การถือกำเนิดจอมมารผู้เหนือโลกที่สิบสาม – ตอนที่ 149

การถือกำเนิดจอมมารผู้เหนือโลกที่สิบสาม

บทที่ 149 มันผิดมาตั้งแต่เกิด…

หลังจากตกลงกันสักพักหนึ่งก็ได้ข้อสรุปว่าจะไปติวกันที่บ้านพักของซิลเวีย เพราะว่าในห้องของสเตฟานี่กับเลทิเซียต่างก็มีรูมเมจอยู่

ถ้าจะไปรบกวนพวกเธอที่อาศัยอยู่ด้วยคงไม่ดีเท่าไหร่ ว่าแบบนั้นทั้งสองจึงไปขออนุญาตซิลเวียด้วยกัน

“อ่าว เลทิเซียกับสเตฟานี่ไม่ใช่เหรอ? พวกเธอสนิทกันด้วยเหรอ?”

ถึงซิลเวียจะดูเป็นคนที่พูดไม่ค่อยรู้เรื่อง แต่ยังไงซะเธอก็เป็นถึงเทพสงคราม แม้เธอจะไม่ถนัดการใช้ความคิด แต่ก็ไม่ได้โง่

เธอในฐานะ ‘อาจารย์’ นั้นค่อนข้างที่จะดีมาก นักเรียนหลายคนนับถือเธอ ถึงแม้จะมีนักเรียนชายบางคนที่ชอบกวนเธอก็เถอะนะ

แต่นั่นก็เป็นเพราะสนใจซิลเวียนั่นแหละนะ อีกทั้งเธอยังขึ้นชื่อว่าเป็นอาจารย์ที่ดีเด่นคนหนึ่งเลย จำชื่อนักเรียนชั้นปีหนึ่งได้แทบทุกคนเลย

ไม่แปลกใจที่เธอจะรู้จักสเตฟานี่

“เอ่อ.. คือว่า..”

สเตฟานี่ค่อนข้างที่จะไม่กล้าพูด ดูเหมือนเธอไม่ใช่คนชอบแสดงออกมากขนาดนั้น แต่เลทิเซียกลับพูดขึ้น

“ซิลเวีย ข้าจะมาพักกับเจ้าได้หรือเปล่า สเตฟานี่ด้วยนะ”

“เอ๋ ก็ได้อยู่หรอกนะ ไม่สิ .. มันดีสุดๆ ไม่ใช่หรือไง แต่ไม่ใช่ว่าเจ้าไม่อยากนอนกับข้าหรอกเหรอ..?”

ซิลเวียมองเลทิเซียอย่างคลางแคลงใจ แถมอีกฝ่ายเหมือนใช้คำแทนตัวเองแบบแปลกๆ ด้วยสิ คิดแบบนั้นซิลเวียก็จับหน้าผากเลทิเซียด้วยความสงสัย

“ก็ไม่มีไข้นี่น่า?”

อันที่จริงซิลเวียก็อยากนอนกับเลทิเซียตลอดนะ เพราะว่าเลทิเซียคือคนที่เธอต้องดูแล แถมเลทิเซียเป็นคนดีมากด้วย

แต่เจ้าตัวเหมือนจะไม่ชอบมาก เลยถูกปฏิเสธตลอด ไม่งั้นเลทิเซียคงถูกซิลเวียลากมาอยู่ด้วยแล้วล่ะ ก็เธอกลัวผีนี่น่า

“ข้าจะมาติวพิเศษกับสเตฟานี่น่ะ แต่ถ้าเจ้าไม่อนุญาต…”

“ได้สิ ได้แน่นอนอยู่แล้ว เข้ามาสิๆ”

ซิลเวียมองเลทิเซียด้วยสีหน้าผิดปกติแต่ก็เปลี่ยนเป็นรอยยิ้มที่มีความสุข บางทีตลอดระยะเวลาเกือบๆ สิบปีที่ผ่านมา

ตัวเธอเองก็คงสัมผัสได้ถึงสายตาของเลทิเซียที่ไม่ค่อยเป็นมิตรกับตัวเธอเอง ไม่รู้สิ มันอาจจะเป็นเพราะเธอผ่านสงครามมามากมาย

