การถือกำเนิดจอมมารผู้เหนือโลกที่สิบสาม – ตอนที่ 131

การถือกำเนิดจอมมารผู้เหนือโลกที่สิบสาม

บทที่ 131 – ผลกระทบ

หลังจากเหตุการณ์ในครั้งนั้นได้ทำให้ผู้คนต่างพากันให้ความสนใจ นี่ไม่ใช่เรื่องแค่ระดับประเทศหรือดินแดน แต่เป็นระดับทวีป!

ทุกคนต่างพากันแพร่ข่าวที่ไม่ซ้ำเรื่องราวไปทั่ว จึงยากจะแยกแยะออกระหว่างอันไหนจริงและอันไหนปลอม

แต่ก็อย่างที่ทุกคนรู้วันที่มีสิ่งมีชีวิตลึกลับปรากฏขึ้นกลางท้องฟ้านั้น มีแสงมากมายที่ร่วงดิ่งลงไปยังโรงเรียนเวทมนตร์ทั้งห้า

ไม่มีใครบอกก็ต้องรู้ว่า นี่เกี่ยวข้องกับโรงเรียนทั้งห้า ข่าวนี้จึงแพร่สะพัดไปเหมือนติดจรวด นอกจากนี้ยังมีคนกล่าวถึงสิ่งมีชีวิตอีกหนึ่งที่สู้กับตัวตนลึกลับนั้น

บางทีสิ่งมีชีวิตที่สู้กับเจ้านั่นอาจจะเป็นคนจากทวีปนี้นั่นแหละ โดยใช้วิธีการมากมายแม้จะมีคนพยายามปกปิด แต่ทว่าจะปิดให้หมดก็ไม่มีทางทำได้

ผู้คนเริ่มรู้ว่าสิ่งมีชีวิตนั่นมาจากโลกชิ้นส่วนเวหาในตำนาน แม้ผู้คนส่วนใหญ่อาจจะไม่รู้จักแต่พอมีการกล่าวถึงข้อมูลมากมายก็ถูกค้นคว้าออกมา

จนกระทั่งบัดนี้โลกได้เปลี่ยนไป และบุคคลลึกลับที่ผู้คนต่างให้ความสนใจมากที่สุดคือคนที่กำจัดสิ่งมีชีวิตลึกลับนั่น

บ้างก็คิดว่าเป็นจอมมาร บ้างก็คิดว่าเป็นผู้กล้า หรือแม้แต่คนทำเป็นผู้อำนวยการก็ยังคาดว่าน่าจะมีคนคิดแบบนั้น

แต่ไม่ว่าจะอย่างไหนก็เป็นเพียงแค่ข้อเท็จจริงเท่านั้น อีกทั้งคนในโลกตอนนี้ มีไม่กี่คนที่รู้จักพลังของสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า ‘จอมมารและผู้กล้า’

จึงไม่แปลกเลยที่พวกเขาเหล่านั้นจะไม่รู้ว่าแรงกดดันในวันนั้นคืออะไรกันแน่? นอกซะจากพวกผู้กล้าและจอมมารซะจริง

ผู้กล้าก็เข้าใจว่านี่เป็นฝีมือของจอมมาร แต่ทว่าสำหรับจอมมารทั้งสิบสองในแดนปีศาจนั้นต่างพากันนั่งไม่ติดพื้น…

ในห้องประชุมมีโต๊ะยาวที่ค่อนข้างหรู ปลายโต๊ะมีชายสวมชุดคลุมสีดำนั่งอยู่เงียบๆ ด้านข้างมีปีศาจตนหนึ่งนั่งคุกเข่าหนึ่งข้างให้อยู่

“ไปตรวจสอบมาแล้วหรือยัง?!”

ชายคนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้เท้าค้างด้วยมือสองค้างบนโต๊ะ น้ำเสียงเหมือนจะเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังเวทที่น่าขยะแขยงและน่าหวาดกลัว

“ไปตรวจมาแล้วครับ.. เพียงแต่ว่า…”

“แต่ว่าอะไร?”

