การถือกำเนิดจอมมารผู้เหนือโลกที่สิบสาม – ตอนที่ 171

การถือกำเนิดจอมมารผู้เหนือโลกที่สิบสาม

บทที่ 171 – พันธสัญญาโซล

และก็อย่างที่ว่าเช้าวันรุ่งก็เริ่มออกเดินทางทันที อย่ามาถามฉันว่าทำไมมันถึงเร็วขนาดนี้ เพราะฉันเองก็ตกใจ ไม่คิดว่าไม่เหลือเวลาที่เขาบอกคือ

จะแบบวันรุ่งขึ้นต้องออกเดินทางทันที แน่นอนว่าไม่ใช่แค่ฉันที่คิดแบบนั้น โชคดีที่ฉันเตรียมของไว้พร้อมเสมอ

ไม่ว่าจะเป็นยาวิเศษหรืออะไรต่างๆ นานา ก็ถูกในช่องเก็บของวิเศษ การเดินทางไปแข่งขันนั้นแน่นอนว่าไปทั้งโรงเรียน

ไม่สิ ไปแค่ชั้นปีหนึ่งที่ฉันอยู่มากกว่านั่นแหละ ฉันได้เจอกับพวกเลวี่ก่อนจะออกเดินทางด้วย เพราะพวกเราเดินทางคนละส่วนกันละนะ

อาจจะเป็นเพราะฉันเป็นผู้เข้าแข่งขันฉันเลยต้องไปเจอพวกผู้เข้าแข่งขันจากโรงเรียนอื่นก่อนน่ะนะ

ก่อนฉันจะออกเดินทางก็มีคนมาส่งฉัน แม้แต่สเตฟานี่ก็มาสเตฟานี่ คือใครน่ะเหรอ เธอคือคนที่ฉันรับปากว่าจะช่วยสอนเพิ่มเติมน่ะ

ถึงจะบอกว่าฉัน แต่ตอนนั้นฉันถูกควบคุมอยู่นะ แต่ว่าตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมาก็ได้สเตฟานี่แล้วก็ทสึรุนี่แหละมาอยู่เป็นเพื่อนในห้องเรียนพิเศษ

ส่วนเรื่องของไวท์ วิญญาณที่สิงในดาบก็ไม่ค่อยโผล่หน้าเลยเพราะว่าหากถูกจับได้อะไรแบบนั้นอาจจะโดนจับไปทดลองก็ได้

เธอเลยแทบไม่โผล่ออกมา ถึงฉันจะไม่ได้พูดถึงเธอก็เถอะแต่เธอก็บ่นอยู่ตลอดว่าอยากออกมาเที่ยวบ้างอะไรบ้าง

นี่คงเป็นคำสาปของดาบละมั้ง การที่ทำให้ฉันได้ยินเสียงบ่นของไวท์ตลอดเวลาเนี่ย แต่ว่าก็ไม่ถึงขั้นรับไม่ได้หรอกนะ

และในตอนนั้นเองเลวี่ก็เดินมาถามฉันด้วยความเป็นห่วงว่า

“ท่านพี่… ท่านยังไม่ได้ทำพันธสัญญาโซลเลย ถึงข้าจะมั่นใจว่าท่านพี่ไม่มีทางแพ้ แต่หากท่านพี่ได้รับบาดเจ็บขึ้นมา…”

“ไม่ต้องเป็นห่วงฉันหรอก ฉันจะไม่เป็นไร”

ถึงจะพูดงั้นก็เถอะนะ ฉันเองก็กลัวว่าจะแพ้เหมือนกัน ก่อนอื่นเลยถ้าหากเรามีหรือไม่มีสิ่งที่เรียกว่า ‘พันธสัญญาโซล’ นั่นคือข้อได้เปรียบเสียเปรียบอย่างมากในการต่อสู้

ฉันจะอธิบายให้ฟังง่ายๆ เลยว่ามันคืออะไรนะ

ก่อนอื่นโลกนี้มีสิ่งที่เรียกว่าเวทมนตร์รูปแบบต่างๆ และแต่ละเวทมนตร์ก็แตกแขนงไปได้อย่างไร้จุดสิ้นสุด

นั่นแหละคือเวทมนตร์ แน่นอนว่าอย่างที่รู้ว่าเวทมนตร์ต่างๆ มนุษย์ อสูร ปีศาจ กึ่งมนุษย์ ล้วนมีรูปแบบเวทมนตร์ที่แตกต่างกันออกไป

แต่ทว่า ‘พันธสัญญาโซล’ นั้นไม่แบ่งแยกว่ามาจากไหน เผ่าพันธุ์อะไร เพราะทุกคนสามารถสร้างมันขึ้นมาได้ด้วยตัวเอง

โดยการผ่านพิธีกรรมอัญเชิญโซลออกมานั่นเอง แรกเริ่มเดิมทีไอ้วิชานี้ไม่มีบนโลกหรอกนะ แต่ว่ากันว่าพาลาดินทั้งห้าของโรงเรียนเวทมนตร์

ได้สร้างมันขึ้นมาเพื่อสร้างจุดเชื่อมต่อของทุกเผ่าพันธุ์โดยไร้การแบ่งแยก ใช่แล้ว มันคือการสร้างรูปแบบของความเป็นจริงและแนวคิดใหม่ขึ้นมาโดยตรง

ฟังดูเพ้อเจ้อ เพราะในความเป็นจริงการจะประกอบแนวคิดให้ดำรงอยู่ได้มันไม่ได้ง่ายแบบนั้น แนวคิดอันที่จริงคำนี้เหมือนกับรูปแบบความคิดของสิ่งหนึ่งเท่านั้น

แน่นอนว่ามันถูก แต่นั่นมันแค่ในนิยามให้เป็นตัวแทนบางอย่างเท่านั้น เช่นแนวคิดของ ‘คณิตศาสตร์’ คำถามคือใครเป็นค้นพบแนวคิดนี้

คำตอบแน่นอนว่านักคณิตศาสตร์คนแรกของโลก แต่ก่อนหน้านั้นล่ะ มันมีหรือเปล่า? แน่นอนว่ามันมีอยู่แล้วไม่ว่าจะเป็นการบวก ลบ คูณ หาร

นั่นหมายความว่าคนคิดสูตรคณิตศาสตร์หาใช่คนสร้างสรรค์แนวคิด ถ้าจะให้กล่าวเป็นรูปธรรมมากกว่านี้เลยก็คือ

แนวคิดคณิตศาสตร์นั้นมีมาแต่แรกแล้ว เพราะงั้นถึงได้มีคนคิดสูตรคณิตศาสตร์ขึ้นมาได้ นั่นแหละคือนิยามของคำว่าแนวคิด

ใช่ พันธสัญญาโซลคือการสร้างแนวคิดนี้ขึ้นมาใหม่ ในความเป็นจริงแห่งนี้ซึ่งเดิมทีมันไม่มี จะบอกว่าเป็นการฝืนกฎของพระเจ้าเลยก็คงได้

นี่แหละคือความเป็นมาของ ‘พันธสัญญาโซล’

และการจะทำมันได้คือต้องใช้พิธีกรรมบางอย่างในการอัญเชิญโซล เอาเข้าจริงถ้าเปรียบละก็มันเหมือนพวกพันธสัญญากับภูต เหมือนในการ์ตูนนั่นแหละ

แต่ในความจริงของโลกนี้ ภูตนั้นอยู่เหนือจินตนาการเกินไปไม่มีทางที่จะสามารถอัญเชิญมาได้หรอก

แต่โซลทำได้ การอัญเชิญจะเริ่มขึ้นและโซลที่เหมาะสมกับเราที่สุดจะปรากฏขึ้น โซลนั้นดำรงอยู่ในรูปแบบของสิ่งมีชีวิต

ไม่ว่าจะเป็นสัตว์ ปีศาจ กึ่งมนุษย์ คน ล้วนมีความเป็นไปได้ ซึ่งโซลของเรานั้นจะเป็นโซลที่มีความผูกพันทางวิญญาณบางอย่าง

นั่นหมายความว่าโซลที่จะทำพันธสัญญากับเราถูกกำหนดมาตลอดระยะเวลาที่ดวงวิญญาณเราได้พบเจอมา (ตลอดช่วงชีวิต)

นั่นเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมต้องรีบทำพันธสัญญาเร็วๆ หากทำตอนโตละก็ความบริสุทธิ์ของจิตใจและดวงวิญญาณอาจจะหายไป สิ่งที่จะตามมามีเพียงโซลที่ดุร้ายและไม่เหลือความบริสุทธิ์นั่นเอง

นอกจากนี้โซลยังสามารถปรากฏตัวได้จากสถานการณ์บางอย่าง ซึ่งฉันเองก็ไม่รู้ว่าแบบไหนเพราะว่าพันธสัญญาโซลไม่ได้มีมาตั้งแต่โลกถือกำเนิดแหละนะ

แต่ว่าก็ว่านะโซลของฉันจะเป็นยังไงนะ? ฉันคาดหวังมากเพราะฉันน่ะสามารถอ่านความคิดของโซลได้แต่โซลอ่านของเราไม่ได้นะ!

หมายความว่าฉันจะไม่ต้องกังวลอะไรถ้าสามารถอ่านความคิดโซลตัวเองได้ พอคิดแบบนั้นก็ยิ้มออกมา และในตอนนั้นเองเลวี่ก็พูดขึ้น

“อืม! สู้เขาน่ะท่านพี่!”

“ท่านเลทิเซียน่ะแข็งแกร่งไร้เทียมทานอยู่แล้ว!”

พอทุกคนพูดแบบนั้น จนแม้แต่ฉันยังรู้สึกแปลกๆ ที่หน้าอก ถึงฉันอาจจะไม่ได้เก่งขนาดที่ทุกคนคาดหวังก็เถอะนะ

“ถึงเวลาแล้ว”

“อืม แล้วเจอกันนะ”

อาจารย์เวโรเน่แล้วก็ซิลเวียคือคนที่จะนำฉันไป หรือก็คือมีอาจารย์สองคนที่จะเดินทางไปพร้อมกับฉันในตอนนี้

แต่ว่าก็ว่าเถอะ ในตอนนี้ฉันอุ่นใจเสียยิ่งกว่าอะไร เพราะซิลเวียเองเป็นถึงเทพ.. ถึงจะไม่น่าเชื่อถือเท่าไหร่ก็เถอะ

ส่วนอาจารย์เวโรเน่ก็เป็นถึงผู้กล้า มองอีกมุมหนึ่งถ้าหากโดนจอมมารไล่ฆ่าก็คงฆ่าฉันไม่ได้หรอกมั้งแบบนี้

ฉันคิดแบบนั้นก็รู้สึกสบายใจขึ้นมา พวกเราจะเดินทางผ่านสิ่งที่เรียกว่า ‘เกท’ ฉันมองไปที่เกทเบื้องหน้าก็อดตกใจไม่ได้

ตรงหน้ามันมีเหมือนอุโมงค์อวกาศอยู่ตรงหน้าถ้ำในภูเขาน้ำแข็ง ตอนนี้ยังมองไม่เห็นปลายทางของเกทก็จริงแต่พออาจารย์เวโรเน่พูดว่า

“ห้องงานเลี้ยงศึกรบนักเรียนหน้าใหม่”

ปลายทางก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า ปลายทางตรงหน้าคือทางเดินเหมือนในคฤหาสน์ที่ฉันเคยอยู่นั่นแหละ ประดับประดาอยู่ในระดับเดียวกันเลยด้วย

“ตื่นเต้นจังเลยนะ ข้าได้ยินมาว่าที่งานเลี้ยงมีอาหารอร่อยๆ เยอะเลย”

“…”

ซิลเวียขยับเข้ามาเขย่าไหล่ฉัน ฉันรู้ทันทีเลยว่าเธอกำลังหมายตาอาหารในงานเลี้ยงอยู่แน่ๆ

“เอาเถอะ ถ้าอยากกินก็กินไปเถอะ”

ยังไงซะตลอดหลายเดือนที่ผ่านมานี้ที่ฉันไม่อยู่ฉันไม่รู้ว่าเธอได้กินอาหารตอนดึกหรือเปล่า เธอยิ่งกินเก่งซะด้วยสิ

ไหนๆ ก็เป็นงานเลี้ยงทั้งที.. ให้กินจนจุใจคงดีแล้วแหละ.. พอคิดแบบนั้นฉันก็รู้สึกแปลกๆ กับความคิดตัวเอง

“อืมมม…”

“เลทิเซียยย รักที่สุดเลย!!”

ฉันที่กำลังสงสัยว่าตัวเองแปลกตรงไหนก็โดนซิลเวียพุ่งเข้ามากอดแต่ฉันหลบได้เธอเลยพลาด และในตอนนั้นเองอาจารย์เวโรเน่ก็เรียก

“ไปกันเถอะ!”

“ไปกันเลย!”

ซิลเวียตอบกลับแล้วก็ชูกำปั้นขึ้น ให้ตายสิดูไม่มีความเป็นอาจารย์เลยสักนิด ไอ้แบบนี้จะโดนนักเรียนดูถูกเอาไหมเนี่ย

ขณะที่ฉันรู้สึกท้อแท้กับบุคลิกของซิลเวียก็เดินตามพวกอาจารย์ไป พอเดินเข้าเกทได้ก็รู้สึกเหมือนเดินผ่านม่านฟองสบู่อะไรสักอย่าง

จนทำให้ต้องหลับตาลง พอลืมตาขึ้นก็มาโผล่อยู่โถงทางเดินขนาดใหญ่ แสงที่อยู่ด้านหลังซึ่งมีปลายทางเป็นโรงเรียนลิเบอร์ก็ค่อยๆ สลาย

และหายไปในที่สุด

แต่ในตอนนั้นเองด้านนอกหน้าต่างก็พลันมีคนเหมือนจะกำลังยืนบนไม้กวาดพุ่งผ่านหน้าต่างขึ้นไปบนฟ้า

“นั่นมัน…”

ฉันที่กำลังตกใจซิลเวียก็วิ่งไปทางหน้าต่างเธอก็อ้าปากกว้าง ฉันที่เดินตามไปก็เบิกตากว้าง บางที.. ที่นี่อาจจะเป็นที่ที่เจริญที่สุดในทวีปแห่งนี้

ท้องฟ้ามีการจราจรที่เหมือนกับโลกเดิมแต่มียานพาหนะบางอย่างเช่นไม้กวาด แต่บางคนก็ไม่ได้ยืนบนไม้กวาด บางคนยืนบนผ้าพรม

บางคนยืนบนดาบ บางคนลอยกลางอากาศ

แม้แต่ขี่มังกรอยู่ก็มี ตลอดทางตลอดเมืองมีร้านค้าที่ลอยอยู่กลางอากาศ ดูครึกครื้นยิ่งกว่าที่เมืองในเขตไร้อาณาตั้งหลายสิบเท่า

“มาถึงแล้ว อาณาจักรเวทมนตร์… สถานที่ที่มีเพียงไม่กี่แห่งบนทวีปและเป็นสถานที่ที่รุ่งเรืองที่สุด … เป็นสถานที่ที่พวกเราจะมาแข่งขันกัน… อาณาจักรที่ไร้ราชา”

“อาณาจักรเวทมนตร์มิราลิส!!”

การถือกำเนิดจอมมารผู้เหนือโลกที่สิบสาม

การถือกำเนิดจอมมารผู้เหนือโลกที่สิบสาม

Status: Ongoing
เรน ชายหนุ่มผู้มองโลกในแง่ร้ายสุดแสน ดันเป็นบัคจึงไปเกิดใหม่ในต่างโลกพร้อมพรสามข้อได้ แต่ด้วยพรสามข้อบางอย่างในคำขอทำให้เขาเกิดใหม่เป็นผู้หญิงทั้งยังกลายเป็นจอมมารไม่พอยังถูกแม่ตัวเองทิ้งไว้กลางป่าไปเฉยเลย!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท