บทที่ 123 – ผู้เรียกขาน
ย้อนกลับไปเมื่อนานแสนนานมาแล้ว ไม่ทราบว่าเป็นที่ไหนหรือโลกแห่งใดแต่เป็นโลกที่ยังไม่มีวิทยาการล้ำค่าหรือเวทมนตร์สุดแกร่งอะไรทั้งสิ้น
ในโลกนั้นมีเพียงอาวุธที่เรียกว่าดาบกับธนูและโล่ ภายใต้สถานการณ์ที่ผู้คนกำลังแย่งชิงแผ่นดินเพื่อการปกครองและสร้างสรรค์ประเทศขึ้นมา ได้เกิดสงครามขึ้น
สงครามนี้แรกเริ่มเดิมทีอาจจะเป็นแค่การต่อสู้เล็กๆ น้อยๆ ของประเทศสองประเทศ แต่ภายใต้สถานการณ์แย่งชิงผลประโยชน์
ย่อมมีผู้โลภมากเป็นพิเศษ ฉวยโอกาสเพื่อสร้างหนทางให้ตัวเองแอบหุบแผ่นดินประเทศทั้งสองที่ต่อยตีกัน
ทำให้ประเทศทั้งสองเดือดดาลก่อสงครามขึ้นและภายใต้สงครามระหว่างประเทศก็กลายเป็นสงครามระดับโลกไปในระยะเวลาไม่กี่ปี
และผู้คนมักจะเชื่อว่าสงครามเป็นล่อกำเนิดแห่งความเคียดแค้นและเกลียดชัง แน่นอนว่ามันเป็นความจริง
เพราะทุกครั้งที่เกิดสงครามขึ้นที่ชายแดนประเทศ ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายไหนฝ่ายใดก็สูญเสีย พวกเขาต่างก็มีภาระที่ต้องแบกกลับต้องมาตายในสงครามที่ไร้สาระ
แต่อีกเรื่องก็ไม่สามารถปฏิเสธได้เช่นกันว่า. สงครามเป็นบ่อเกิดการพัฒนาและวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต
เมื่อตกอยู่ในสถานการณ์ตกเป็นรอง พวกเขาดิ้นรนหาหนทางบางอย่างเพื่อใช้ในการต่อสู้.. นั่นคือพาหนะที่โจมตีอย่างรวดเร็ว
และนั่นคือครั้งแรกที่พวกเขาเริ่มขี่บนสัตว์ แน่นอนว่าในยุคนั้นปัญญาที่จะสร้างยานพาหนะขับขี่คงเป็นไปไม่ได้นอกจากสัตว์ที่สามารถขี่ได้
ซึ่งมันคือม้า…
และภายใต้การต่อสู้ก็พบว่าแม้ม้าจะเป็นปัจจัยหลักในการโจมตีศัตรูจากที่สูงกว่า พวกเขาพบว่าอาวุธอย่างดาบน่ะไม่เหมาะสมในการสู้บนหลังม้า
ใช่.. นั่นจึงเป็นครั้งแรกที่มีสิ่งที่เรียกว่า ‘หอก’ ปรากฏขึ้น หอกเป็นอาวุธที่ไม่เหมาะสมในการสู้ระยะประชิด
เนื่องจากระยะมันกว้างเกินไปก็จริง ซึ่งหากเทียบกับดาบที่หากหลบการแทงของหอกเข้ามาในระยะประชิดได้ก็เป็นอันว่าหอกได้แพ้ไปแล้ว
แต่ทว่าเมื่ออยู่บนหลังม้า หอกก็กลายเป็นเหมือนลูกธนูมีชีวิตที่พุ่งทะลวงได้ทุกอย่าง หอกเป็นอาวุธระยะกลาง
หอกวิวัฒนาการขึ้นมาเรื่อยๆ จากหอกยาวกว่าสองเมตรขนาดเรียวบางก็ค่อยๆ ย่อขนาดลงเรื่อยๆ เพื่อใช้งานง่ายทุกสถานการณ์
จนกระทั่งมีคนสร้างหอกทะลวงเล่มหนึ่งขึ้นมา ปลายหอกมีขนาดใหญ่หน้า ตัวหอกก็ไม่เล็กไม่ใหญ่พอดี ปลายแหลมเหมาะแก่การพุ่งทะลวงอย่างถึงที่สุด
นั่นกลายเป็นราชาแห่งหอกไปโดยปริยาย เพียงแต่ว่าสุดท้ายแล้วหอกก็ยังมีแค่ความสามารถในการทะลุทะลวง
ตอบสนองผู้คนได้ไม่มากเท่าไหร่นัก.. ผู้คนเริ่มจะตีตัวห่างจากหอกและกลับมาสู้รบด้วยดาบ แต่ในตอนนั้นเองก็มีคนบ้าคนหนึ่งออกแบบหอกที่สามารถฟันได้..
หรือผู้คนเรียกมันว่า ทวน! ทวนคืออาวุธที่วิวัฒนาการมาจากหอกอย่างแท้จริง สามารถแทงและฟันในระยะกลางได้ สู้บนพื้นหรือหลังม้าก็ได้ทั้งสิ้น
แถมด้วยระยะที่มากกว่าดาบ.. ทำให้ทุกอย่างแปรเปลี่ยนแม้แต่กระแสสงคราม หรือว่าง่ายๆ คือหอกคือต้นกำเนิดของอาวุธระยะกลางแทบทุกอย่าง!
ดังนั้นหากว่ากันในบางกรณีแล้วทวน ง้าว หรืออะไรก็ตามแต่ ทุกอย่างล้วนเป็นหอกได้ทั้งสิ้น ไม่สิ..
ถ้าจะให้พูดก็คือ หากหอกเป็นสตรี ทวนและง้าวก็คงเป็นลูกสาวและลูกชาย โดยมีดาบเป็นสามีนั่นเอง
แม้ไม่อาจกล่าวได้ว่าวิชาของหอกสามารถใช้ได้กับทวนหรือง้าวได้ แต่วิชาทวนกับง้าวนั้นสามารถใช้กับหอกได้อย่างแน่นอน
แน่นอนว่าที่สามารถใช้ได้คือต้องเป็นหอกที่ถูกนับว่าเป็นราชาแห่งหอก ซึ่งพึ่งกล่าวถึงไปเมื่อครู่นี้เท่านั้น
ตัดกลับมาที่ปัจจุบันเมื่อเลทิเซียตกอยู่ในวิกฤตอันตรายเพราะเมื่อเธอหันหน้ากลับไป
เลทิเซียก็มองเห็นสึนามิก็พุ่งมากำลังจะเขมือบกินร่างเลทิเซียแล้ว มันเร็วมากจริงๆ เลทิเซียแทบจะหลบไม่ได้ ดวงตาของทสึรุเปลี่ยนสี…
วิกฤตความเป็นตายของเลทิเซียนั้น.. นี่ไม่ใช่ครั้งแรก… และทสึรุก็ช่วยไม่ได้ แต่ครั้งนี้ทสึรุจะไม่มีทางยอมโดยเด็ดขาด
“เลทิเซีย!!”
เธอร้องคำรามเท้าก้าวออกไป.. ร่างพุ่งดิ่งกลายเป็นกระสุนมนุษย์ราวกับหอกทะลวง แขนยกขึ้นอย่างรวดเร็ว..
“วิชาทวนผันฟ้า…”
ใช้ร่างกายตัวเองเป็นทวนโดยตรง.. แถมยังใช้ออกด้วยวิชาทวนผันฟ้า นี่พิสูจน์ให้เห็นว่าความบ้าระห่ำของเลทิเซียมันทะลุขีดจำกัดไปแล้ว..
ทั้งความโกรธ ความเดือดดาล ความคาดหวัง ทุกอย่างพุ่งไปที่วิชาทวนผันฟ้าทั้งหมด.. ราวกับว่าโลกทั้งใบมีเพียงสิ่งนี้เท่านั้นที่จะช่วยเธอได้จากสถานการณ์นี้
ทั้งโกรธทั้งคาดหวัง ความรู้สึกมากมายระเบิดออกมา ทุ่มพลังทั้งหมดไปที่การโจมตีครั้งนี้ แม้ตัวเองอาจจะถูกลบออกไปเช่นกันก็ตาม…
และภายใต้เสียงคำรามของทสึรุ ในโลกด้านนอกใต้โรงเรียนลิเบอร์ ที่แห่งนี้เป็นใต้ดินของโรงเรียน
มันมีห้องขนาดใหญ่อยู่ ห้องนี้บางทีมีไม่กี่คนทราบในห้องมีเสาสีดำขนาดไม่ใหญ่มากสี่เสาตั้งเป็นกรอบสี่เหลี่ยม
บนเสามีลวดลายแปลกประหลาด ที่ต่อให้เลทิเซียหรือเลวิเนียที่เชี่ยวชาญเวทมนตร์มากๆ มาดูก็ยังต้องไม่เข้าใจเลยสักนิดอย่างแน่นอน
นอกจากนี้บนพื้นยังมีอักษรและวงแหวนมากมายสลักอยู่บนพื้น แม้ลวดลายนี้จะเหมือนไม่ส่งผลใดๆ ต่อโลกแห่งวัตถุแห่งนี้
แต่ใครมองก็ล้วนรู้ว่ามันคงไม่ธรรมดาแน่ๆ แต่เพราะไม่มีใครมองออกว่ามันคืออะไรเท่านั้น
และตรงกลางวงแหวนและเสาทั้งสี่มีเสาบางอย่างโผล่ออกมาประมาณครึ่งเมตร แต่หัวมันเหมือนจะปักลงบนพื้นเลยดูไม่ออกว่าเสานี้คืออะไร