“เราไม่เจอข้อมูลอะไรเลย นอกจากเรื่องที่ว่าชิ้นส่วนเวหาถูกทำลายทำให้สิ่งมีชีวิตนั่นหลุดออกมา..”

“งั้นเหรอ…”

ชายคนนั้นขมวดคิ้วครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนที่จะหันไปถามขึ้นด้วยน้ำเสียงดังเดิม แต่เพราะสายตาที่จ้องไปเลยทำให้ปีศาจที่คุกเข่าอยู่ถึงกับตัวสั่น

“แต่จากที่ข้าฟังมา คนที่เข้าไปในชิ้นส่วนเวหามีไม่กี่คนเท่านั้น”

“ถูกแล้วครับ นอกจากนี้คนในโลกนั้นเหมือนจะมีมาตรฐานเวทมนตร์ที่ต่ำกว่าของเรา และโครงสร้างที่แตกต่างออกไป.. แต่ที่เห็นวันนั้นมัน..”

“ใช่.. มันคือมาตรฐานเวทมนตร์ของโลกนี้และข้าเองก็รู้ดี…ว่ามันคือ.. ร่างมาร แต่ว่าใครจะใช้ได้กันล่ะ?”

“มีข่าวลือว่าจอมมารลำดับที่เก้า กำลังทดลองร่างกายตัวเองอาจจะไปเจอกับการปลดพันธสัญญาได้บังเอิญ?”

ปีศาจที่นั่งอยู่วิเคราะห์อย่างชาญฉลาด เห็นแบบนี้เขาก็เป็นหน่วยข่าวกรองที่ขึ้นชื่อที่สุดในดินแดนแห่งนี้ และมีสติปัญญาที่ค่อนข้างสูงเลิศ

และก็ดูเหมือนว่าชายที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ตรงหน้าก็เหมือนจะเจ้าเล่ห์ไม่แพ้กัน พอได้ยินคำพูดของอีกฝ่ายเขาก็เริ่มพูดขึ้นบ้าง

“เป็นไม่ได้.. หากพลังถูกปลดออกแล้วมันไม่น่าจะซุกซ่อนกลับไปได้ และหากเป็นแบบนั้นจริงด้านบนก็ต้องมีอะไรเปลี่ยนแปลงบ้าง แต่ทว่าครั้งนี้กลับเป็นการจู่ๆ ก็เกิดขึ้นและหายไปอย่างไร้ร่องรอย..”

“อย่าบอกนะว่า.. ที่ท่านจอมมารคิดคือ…”

“ถึงจะไม่รู้ว่ามันเป็นใครมาจากไหน แต่ต้องเกี่ยวข้องกับเด็กนักเรียนในโรงเรียนทั้งห้านั่นแน่ๆ! ไปตรวจสอบมาให้เรียบร้อย!”

“รับทราบ”

ว่าแล้วเงาสีดำก็พุ่งขึ้นมาจากใต้พื้นที่ปีศาจหน่วยข่าวกรองคนนั้น ก่อนที่จะค่อยๆ มุดลงไปใต้เงาแล้วก็หายไปจากห้องแห่งนี้อย่างเงียบงันและไร้ร่องรอย

คนที่ถูกเรียกว่าจอมมารค่อยๆ เงยหน้าขึ้นแล้วก็เงียบไปพักหนึ่งก่อนที่จะพูดขึ้นอย่างเงียบๆ

“หากนั่นคือร่างมารจริงๆ .. มันอาจจะมีประโยชน์กับข้าที่จะ.. ทำลายพันธสัญญาไร้สาระพวกนี้…”

ในขณะเดียวกันบนดินแดนอีกดินแดนที่อยู่คนละฟากแผ่นดินมีชายคนหนึ่งนั่งอยู่บนบัลลังก์ในห้องโถงพระราชา

เขามองต่ำลงไปยังเบื้องล่างที่มีคนคุกเข่าให้อยู่ คนที่คุกเข่าให้อยู่เปิดปากรายงานข่าวไม่หยุด

“จากองค์ราชาให้ไปตรวจสอบดูเหมือนว่าจะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงมากนัก”

“แล้วไอ้พลังน่าสะอิดสะเอียนของวันนั้นมันอะไร?”

แน่นอนไม่มีคำตอบสำหรับเรื่องนี้ ชายที่เคยรายงานข่าวด้วยความลื่นไหลก็ไม่สามารถตอบคำถามได้

ราชาที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ก็ขมวดคิ้วเป็นปม มองออกไปยังทิศทางตรงที่ตั้งของดินแดนปีศาจแล้วก็ตัดสินใจพูดขึ้น

“ไปสืบหาต่อไป อาจจะมีใครในพวกมันคิดหวังจะทำอะไรอยู่จริงๆ หึ เป็นแค่ปีศาจชั้นต่ำครึ่งมนุษย์ครึ่งมอนสเตอร์แท้ๆ”

“รับทราบ”

“แล้วก็…”

จู่ๆ ดวงตาของราชาของก็หันกลับไปมองชายที่นั่งก้มหัวให้ แล้วก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ไม่ปกติว่า

“แล้วขุนนางเอเลซิส.. มันยอมจำนนมอบ ‘สิ่งนั้น’ ให้หรือยัง?”

“พวกมันยังไม่ยอมเลยครับ”

“การดิ้นรนที่เปล่าประโยชน์ … ดำเนินตามแผนต่อไป!”

“รับทราบ”

พูดเสร็จชายคนนั้นก็ค่อยๆ น้อมรับบัญชาและค่อยๆ ถอยออกไปจากห้องโถงพระราชาอย่างรวดเร็วและนอบน้อม

พระราชานั่งอยู่บนบัลลังก์ด้วยสีหน้าเบื่อหน่าย แต่ในตอนนั้นเองก็มีหญิงสาวคนหนึ่งเดินออกมาจากด้านหลังบัลลังก์มีคราบสีแดงติดอยู่บนใบหน้า

“ท่านพี่คะ นี่มันไม่สนุกแล้วอ่ะ หนูขอคนใหม่ได้หรือเปล่า?”

“อีกแล้วเหรอ เจ้าก็เบื่อแบบนี้ทุกวันไม่ใช่หรือไง?”

“ก็คนแก่มัน…”

“ก็ได้ๆ งั้นเดี๋ยวพี่จะหาคนพิเศษมาให้เจ้าเลยแล้วกัน นี่ก็เพื่อพวกเรานี่นะ”

“ใช่แล้ว~ ข้ารักท่านพี่ที่สุดเลย”

หญิงสาวคนนั้นกระโดดกอดคนที่เหมือนจะเป็นราชาอย่างสนิทสนม บางทีอาจจะเป็นพี่น้องแท้ๆ ของกันและกันและมีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้น

ชายคนนั้นเองก็ยิ้มอ่อนโยนให้น้องสาว เหมือนกับว่าเธอคือสมบัติล้ำค่าที่ไม่อาจจะมีอะไรมาเทียบเคียงได้

อันที่จริงสายตาแบบนี้มันคลับคล้ายคับคาว่าจะเคยเห็นมาก่อนหน้านี้แล้ว..

และห่างไกลออกไปในดินแดนแห่งป่าพงไพรที่อยู่ลึกเข้าไปสุดขีด เป็นดินแดนที่มีต้นไม้สูงเป็นสิบๆ เมตรลำต้นขนาดใหญ่จนพอเข้าไปสร้างบ้านในโพรงได้

บนต้นไม้ขนาดใหญ่ต้นหนึ่งที่สูงเสียดฟ้าขึ้นไปนั้น บนยอดไม้ที่มีเหนือหัวแค่ใบไม้ของต้นที่เขียวขจี มีโต๊ะไม้ที่ประดับประดาและสลักด้วยลวดลายสายลมที่พลิ้วไหว

มองดูแล้วเหมือนมีชีวิตอยู่จริงๆ รอบด้านมีเก้าอี้ที่ล้อมรอบโต๊ะอยู่ราวสิบตำแหน่งเห็นจะได้

และนอกเหนือจากนั้นยังมีเก้าอี้ไม้แกะสลักที่ตั้งอยู่สูงเหนือโต๊ะกลม มองดูแล้วเหมือนบัลลังก์ แต่ตอนนี้ไม่มีใครนั่งอยู่

ที่นั่งอยู่รอบโต๊ะกลมก็ยังมีแค่เจ็ดคนเท่านั้นเอง ประกอบไปด้วยชายแก่ผมสีขาวโพลนหนวดเครายาวผิดหูผิดตา และมีลักษณะหูที่แหลมออกมา

และเผ่ากึ่งมนุษย์อีกเจ็ดคน ชายชราคนนี้เหมือนจะมีอายุเยอะที่สุดเลยกลายเป็นเหมือนตัวแทนของสภา

“พวกปีศาจเริ่มเคลื่อนไหวแล้ว มนุษย์เองก็คงเหมือนกัน.. ต่อให้มีสัตย์แห่งท่านผู้นั้นอยู่.. พวกมนุษย์ก็คงทำลายมันไปเหมือนกัน”

ชายเอล์ฟแก่คนนั้นพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น ด้วยความที่เป็นคนที่มีอายุมากที่สุด นั่นหมายความว่าเขามีประสบการณ์มากที่สุดเช่นกัน

แถมทั้งหกคนที่เหลือก็ไม่แย้งคำพูดของเอล์ฟแก่คนนั้นเลย เขาจึงพูดขึ้นต่ออย่างเย็นเฉียบ.. พอคำพูดนี้ดังขึ้นไม่ว่าใครก็ต้องตัวสั่น

อันที่จริงราวกับว่าทุกคนพยายามจะปฏิเสธ แต่ก็เคารพและหวาดกลัวในเวลาเดียวกัน หากเปรียบว่าจอมมารคือจุดศูนย์รวมความชั่วร้ายสำหรับมนุษย์

คำพูดที่ชายชรากล่าวถึงก็เป็นเหมือนจอมมารสำหรับพวกเขาทุกคนในที่แห่งนี้ เพียงแต่ว่าแม้จะเป็นจอมมารแต่ก็เหมือนจะเป็นราชาเช่นกัน!

“คืนชีพ..ท่านผู้นั้นกันเถอะ…”

“หากไม่ทำแบบนั้น เกรงว่าเผ่าพันธุ์ของพวกเราคงสูญหายไปอีกแน่ๆ! หากยังปล่อยไว้แบบนี้ละก็นะ!”

“ใครเห็นด้วยก็ยืนยันด้วย…”

ชายชราพูดอย่างเยือกเย็นก่อนที่ทุกคนจะตัดสินใจ…. ไม่มีใครรู้ว่าการตัดสินใจออกยืนยันหรือปฏิเสธ นอกจากคนทั้งเจ็ดในสภาตอนนั้น…

…..

การถือกำเนิดจอมมารผู้เหนือโลกที่สิบสาม

การถือกำเนิดจอมมารผู้เหนือโลกที่สิบสาม

Status: Ongoing
เรน ชายหนุ่มผู้มองโลกในแง่ร้ายสุดแสน ดันเป็นบัคจึงไปเกิดใหม่ในต่างโลกพร้อมพรสามข้อได้ แต่ด้วยพรสามข้อบางอย่างในคำขอทำให้เขาเกิดใหม่เป็นผู้หญิงทั้งยังกลายเป็นจอมมารไม่พอยังถูกแม่ตัวเองทิ้งไว้กลางป่าไปเฉยเลย!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท