บทที่ 173 – งานเลี้ยง
ห้องโถงจัดงานเลี้ยงค่อนข้างใหญ่ และมีคนอยู่ที่เยอะพอสมควร ส่วนใหญ่จะเป็นนักเรียนอายุราวๆ 13-14 ปี
เอาเถอะถึงจะบอกว่าเด็กแต่ก็ตัวใหญ่กว่าฉันในตอนนี้ทุกคนนั่นแหละ ขณะคิดแบบนั้นซิลเวียก็จ้องอาหารเหมือนคนไม่เคยกินอาหารมาก่อน
อาจารย์เวโรเน่ก็ชี้นิ้วไปจุดจุดหนึ่งก่อนจะพูดขึ้น
“นั่นคือที่พวกเราเจอก่อนหน้านี้ โรงเรียนไลเบอร์มีตัวแทนถึง 16 คน… เมื่อประมาณปีก่อนถูกจัดอยู่ในอันดับที่สี่จากห้าโรงเรียน”
ฉันหันไปตามคำพูดของเธอ ชุดประจำของโรงเรียนไลเบอร์ต่างจากลิเบอร์ของฉัน โรงเรียนลิเบอร์เป็นชุดโทนสีเข้มๆ ดำแดง
ถึงจะบอกว่าแดงแต่ก็ไม่ได้แดงแสดน่ะ มันออกสีมืดๆ หน่อยๆ แต่โรงเรียนไลเบอร์นั้นเป็นชุดที่มีสีขาวซะส่วนใหญ่
ต่างจากโรงเรียนลิเบอร์มีสีดำเป็นหลัก ส่วนสีรองก็เหมือนจะเป็นสีดำนั่นแหละ แต่ก็เป็นสีที่ตัดแต่งให้ดูไม่ขาวสว่างจ้าเกินไปเท่านั้น
ในขณะที่ฉันกำลังสังเกตอยู่นั่นเอง คนจากโรงเรียนไลเบอร์คนหนึ่งเหมือนจะสังเกตเห็นถึงสายตาของฉันเขาเลยหันมามองพวกเรา
เป็นผู้ชายที่มีหน้าตาดีนิดหน่อย ผมสีเหลืองทองดูเหมือนเจ้าชายจากอาณาจักรไหนสักแห่งเลย เขามองเห็นฉันก็ยิ้มให้เล็กน้อย
“…”
ฉันรู้สึกขนลุกกับรอยยิ้มนั้นเล็กน้อยเลยหันหน้าหนี อาจารย์เวโรเน่ก็เดาะลิ้นเหมือนไม่ชอบขี้หน้าหมอนี่.. แต่เขาแค่นักเรียนนะ
เธอเป็นถึงอาจารย์ไม่ใช่เหรอ.. แต่เธอก็ยังฝืนอธิบายให้ฉันฟังว่า
“เขาคือองค์ชายน้อยแห่งอาณาจักรระดับกลาง ทางฝั่งเหนือของแดนมนุษย์ เป็นคนที่มีความแข็งแกร่งพอๆ กับเซเลียเลยแหละ แต่เพราะเขาเป็นคนที่พูดเก่งแถมถนัดเวทมนตร์ในการควบคุมจิตใจด้วย ระวังไว้ด้วยล่ะ”
แบบนี้นี่เอง เพราะแบบนี้เธอถึงได้ไม่ชอบสินะ ฉันมองไปที่อีกฝ่ายอีกครั้งก่อนจะหันหน้าไปอีกด้านที่อาจารย์เวโรเน่ชี้ไป
“ส่วนนั่นคือคนจากโรงเรียนเมลต้า พวกเขาได้อันดับสามเมื่อปีที่แล้วก็จริงแต่ก็เกือบจะขึ้นอันดับสองได้ ไม่ได้แพ้หมดรูปเหมือนพวกเราหรือโรงเรียนไลเบอร์ ดูถูกไม่ได้เด็ดขาด ตัวแทนพวกเขามีถึง 28 คน!”
เฮ้ย คนมันจะต่างเกินไปไหมเนี่ย ยี่สิบแปดคนเลยนะ ถ้าการต่อสู้ปีนี้เป็นแบบตะลุมบอนขึ้นมา จะไม่แย่เอาเรอะ
ฉันได้แต่หวังว่าให้เป็นทัวร์นาเม้นทุกรอบ พวกเขาสวมชุดสีเขียวเป็นหลักแต่มีสีขาวเข้ามาแจมและสีดำมาลงสีเป็นลูกเล่นในชุดอีกด้วย
ทำให้มันสวยไปอีกแบบน่ะ แถมได้ยินว่าโรงเรียนนี้ส่วนใหญ่แล้วจะมีเวทมนตร์ของพวกกึ่งมนุษย์เยอะด้วย พอคิดแบบนั้นก็มีสายตาหนึ่งจ้องมาที่ฉัน
ด้วยความสงสัยฉันเลยหันไปมองสายตาที่จ้องมาที่ฉัน เธอเป็นเด็กผู้หญิงที่มีหูยาวออกมาด้วย คงเป็นเอล์ฟนั่นแหละ
“นั่นคือตัวแทนที่แข็งแกร่งที่สุด เธอเป็นผู้ใช้ธนูรุ่นเยาว์ที่เก่งที่สุดเลยแหละ ว่ากันว่าสามารถยิงธนูตามมังกรที่บินหนีได้เลยแหละ”
“ล็อกเป้าน่ะนะ แบบนั้นมันไม่เรียกทักษะยิงธนูแล้วมั้ง!”
ฉันพูดออกไป ก็เล่นล็อกเป้าขนาดนั้นนี่.. ไม่ควรเรียกว่าทักษะธนูเลยนะ ยังไงก็เป็นเวทมนตร์ชัดๆ ไม่ใช่รึไง
อาจารย์เวโรเน่ไม่สนคำพูดฉัน เธอหันไปมองอีกจุดและพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่สงบ
“นั่นคือโรงเรียนเอเรียส มีตัวแทนถึง 35 คน… ปีที่แล้วพวกเขาได้อันดับสองรองจากโรงเรียนโรเซ่เท่านั้น!”
“เยอะไปแล้ว”
นึกภาพไม่ออกเลยว่าโรงเรียนโรเซ่จะมีเยอะขนาดไหนกัน ขณะคิดแบบนั้นฉันก็หันไปตรวจชุดของคนเหล่านี้
ชุดมีธีมหลักคือสีขาวดำเท่าๆ กันไม่เหมือนโรงเรียนไลเบอร์ที่เน้นไปทางสีขาว อีกทั้งชุดโรงเรียนเอเรียสยังมีสีทองเข้ามาผสมโรงด้วย
ทำให้มันดูแตกต่างจากโรงเรียนไลเบอร์ แล้วหลังจากนั้นอาจารย์เวโรเน่ก็สาธยายถึงคนที่เก่งที่สุดในโรงเรียน
ซึ่งมันมีเยอะพอสมควรคนที่ระดับเท่ากัน อย่างผู้หญิงคนหนึ่งที่สามารถควบคุมซากศพและโครงกระดูกได้ด้วย
ว่ากันว่าเธอสามารถควบคุมวิญญาณคนได้ไม่ว่าจะเป็นหรือตาย อาจจะเป็นเด็กหนุ่มที่สามารถใช้เวทเสริมร่างกายจนสามารถแบกเรือยักษ์ได้อะไรแบบนั้น
ซึ่งมีเยอะมาก เอาเถอะมีเท่าไหร่ก็ต้องซัดให้หมดอยู่ดีแหละ ถึงไม่รู้จะชนะหรือเปล่าก็เถอะ และก็มาถึงโรงเรียนสุดท้ายเป็นศัตรูตัวฉกาจของฉัน
“โรงเรียนโรเซ่ โรงเรียนที่ได้อันดับหนึ่งติดต่อกันมาสิบกว่าปี มีตัวแทนที่สามารถลงได้ถึง 100 คน…!”
“100 คนเลยเหรอ..”
ฉันพูดไม่ออกเลย อันที่จริงในห้องโถงนี้ก็มีแต่นักเรียนโรงเรียนโรเซ่ซะส่วนใหญ่ ชุดพวกเขาตรงข้ามกับชุดฉัน
ชุดโรงเรียนลิเบอร์มีสีดำเป็นสีหลักสีแดงมืดเป็นสีรอง แต่ชุดโรงเรียนโรเซ่มีสีแดงเป็นสีหลัก สีดำเป็นสีรอง
“นั่นคือนักเรียนปีหนึ่งที่ว่ากันว่าเก่งที่สุด เขาเป็นคนที่เก่งทั้งเวทมนตร์และวิชาการต่อสู้ระยะประชิด….”
เป็นผู้ชายที่มีหน้าตาดีเหมือนเจ้าชายที่ดูมีภูมิฐานลักษณะท่าทางก็เรียบร้อยดูมีความเกรงใจต่อสถานที่รอบข้าง
แต่ว่าก็ว่าเถอะเพียบพร้อมจนเกินไป เพียบพร้อมจนรู้สึกว่ามันเป็นของปลอมเลยล่ะ ไม่รู้สิฉันคิดแบบนั้นน่ะนะ
แต่ในตอนนั้นเองสายตาฉันก็เหลือบไปเห็นคนคนหนึ่งที่ยืนอยู่มุมห้องของฝั่งที่โรงเรียนโรเซ่อยู่
เธอเป็นเด็กผู้หญิงที่ร่างพอๆ กับฉัน แต่ไอ้ความรู้สึกประหลาดนี่มันอะไรกัน ด้วยความสงสัยฉันเลยใช้เวทขยายการนับรู้เพื่อไปแอบฟังเธอ
เพราะเหมือนว่าเธอกำลังจะพูดอะไรอยู่
“ท่านพี่ ทำไมถึงให้ข้ามาที่แบบนี้ ถึงจะบอกให้มาตามหานังเด็กนั่นก็เถอะนะ แต่ว่ามาให้อยู่กับเด็กๆ ที่ปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมมันน่ารำคาญจะตายชักนะ”
“แล้วก็ไอ้โรงเรียนลิเบอร์นั่นมันก็มีแค่คนเดียวเองไม่ใช่หรือไง มาเสียเที่ยวแล้วนะท่านพี่ แถมไม่ใช่นังเด็กนั่นด้วยนะ”
ฉันถึงกับผงะ ไม่คิดว่าสิ่งที่เด็กคนนั้นพูดจะกำลังพูดถึงเรื่องโรงเรียนที่ฉันอยู่ ในตอนนั้นเองก็เหมือนมีเสียงบางอย่างดังออกมาจากฝ่ามือเธอ
“หืม.. โรงเรียนแบบนั้นยังมีคนที่เหนือกว่าผู้ถือครองหนังสืออีกเหรอ.. น่าสนใจ…”
ในขณะที่พูดแบบนั้นในตอนนั้นเองใต้แขนเสื้อของเด็กผู้หญิงคนนั้นก็มีบางอย่างหล่นออกมากลิ้งไปตามพื้น
เธอรีบเอามือคว้าของทรงกลมนั้นไว้และหยิบมันขึ้นมา ฉันถึงกับผงะทันที เพราะนะ… นะ นั่นมันตาของคน!
ดวงตาฉันที่เบิกกว้างแต่พอเธอใช้มือหยิบลูกตานั้นขึ้นมาฉันก็ดันมองเห็นฝ่ามือที่มีเสียงเปล่งออกมาเข้า..
ตรงนั้นมีริมฝีปากถูกเย็บติดกับฝ่ามือไว้ และดูเหมือนว่าปากนั้นจะเป็นปากที่เปล่งเสียง ทำให้ฉันตกใจและเผลออุทานออกมา
“ห้ะ?!”
ฉันตกใจ รีบถอยหลังออกมาหลบหลังเวโรเน่อย่างรวดเร็ว โชคดีที่เหมือนเด็กผู้หญิงแปลกๆ คนนั้นจะสังเกตไม่เห็นฉันที่ฉันมองเห็นความลับเธอ
ฉันแอบมองไปยังที่เดิม แต่เหมือนว่าเธอจะไม่อยู่แล้ว ฉันถอนหายใจออกมาเบาๆ แต่ในตอนนั้นเอง
“แอบฟังคนอื่นมันไม่ดีนะเออ”
เสียงนั้นดังขึ้นจากหลังฉัน ด้วยความตกใจฉันรีบหันกลับไปพร้อมกับความรู้สึกอันตรายที่เข้ามาใกล้ฉันจึงใช้เวทมนตร์อ่อนๆ โจมตีออกไปด้วย
คลื่นพลังเวทนั้นถูกผลักออกไปแม้จะไม่เยอะแต่ก็เต็มไปด้วยพลังแห่งการแทรกแซงถ้าโดนไปก็คงต้องมีกระอักเลือดบ้าง
เพราะนี่เป็นเวทมนตร์ที่ฉันคิดขึ้นมาเองเพื่อใช้โจมตีศัตรูที่ลอบโจมตีเพราะมันไม่จำเป็นต้องคิดอะไร แต่ทว่าด้านหลังฉันกลับไม่มีอะไรนอกจากความว่างเปล่า
ในวินาทีนั้นฉันรู้สึกเหมือนโดนผีหลอกตอนกลางวันแสกๆ ยังไงยังงั้น ถึงตอนนี้จะมืดแล้วก็เถอะ แต่นี่มันในงานเลี้ยงนะ
ฉันถอนหายใจออกมา.. และงานเลี้ยงก็เริ่มต้นขึ้นโดยมีประธานงานเริ่มกล่าวเปิดงาน…
……….
บนหลังคาของปราสาทมีเด็กผู้หญิงคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับแสดงสีหน้าเหลือเชื่อออกมา…
“ท่านพี่… ข้าเข้าใจแล้วทำไมนังเด็กนั่นถึงไม่ได้เป็นตัวแทน… ยัยเด็กคนนี้.. มันใช้เวทมนตร์ได้เหมือนกับพวกพาลาดินไม่ผิด..”
มุมปากเธอมีเลือดไหลซิบออกมานิดหน่อยก่อนจะยิ้มเบาๆ “น่าสนใจขึ้นมาแล้วสิ..”