เสานี้ไม่เหมือนเสาทั้งสี่ เพราะถ้าจะให้พูดจริงๆ มันคือแท่งบางอย่างสีฟ้า ขนาดกำพอดีมือ สีฟ้าของมันดูแปลกตาอย่างมากเหมือนกับว่ากำเนิดขึ้นมาจากท้องทะเล
และภาพที่คล้ายกันนี้ไม่ได้มีแค่แห่งเดียวแต่มีถึงสองแห่งด้วยกัน เพียงแต่ว่าใจกลางของวงแหวนและเสาทั้งสี่นั้นกลับไม่ได้มีแท่งเสาสีฟ้า
เพราะตรงกลางมันมีแท่งเหล็กหนึ่งแท่ง ขนาดมันไม่ใหญ่มาก และไม่เล็กจนมองไม่เห็น ขนาดมันเล็กพอกับที่เด็กผู้หญิงจะยกได้สบายๆ
ภายในแท่งเหล็กนี้มีพลังเวทอยู่มากพอสมควร ดูแล้วอาจจะเป็นวัตถุเวทที่ใช้สร้างอาร์ติแฟ็ค
ถ้าเลทิเซียอยู่นี่ด้วยจะจำได้ทันทีว่านี่คือแท่งเหล็กที่ตัวเองเคยโดนมาเฟียแห่งโลกแฟนตาซีแย่งไป และภายใต้การสั่นสะเทือนของแท่งเสาสีฟ้า
วงแหวนทั้งสองก็เปล่งแสงประกายเจิดจ้า และในตอนนั้นเองแท่งเหล็กลึกลับนั่นก็สาดประกายแสงแพรวพราวเจิดจ้าก่อนจะโอบล้อมแท่งเสาสีฟ้า
ทำให้มันสั่นสะเทือนอย่างบ้าคลั่งและส่งผลให้ด้านนอกสั่นรุนแรงกว่าเดิม ราวกับว่ามันกำลังเจ็บปวดและตื่นเต้นในเวลาเดียวกัน
การสั่นสะเทือนขีดสุดนี้ดำเนินอยู่ไม่นานนักเพราะพริบตานั้นเองแท่งเหล็กลึกลับก็พลันแตกทลายลงฉับพลัน และแท่งเสาแสงสีฟ้าก็เปล่งแสงวาบ
ส่งผลให้แต่แรกเดิมทีแท่งเสาสีฟ้าที่เหมือนกับสร้างขึ้นจากทะเลนี้ก็มืดมัวลง กลายเป็นแท่งเสาสีฟ้าธรรมดา แต่ในชั่วพริบตาต่อมา
มันก็หายวับไปจากห้องแห่งนี้ส่งผลให้สิ่งก่อสร้างในที่แห่งนี้พังถล่มลงทันที … ในห้องของผู้อำนวยการมีผู้อำนวยการนั่งอยู่
พริบตาต่อมาเธอก็กระอักเลือด อาบไปทั่วโต๊ะเอกสารที่วางอยู่ดวงตาแดงก่ำขึ้นมาจนน่ากลัว เส้นเลือดปูดขึ้นมาบนหน้าผาก
และแทบจะวินาทีนั้นเองร่างกายฉีกกระจายเป็นชิ้นๆ แต่ในตอนนั้นเองดวงวิญญาณหม่นมัวที่ไม่มีใครมองเห็นก็ปรากฏขึ้นมา
และแทบจะวินาทีเดียวกัน ผมสีทองของเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่จู่ๆ ก็ปรากฏขึ้นก็สยายออก มือของเธอกำใส่แสงหม่นมัวนั่นและโอบกอดเข้ามาในอกอย่างอ่อนโยน
“ในที่สุด…. ฉันคิดถึงเธอมากเลยนะรู้ไหม…”
ชั่วขณะที่เสียงพึมพำดังขึ้น น้ำใสก็หยดลงมาจากใบหน้าของเธอ…. พอน้ำใสหยดลงบนแสงหม่นมัวนั้น ราวกับน้ำใสนั้นเต็มไปด้วยพลังมากมายไร้จุดสิ้นสุด
ร่างของผู้อำนวยการฟื้นฟูขึ้นมาทันที..
……..
ตัดกลับมาที่เลทิเซียและทสึรุ
ในขณะที่ทสึรุพุ่งเข้าใส่นั่นเอง เสียงหวีดหวิวก็ดังมาจากไหนไม่รู้ในช่วงระยะที่เหมือนกับเวลาหยุดเดินนั้น ก่อนที่ร่างกายของเลทิเซียหรือทสึรุจะโดนกับสึนามิ
เส้นแสงสีฟ้าที่มาพร้อมกับเสียงแหวกอากาศจากทางไหนไม่รู้ ก็พุ่งทะลวงใส่สึนามิจนเกิดเสียงสนั่นฟ้า ส่งผลให้ท้องฟ้าแตกร้าวมากกว่าเดิมหลายเท่า
ราวกับว่าแสงนี้ตอบรับการคาดหวังของทสึรุ! ราวกับเธอเป็นคนเรียกขานมัน!