มองเห็นสายตาของศัตรูที่อคติกับตัวเธอเองจนสัมผัสมันได้ และสายตาของเลทิเซียเช่นกัน แม้จะไม่ได้ชัดเจนหรือรุนแรงมาก

แต่เธอก็พอรู้ว่าเลทิเซียไม่ได้ชอบตัวเองเลยแม้แต่น้อย ดังนั้นเธอจึงพยายามอย่างมาก ไม่ว่าจะทำอะไรก็ตามแต่…

แต่พักนี้ตั้งแต่มาที่โรงเรียนแห่งนี้เธอก็สัมผัสได้ว่าเลทิเซียเริ่มต่างออกไปจนกระทั่งเมื่อเร็วๆ นี้ได้นอนในห้องของเลทิเซีย

แต่ตอนนั้นเลทิเซียก็ยังคงมองเธอเป็นเหมือนภาระ..

แต่ว่าตอนนี้สายตาของเลทิเซียเปลี่ยนไปแล้ว ไม่มีสายตาแบบนั้นอีกต่อไป กลับกันเธอกลับสัมผัสถึงสายตาที่เชิงขอโทษที่รบกวนมากกว่า

อืม ถึงภายในสายตานั้นจะไม่มีความขยันขันแข็งเหมือนที่เคยผ่านมาแล้วก็เถอะ เพราะเหตุนี้มันเลยทำให้ซิลเวียมีความสุขจนไม่รู้สึกหิวขึ้นมากลางดึกเลย

“ว่าแต่ไอ้แผ่นกระดาษหนาๆ นั่นมันอะไร…”

พอซิลเวียสงสัยก็ถามขึ้น เลทิเซียก็ไอแห้งๆ แล้วก็พูดขึ้น

“เอ่อ.. ข้าดันไปหลับในเวลาเรียนน่ะ…”

“เจ้าเนี่ยนะหลับ?”

ซิลเวียถึงกับอ้าปากค้าง แต่พอนึกถึงครูที่สอนเธอก็เข้าใจขึ้นมาว่า เลทิเซียคงถูกสั่งให้เขียนรายงานพวกนี้แน่ๆ

“ก็มันง่วงนี่น่า ข้าไม่ผิดสักหน่อย ที่ผิดคือบรรยากาศต่างหากล่ะ บรรยากาศน่ะ!”

“แต่ว่าในห้องเรียนสายตาของอาจารย์เวโรเน่มันเสียดแทงมากนะคะ.. ไม่มีใครกล้าหลับเหมือนท่านเลทิเซียหรอกค่ะ”

ในขณะที่เลทิเซียโยนความผิดให้สภาพแวดล้อม สเตฟานี่ที่เดินมาด้วยก็พูดขึ้น เธอไม่ได้โกหกนะ มันเป็นแบบนั้นจริงๆ

สายตาของอาจารย์เวโรเน่นั้นเหมือนกับโกรธอยู่ตลอดเวลาเลยล่ะ.. ใครมันจะไปกล้านอนหลับกันล่ะ.. เอ่อ มีอยู่ตรงนี้นะคนหนึ่ง… เลทิเซียไง

“งะ งั้นเหรอ.. ทั้งๆ ที่อากาศมันก็ไม่ได้ร้อนมากแท้ๆ นะ เข้าขั้นเย็นสบายเลยด้วยซ้ำ แถมคำพูดเรื่อยเปื่อยของอาจารย์มันเหมือนเพลงกล่อมนอนเลยไม่ใช่เหรอ?”

เลทิเซียขมวดคิ้วครุ่นคิดอย่างจริงจัง อันที่จริงเจ้าตัวคิดว่า เป็นใคร ใครก็หลับไม่ใช่หรือไง ด้วยคำพูดของเลทิเซียนั้น

ทำให้สเตฟานี่กับซิลเวียที่ดูอยู่ก็หลุดขำออกมา เลทิเซียถึงกับรีบหันกลับไปมองทั้งสองคนแล้วพูดขึ้น

“อะไร พวกเจ้าขำอะไรกัน?!”

“เปล่านะ…ข้าไม่…ได้ขำ..สักหน่อย”

ซิลเวียหัวเราะทั้งน้ำตาแต่ก็พูดขึ้น ทำเอาเลทิเซียคิ้วกระตุก มองยังไงก็ขำอยู่ไม่ใช่หรือไง ก็นะคนอะไรคิดว่าหัวข้อในการสอนเป็นนิทานกล่อมนอนกันล่ะ

ใครไปคิดว่าสายตาเยือกเย็นเป็นอากาศเข้าขั้นเย็นสบายกันล่ะ

………..

ก่อนหน้านั้นเล็กน้อย

ในห้องของเลวิเนีย เธอทิ้งตัวฟุบลงบนเตียงด้วยความเหนื่อยล้า เพราะว่าทสึรุยังไม่กลับมาในห้องจึงเงียบมาก

เพราะทิ้งตัวลงบนเตียง ทำให้กระดาษที่วางอยู่บนหัวเตียงลอยขึ้นและลอยมาติดที่ใบหน้าของเธอ

เธอก้มมองลงที่กระดาษแล้วก็ถอนหายใจออกมา…

“เลวี่…เธอยังเป็นเลวี่อยู่หรือเปล่า…?”

“ถ้าเธอยังเป็นเลวี่อยู่จริงๆ ก็ตอบฉันได้ไหมว่า… ทำไมฉันถึงเป็นเธอ?”

“ทำไมท่านพี่ถึงได้ไม่ยอมรับเธอ…”

“….”

เธอพูดพึมพำกับตัวเองในความเงียบแสงตะวันกำลังจะลาลับขอบฟ้ามันทำให้บรรยากาศดูอ้างว้างราวกับบนโลกใบนี้เหลือเพียงเธอ

แสงตะวันสีเหลืองทองสาดมาทำให้เธอหันหน้าขึ้นไปมองภาพความทรงจำในวันวานก็ลอยเข้ามา ในเย็นวันหนึ่งที่เธอหลงทางอยู่ในปราสาท

เพราะอยากจะเซอร์ไพรสท่านแม่ แต่กลับกลายเป็นว่าเธอหลงทางในปราสาทขนาดใหญ่ซะเอง พอหาทางออกก็พบว่าตัวเองอยู่บนจุดสูงสุดของปราสาท

เธอกลัวความสูง จนขยับขาไม่ได้ แสงดวงอาทิตย์มันก็เป็นสีแบบนี้แต่ทว่าในตอนที่เธอกำลังกลัวอยู่นั้นท่านพี่ก็ปรากฏตัวขึ้น

“เลวี่ มาทำอะไรอยู่ตรงนี้น่ะ เธอกลัวความสูงไม่ใช่หรือไง?”

“ท่านพี่.. ข้า…”

เธอไม่สามารถขยับได้เพราะความกลัว แต่ทว่าลมตอนเย็นก็พัดมาแม้ตัวเธอจะไม่ได้เล็กมากแต่ว่าเพราะยอดปราสาทมันสูงและลมมันแรง

ทำให้ตัวเธอแทบจะปลิวออกนอกหน้าต่างไป แต่ว่าพี่สาวของเธอก็จับแขนเธอเอาไว้ แม้เธอในตอนนั้นจะสามารถใช้เวทมนตร์จนฆ่าหมีได้ด้วยตัวเอง

แต่มันไม่ได้แปลว่าเธอจะสามารถเอาชนะความกลัวได้.. ท่านพี่กอดเลวี่เอาไว้ เหตุการณ์ในวันนั้นทำให้การกลัวความสูงของเธอแทบจะหายไป

แต่ในกรณีที่อยู่กับท่านพี่เท่านั้นนะ เพราะว่าท่านพี่ทำให้เธอรู้สึกปลอดภัยนี่.. เธอรู้สึกอยากจะย้อนเวลากลับไปจมปลักอยู่ในช่วงเวลานั้น

ช่วงเวลาที่เธอยังไม่รู้ว่าตัวเองอาจจะเป็นคนที่กลับชาติมาเกิด ช่วงเวลาที่ท่านพี่ยังคงยิ้มและเป็นห่วงเธอเสมอ

“เรื่องบางเรื่อง… ไม่รู้เลยยังจะดีซะกว่าสินะ..”

เธอพึมพำเบาๆ อยากจะกลับไปเป็นเด็ก อยากจะย้อนเวลากลับไป แต่ว่าชีวิตคนเราต้องเดินหน้าต่อไป เธอเชื่อแบบนั้น

ทว่าในตอนนี้เธอไม่มั่นใจเลย ไม่มั่นใจเลยว่าอะไรคือการเดินหน้า แก้ไขความเข้าใจผิด? แก้ไขยังไงในเมื่อแม้แต่ตัวเธอเองยังไม่รู้เลยว่ามันจริงหรือเท็จ

ให้ท่านพี่ยอมรับตัวเอง? ยอมรับยังไงในเมื่อตัวเธอยังรู้สึกยอมรับไม่ได้เลย ถ้าต้องการจะเดินหน้าต่อในตอนนี้สำหรับเธอคือการแก้ไขบางอย่าง

แต่มันแก้ไขอะไรไม่ได้ เพราะทุกอย่างมันผิดมาตั้งแต่แรกแล้ว มันผิดมาตั้งแต่แรกแล้ว ถ้าเธอไม่เกิดมาแล้วอาจจะเป็นร่างกำเนิดใหม่ของใครบางคนละก็..

ใช่แล้ว.. ทุกอย่างในตอนนี้น่ะ มันผิดมาตั้งแต่เธอเกิดขึ้นมาบนโลกใบนี้แล้ว..

ดวงตะวันหายเข้าไปในเส้นขอบฟ้าแสงจันทร์เริ่มทอแสงเข้ามาในหน้าต่าง มือขวาของเธอจับกริชเล่มเล็กเล่มหนึ่งไว้

“ข้า…”

…….

….

..

ประตูห้องถูกเปิดออกในห้องที่มืดมิดไม่เปิดไฟ ทสึรุที่เดินเข้ามาเห็นร่างของคนหนึ่งนั่งอยู่บนเตียง มือขวากำลังถือของมีคมและกรีดใส่แขนตัวเอง

เลือดสีแดงของเธอมันสะท้อนจากแสงจันทร์ทำให้ทสึรุตกใจ

“นี่เจ้า….?!”

ทสึรุที่ร้องออกมาด้วยความตะลึงนั้น ดึงดูดความสนใจของเลวิเนียทำให้เธอหันมามองทสึรุก่อนที่จะพูดขึ้น

“อ่า.. เลือดข้าเองก็เป็นสีแดงนะ เหมือนท่านพี่ทุกอย่าง อาจจะต้องลงลึกกว่านี้แบบภายในสมองสินะ.. ที่มันมาเกิดใหม่น่ะ”

“เจ้าพูดอะไรน่ะ!”

ทสึรุไม่เข้าใจที่เลวิเนียพูดแค่เธอรีบวิ่งไปแย่งเอากริชออกจากมือของทสึรุ แต่เพราะแบบนั้นเธอเลยมองเห็นเลือดที่ไหลนองอยู่บนพื้นและผิวของเลวิเนียที่ซีดลง

มันซีดจนน่ากลัว ท่าทางของทสึรุดูย่ำแย่มาก

“นี่เจ้า.. ทำบ้าอะไรของเจ้า…”

เลวิเนียก็หันกลับไปตอบคำถามของทสึรุด้วยรอยยิ้มที่ซีดเซียว

“ทำอะไรงั้นเหรอ.. ข้าก็กำลังเดินหน้าต่อเพื่อแก้ไข…ให้เหมือนกับคนธรรมดา…ไงล่ะ”

………

การถือกำเนิดจอมมารผู้เหนือโลกที่สิบสาม

การถือกำเนิดจอมมารผู้เหนือโลกที่สิบสาม

Status: Ongoing
เรน ชายหนุ่มผู้มองโลกในแง่ร้ายสุดแสน ดันเป็นบัคจึงไปเกิดใหม่ในต่างโลกพร้อมพรสามข้อได้ แต่ด้วยพรสามข้อบางอย่างในคำขอทำให้เขาเกิดใหม่เป็นผู้หญิงทั้งยังกลายเป็นจอมมารไม่พอยังถูกแม่ตัวเองทิ้งไว้กลางป่าไปเฉยเลย!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท