหรอกน่า เดี๋ยวหาว่าผู้เป็นราชินีอย่างข้าขี้งกอีก ..อืม..ข้ายังไม่ได้เป็นนี่น่า แต่นั่นว่าที่ก็ได้ว่าที่น่ะ”
ทสึรุเหมือนลังเล แต่เซเลียก็ยัดเหยียดสุดๆ จนสุดท้ายทสึรุก็รับมา เธอถือทวนเล่มนั้นไว้ในมือเป็นอาวุธที่ทสึรุรู้สึกเหมือนว่าสามารถสื่อสารกับมันได้เลยทีเดียว
“ก็ได้.. ข้าจะเอาคืนให้เจ้าอย่างแน่นอน!”
ทั้งสามก็ออกเดินทางทันที…
ในเวลาเดียวกันนั้น ทางเข้าด่านสองพลันส่องประกาย ร่างของรองผู้อำนวยการปรากฏขึ้นพร้อมกับศาสตราจารย์ไนท์
อันที่จริงเขาไม่ต้องการจะมาช่วงชิงของสิ่งนั้น เพราะเขารู้ว่าของสิ่งนั้นมีความพิเศษ แม้จะผ่านบททดสอบ แต่ก็ใช่ว่าจะครอบครองมันได้
เพราะคนที่เลือกผู้ครอบครองเป็นมัน ไม่ใช่คนที่ทดสอบ! แม้จะฟังดูเห็นแก่ตัว แต่ก็เป็นเพราะคุณภาพของมันล้วนแข็งแกร่งมาก
อีกอย่างบททดสอบที่สาม.. เขาก็ไม่รู้ว่าเป็นแบบไหน สำหรับหนทางอสนีกับบทแรก พวกเขาสามารถโกงได้ด้วยการใช้ของวิเศษบางอย่าง
บทแรกแค่ทำให้ร่างเราอีกคนสลายด้วยการสลายพลังเวทเท่านั้น แต่บทนี้ต้องตามหาอสูรอสนี ซึ่งกว้างมาก จะโกงก็ยาก
อีกทั้งบทที่สามก็ยังไม่รู้ว่าเป็นแบบไหน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงตอนนี้ที่มีเด็กจากโรงเรียนอื่นด้วย แม้จะเป็นเด็กเขาก็ไม่วางใจ
จึงคิดจะลงมากำจัดเด็กจากโรงเรียนไลเบอร์นั่นเงียบๆ อันที่จริงเขาพอจะรู้รูปแบบการทดสอบที่สองมาบ้าง
และตอนแรกกะว่าจะให้นักเรียนค่อยๆ เข้ามาทีละคนและผ่านทีละคน ยังไงเวลาก็มีเหลือเฟือ
แต่พอมีเด็กจากโรงเรียนอื่นข้าไปก่อน.. ต้องใช้คนจำนวนมากเข้าสู้ ด้วยความคิดเช่นนี้นักเรียนร้อยกว่าคนจึงถูกส่งเข้ามา
…แต่ก็ยังไม่มีทีท่าว่าเด็กจากโรงเรียนไลเบอร์นั่นจะถูกส่งออกมา.. หลังจากผ่านมาหลายวัน จนในที่สุดเขาต้องลงมาเอง!
ก่อนหน้านี้ แม้เขาจะระวังแต่ก็ไม่ได้กังวลอะไรมาก แต่ตอนนี้เด็กคนหนึ่งกำลังทำให้เขาร้อนรนขึ้นมาบ้างแล้ว!
“ในเมื่อเป็นแบบนี้….”
สายตาเขาหันไปมองร่างของคนคนหนึ่งที่หิ้วอยู่ในมือขวา นึกถึงความร้อนรนจนแทบบ้าคลั่งนั่นของทสึรุนั่น
“น่าจะได้ผลนะ”
คนคนนี้ที่อยู่ในมือเขาคือเลทิเซีย!
รอบร่างเลทิเซียมีม่านพลังบางๆ อยู่.. แต่ถ้าม่านพลังนี้แตก พนันได้เลยว่าเลทิเซียต้องถูกสายฟ้าฟาดใส่จนสลายเป็นธุลีแน่นอน
เพราะสภาพเธอตอนนี้แทบไม่ต่างจากก้อนหินก้อนที่สลายไปตอนนั้น เธอไม่ใช่สิ่งมีชีวิต! เข้ามาในบททดสอบไม่ได้เด็ดขาด!
………..