บทที่ 165 – ไล่ออก
การบรรยายยังดำเนินต่อไปโดยใช้เวลาค่อนข้างนาน แต่การบรรยายของเขานั้นกลับทำให้ความสนใจของผู้คนตกอยู่ในวังวนคำพูดเขา
ราวกับว่าทุกสิ่งที่พูดออกมาถูกกล่าวซ้ำในหัวของคนที่ฟังอยู่แม้แต่ชาร์ล็อต บางทีอาจจะเป็นเพราะว่าฉันรู้จักศาสนามาก่อน
มันเลยทำให้ฉันรู้สึกว่าไม่มีอะไรแปลกใหม่มาก แต่สำหรับคนบนโลกนี้หรือยิ่งพวกคนที่อยู่จุดต่ำสุดของบ่วงโซ่ของการดำรงอยู่นั้น
ก็คงชื่นชมและรู้สึกว่าเรื่องศาสนามีแต่ความดี ส่วนฉันที่รู้จักมาก่อนเลยไม่อินขนาดนั้นหรือเปล่านะ?
พอคิดแบบนั้นได้สินะ จนท้ายที่สุดการบรรยายก็จบลงชาร์ล็อตที่นั่งอยู่ข้างๆ ฉันก็เดินออกไปอย่างเหม่อลอย
“เอ่อนี่…”
ฉันอยากจะเรียกเธอแต่ไม่รู้ว่าเสียงของฉันที่เปล่งออกไปเบาจนเธอไม่ได้ยินหรือเป็นเพราะเธอไม่คิดจะหยุดกันแน่
ฉันนิ่งเงียบอยู่พักหนึ่งจนชาร์ล็อตเดินหายลับไปกับฝูงชน ทำให้ฉันถอนหายใจออกมาเบาๆ
“พี่.. สำหรับพี่แล้วฉันยังคงเป็นเด็กอยู่สินะ เพราะว่าแม้แต่การขอโทษคนคนหนึ่งก็ทำไม่ได้ ทั้งที่ตัวเองทำผิดไป ทั้งๆ ที่พี่เองก็บอกเสมอแท้ๆ ว่าถ้าหากทำผิดก็ต้องขอโทษอย่างตรงไปตรงมา”
“…..”
“แต่ฉันกลับไม่กล้า พอนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นมันก็ทำให้ฉันไม่กล้าที่จะพูดออกไป บางทีก็อยากให้ทุกอย่างนั้นมันไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน”
“พอนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นหากพูดออกไป ฉันก็กลัวขึ้นมาน่ะ.. กลัวว่าบรรยากาศจะเปลี่ยนไป ไม่สิ ฉันเองก็ไม่เข้าใจว่าบรรยากาศคืออะไร”
“กลัวสิ่งที่มีในช่วงเวลานั้นจะสูญหายไป… ฉันกลัว”
พอคิดแบบนั้นก็ได้แต่นั่งลงที่เดิม ฉันเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมฉันถึงกลัว.. เพราะการที่ฉันพูดขอโทษออกไปมันไม่ได้เป็นอันตรายอะไรต่อฉันแท้ๆ
แต่แค่รู้สึกว่าหากพูดถึงมันจะทำให้บางสิ่งบางอย่างในช่วงเวลานั้นมันหายไป แค่นั้น .. มันฟังดูไร้เหตุผลใช่ไหมล่ะ?
ทั้งๆ ที่ไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายอะไรต่อตัวฉันเอง ฉันกลับกลัว.. กลัวที่จะพูด จะขี้ขลาดไปถึงไหนกันนะ
หากเป็นเรื่องกลัวความตายฉันคงสามารถบอกได้ว่า มันปกติไม่ใช่เหรอที่คนจะกลัวตาย ต้องรอบคอบและตื่นตัวตลอดเวลา
แต่นี่มันไม่ใช่เรื่องแบบนั้น ฉันเองก็ไม่เข้าใจความรู้สึกแบบนี้เหมือนกัน แล้วพอแม้แต่ตัวเองก็ยังไม่เข้าใจตัวเอง แบบนี้จะไปทำอะไรจะไปพูดอะไรให้ใครเข้าใจได้ล่ะ
ฉันถอนหายใจออกมาเบาๆ ไม่รู้ว่าฉันนั่งอยู่ตรงนี้มานานเท่าไหร่แล้วหลังจากจบการบรรยายอะไรนั่น
จนในที่สุดตอนเย็นก็มาเยือนฉันเดินกลับเข้าหอด้วยอารมณ์ที่ไม่มั่นคง ความรู้สึกที่ไม่เคยมีมาก่อนกลับกำลังพลุกพล่านอยู่ในอก
ในขณะที่กลับโรงเรียนด้วยความรู้สึกแบบนั้นพอเดินไปถึงหน้าประตูโรงเรียนก็มีใครสักคนยืนกอดอกรออยู่ พอฉันมองเห็นฉันก็ถึงกับสะดุ้ง
“นั่นมัน…”
ในขณะที่กำลังจะใช้เวทมนตร์หายตัวแต่คำพูดของพี่ก็ลอยเข้ามาในหัวของฉัน “ถ้าหากทำผิด ก็ต้องยอมรับผิดและขอโทษไปซะหากทำให้ใครเดือดร้อน นี่คือกฎของบ้านเรา”
แต่ว่านะ รอบนี้ฉันไม่ได้เป็นคนผิด มันคือไอ้ปีศาจที่เข้ามาควบคุมฉันต่างหาก ไม่สิ ถึงจะบอกแบบนั้นแต่ฉันก็ให้มันควบคุมเองนี่น่า
โดนควบคุมเหรอ ว่าแต่ฉันไปยอมรับข้อเสนอสุดอันตรายแบบนั้นได้ไงเนี่ย โดนควบคุมเลยนะ โดนควบคุมเนี่ยก็เหมือนกับตายไปแล้วเลยครึ่งหนึ่ง
ช่างเถอะ ไอ้ปีศาจอะไรนั่นก็จู่ๆ ก็มา จู่ๆ ก็หายไปแล้ว แต่ทิ้งปัญหาไว้ให้ฉันด้วยน่ะสิ.. ปัญหาที่ว่าคือ…
มันทำให้ครูไม่ชอบขี้หน้าฉันเข้าไปน่ะสิ แน่นอนว่าผู้หญิงคนนั้นคืออาจารย์สอนพิเศษ แต่ว่าถึงจะโดนเกลียดขี้หน้าก็เถอะนะแต่ว่าไม่ได้ไปทำให้โกรธอะไรนี่น่าแล้วทำไมถึง..
ไม่สิ บางทีเธออาจจะไม่ได้รอฉันอยู่ก็ได้ จะแตกตื่นไปทำไมตั้งแต่มาอยู่ในโรงเรียนนี้ฉันก็ทำตามกฎอย่างเคร่งครัดเสมอ
พอรวบรวมความกล้าได้ในระดับหนึ่งก็เดินออกไปพลางคิดว่า คนที่เป็นผู้โชคร้ายที่ถูกอาจารย์เวโรเน่ดุนั้นไม่ใช่ตัวเอง
ก็วันนี้มันวันหยุดนี่น่า! แล้วตั้งแต่ที่ไอ้ปีศาจที่สิงร่างฉันหายไปก็ผ่านมาเกือบเดือนแล้วด้วย ฉันก็พยายามทำทุกอย่างให้ดีขึ้นแล้วด้วยนะ
ในขณะที่คิดแบบนั้นก็เดินถึงหน้าประตูเลิกคิกที่จะใช้เวทมนตร์อำพรางตัว ในขณะที่ฉันกำลังจะเดินผ่านนั่นเองอาจารย์เวโรเน่ก็พูดขึ้น
“หยุดก่อน!”
“เอ่อ..อะไรเหรอคะ..?”
ฉันตอบออกไปอย่างเลี่ยงไม่ได้ ผสมกับความดุดันของเธอเลยต้องเติมหางเสียงไปด้วย ยังไงซะเธอก็เป็นครูแล้วสิทธิ์การไล่นักเรียนออกคงอยู่ในมือเธอ
แล้วถ้าหากฉันโดนไล่ออกฉันไม่กลายเป็นคนไร้บ้านเลยเหรอ?! พอคิดแบบนั้นก็จำเป็นต้องให้สิ่งนั้นเกิดไม่ได้เด็ดขาด
ใช่.. มันควรจะเป็นแบบนั้นแท้ๆ
“เธอโดนไล่ออก”
“ห๊ะ?”
นี่ฉันไม่ได้ฟังผิดใช่ไหม ด้วยความตกใจฉันเลยหันไปหาอาจารย์เวโรเน่แต่สายตาเธอยังจ้องมองมาที่ฉัน ด้วยความสับสนเลยถามออกไปอีกรอบ
“คือว่า… อะไรนะคะ?”
“เธอโดนไล่ออก!”
“เอ๋ เดี๋ยวสิ นี่ฉันไปทำอะไรผิดไว้งั้นเหรอ?! ทำไมถึงโดนไล่ออก..?”
แล้วว่าแต่โรงเรียนนี้มันจะไล่นักเรียนออกง่ายไปหรือเปล่า การตักเตือนหรือพักการเรียนไม่มีเลยหรือไง?
ด้วยสีหน้าที่สับสนของฉันอาจารย์เวโรเน่เลยเหมือนจะอธิบายเพิ่มเติมให้ฉันได้ตรงจุดพอดี
“เธอน่ะเนื่องจากขาดเรียนมานานจนเกินไป แน่นอนว่าเป็นธรรมดาที่ต้องเรียนไม่ทันคนอื่น”
“เอ๊ะ แต่ว่านั่นมันเป็นเพราะ—”
“ใช่ มันเป็นเพราะอุบัติเหตุที่ทุกคนก็ทราบดีว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เพราะแบบนั้นพวกเราถึงได้เตือนเธอว่าเธอน่ะต้องรีบเรียนตามคนอื่นให้ทันไม่เช่นนั้นจะโดนไล่ออก โรงเรียนเราเห็นแบบนี้ก็ถือเป็นโรงเรียนที่มีนักเรียนเยอะมาก หากมีเธอคนเดียวที่ตามคนอื่นไม่ทันคิดว่าจะมีคนอยากรอเธอโดยแลกกับการเสียเวลาเรียนหรือเปล่าล่ะ?”
“เตือน??”
“ใช่แล้ว รู้สึกว่าคนที่รับหน้าที่ที่มาบอกเธอจะเป็นคุณซิลเวียนะ”
พอเธอพูดแบบนั้นออกมาฉันถึงกับชะงัก แต่ว่ายัยซิลเวียนั่นไม่ได้บอกอะไรนี่น่า.. อย่าบอกนะว่าลืมนะ…
แล้วเธอลืมเรื่องสำคัญขนาดนั้นได้ไงฟะ ในขณะที่กำลังรู้สึกหงุดหงิดให้ซิลเวีย ก็กลับมาสงสัยว่าแล้วฉันเรียนตามคนอื่นไม่ทันเหรอตอนนี้
เพราะก็ตามการสอนของอาจารย์คนนี้ตลอดนะ ในขณะที่กำลังตั้งคำถามในหัวตัวเองอาจารย์เวโรเน่ก็พูดต่อ
“อีกทั้งวันนี้เธอยังไม่ได้ส่งรายงานที่ฉันให้ทำ ทางโรงเรียนจึงตัดสินว่าเธอนั้นเรียนตา คนอื่นไม่ทันแล้วจึงต้องโดนไล่ออก!”
“รายงาน?”
รายงานนี่คือ รายงาน..อะ..ไร…. อย่าบอกนะว่าเป็นรายงานที่ไอ้ปีศาจนั่นได้มาแล้วทำไมมันไม่บอกกันสักคำ!
ในที่สุดฉันก็เข้าใจทุกอย่างสักที เหมือนว่าทางโรงเรียนจะแจ้งเรื่องการถูกไล่ออกเป็นการส่วนตัวกับฉันแล้ว
แต่เหมือนซิลเวียจะลืมบอกเรื่องสำคัญให้ฉันไปซะอย่างนั้น ทำให้ฉันพลาดข่าวสำคัญไป ในเวลาต่อมาตอนฉันได้รายงานมา
บางทีรายงานชิ้นนั้นอาจจะเป็นเนื้อหาทั้งหมดช่วงที่ฉันขาดเรียน บางทีตัวทสึรุที่เหมือนกับฉันแต่เธอกลับมาโรงเรียนก่อนเธอก็ได้รายงานกองโตไปแล้ว
ส่วนคนอื่นๆ ในคาบเรียนพิเศษคงไม่ได้ขาดนานเท่าฉันกับทสึรุ พอเป็นแบบนั้นเลยไม่มีคนมีรายงาน แต่ตอนที่ฉันได้รายงานมาดันเป็นตอนที่ฉันให้ปีศาจจอมขี้เกียจควบคุมร่างอยู่
แถมเธอนั่นไม่พูดอะไรสักคำ ถึงฉันจะอยู่ในตัวด้วยแต่ตอนนั้นฉันเองก็อาจจะไม่อยากรับรู้อะไรด้วยละมั้ง…
พอเป็นแบบนั้นทุกอย่างก็ลงตัว.. เหมือนกับโชคชะตากำลังอยากจะไล่ฉันออกจากโรงเรียน ทุกอย่างมันบังเอิญเกินไปแล้ว
เหงื่อของฉันไหลออกมาทันที.. นึกถึงเรื่องที่หลังจากตัวเองออกจากโรงเรียนไปเจออสูรสุดแข็งแกร่งไม่มีที่พึ่งจากไหนและถูกฆ่าตายไปอย่างเงียบๆ
……ไม่เอาเด็ดขาด!