การถือกำเนิดจอมมารผู้เหนือโลกที่สิบสาม – ตอนที่ 177

การถือกำเนิดจอมมารผู้เหนือโลกที่สิบสาม

บทที่ 177 – คำว่าเพื่อน

สุดท้ายแล้วฉันก็ไม่สามารถตอบคำถามที่สเตฟานี่ถามออกไปได้.. ใช่ โลกนี้มันไม่เท่าเทียมและไม่ยุติธรรม

แม้แต่ฉันเองก็บิดเบี้ยว.. แปลกปลอม.. ทุกอย่างมันไร้ซึ่งความเท่าเทียม… ฉันถอนหายใจออกมาเบาๆ

“ทุกอย่างเป็นความผิดของพระเจ้าสินะ..”

ฉันพึมพำ.. แต่ว่าความผิดของพระเจ้าเหรอ ถ้าพูดถึงพระเจ้าก็ซิลเวียเหรอ คนแบบนี้เหรอที่มากำหนดความเป็นอยู่ของชีวิตคน

ความเจ็บปวด ความผิดพลาด ทุกๆ อย่างจะเป็นของพระเจ้าจริงๆ เหรอ หรืออาจจะเป็นของคนที่อยู่เหนือกว่านั้นอีกที?

พอคิดแบบนั้นฉันก็นึกถึงคนแก่ชราคนหนึ่งที่พล่ามถึงเรื่องการดำรงอยู่แต่ถึงฉันจะไม่เข้าใจ แต่ฉันก็สัมผัสได้ว่า.. ที่เขาหมายถึงไม่ใช่เทพธิดาแน่นอน

อาจจะอยู่สูงกว่านั้นอีก.. ฉันส่ายหัวเบาๆ จะไปโยนความผิดทุกอย่างให้สิ่งที่ไม่รู้จักไม่เคยสัมผัสมันก็แค่หนีความจริง

แต่ทว่าจะตัดสินว่ามันหนีหรือไม่หนีก็ไม่ได้อยู่ดี เพราะสุดท้ายแล้วมนุษย์เราก็ไม่ได้ถูกกำหนดด้วยเหตุผลแต่ยังหลอมรวมเข้ากับอารมณ์ความรู้สึก

หลังจากนั้นเซเรสก็ตื่นขึ้นมาพร้อมกับงัวเงีย

“เลทิเซีย ทำไมเจ้าถึงมีสองคน สเตฟานี่มีสามคนแน่ะ ประหลาดจัง!”

ยังดีที่เธอไม่ลืมฉัน หลังจากนั้นฟ้าเองก็เริ่มมืดแล้วพวกเราถึงเวลากลับแล้วด้วย ในขณะที่ฉันตัดสินใจจะกลับนั่นเอง

“เลทิเซีย เจ้าจะไปไหนน่ะ!”

“เอ๋ ก็ต้องกลับสิ”

“นี่เจ้าจะบ้าหรือเปล่า นี่เป็นเวลากลางคืนเลยนะ! ข้าได้ยินว่าตอนกลางคืนน่ะมีร้านบางอย่างที่ไม่เปิดในตอนเช้าด้วยนะ!”

เซเรสจับแขนฉันไว้ตอนที่ฉันกำลังจ่ายค่าอาหาร

“แต่ว่า.. ตอนดึกมันอันตรายนะ… อาจจะโดนลักพาตัวเอาได้”

พอฉันพูดแบบนั้น เซเรสก็เบ้ปากทำท่าทางเหมือนไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ฉันพูด อะไรกันมีอะไรให้น่าแปลกใจขนาดนั้นเลยเหรอ?

“เลทิเซียเจ้าเนี่ยน่า ขี้กลัวไปไหนกัน มีข้าอยู่ด้วยทั้งคน!”

เธอชูหน้าขึ้นเหมือนมั่นใจในตัวเองสุดๆ ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่า เพราะจู่ๆ เหมือนฉันเห็นจมูกของเซเรสแหลมออกมาเฉยเลย

สเตฟานี่ที่เองก็เหมือนจะอยากห้ามเซเรส แต่เหมือนจะนึกบางอย่างขึ้นได้ ถ้าให้ฉันเดาคงเป็นเรื่องที่เซเรสอาจจะเหลือเวลาอีกไม่นานนั่นแหละ

อีกอย่างเซเรสกำลังจะกลับบ้านแล้วด้วย กรณีที่แย่สุดเธออาจจะลืมพวกเราและไม่ได้กลับมาอีกเลย

แถมไม่รู้ว่าถ้าหากกลับไปแล้วเซเรสจะได้รับการต้อนรับจากพ่อดีหรือเปล่า ฟังจากที่เธอเล่ามาตอนกินข้าว มันให้ความรู้สึกเหมือนเธอเป็นส่วนเกินของครอบครัวด้วยสิ

ดังนั้น การเที่ยวครั้งนี้อาจจะเป็นการเที่ยวครั้งสุดท้ายของพวกเราด้วย.. ไม่.. ฉันไม่มีทางปล่อยให้เพื่อฉันเป็นอะไรหรอก…

“ข้าก็ขอร้องด้วยอีกแรงนะคะ!”

สเตฟานี่ก้มหัวขอร้องฉัน

“ก็ได้ๆ ไม่ต้องก้มหัวขนาดนั้นก็ได้ พวกเราเป็นเพื่อนกันนี่น่า”

ฉันตัดสินใจแบบนั้น.. เซเรสก็กระโดดดีใจไชโยออกมาซะยกใหญ่ ส่วนสเตฟานี่ก็ยิ้มเชิงขอบคุณมาทางฉัน

ฉันเดินไปหาเซเรสใกล้ๆ จนเธอแปลกใจกับท่าทางของฉัน เธอจึงถามด้วยสีหน้าสงสัยว่า

“เลทิเซีย มีอะไรเหรอ?”

“นี่คือยาที่ฉันสร้างไว้ มีอยู่ประมาณร้อยสองร้อยเม็ด นี่คือยาที่ฉันมีทั้งหมดในตอนนี้ รายละเอียดประเภทของยาถูกเขียนไว้ในถุงแล้ว แล้วก็อย่าไปกินนะ”

ฉันหยิบถุงยาขนาดเล็กออกมา โดยถุงนี้คือถุงวิเศษที่ฉันประยุกต์สร้างโดยทำให้พื้นที่ในถุงมีมิติแยกเหมือนมิติเก็บของฉัน

ขนาดจะเล็กกว่าหน่อย แถมมันใช้หลบเข้าไปไม่ได้เพราะมันเป็นพื้นที่ปิดที่ฉันสร้างลงถุงผ้า ไม่ได้ทำแบบที่ฉันทำซึ่งสร้างไว้ตลอดเวลาด้วยพลังตัวเอง

ดังนั้นมันจึงเป็นพื้นที่ปิดไม่สามารถเข้าออกได้ แต่ก็มีประโยชน์มาก ฉันวางลงบนมือเซเรสจนเธอทำหน้างุนงงออกมา

“นี่คืออุปกรณ์เวทมนตร์.. แหวนนี้สามารถลบล้างเวทมนตร์ที่แทรกแซงธาตุได้ แต่ว่าพอใช้มันจะดูดพลังเข้ามาพอเต็มมันจะใช้งานไม่ได้และพังไปในที่สุด”

“นี่คือสร้อยนาคา พอสวมแล้วจะบินได้แต่จะบินสูงไม่เกินสิบเมตร เวลาเดินทางใช้เจ้านี่จะรวดเร็วมาก แตะพื้นครั้งเดียวก็เดินทางได้เป็นร้อยเมตร”

ฉันพูดพลางหยิบของมากมายจนนับไม่หมดใส่มือของเซเรส… ก่อนจะหยิบชิ้นสุดท้ายออกมา..

“นี่คืออาร์ติแฟ็คชิ้นเดียวที่ฉันมี กำไลฟื้นฟู เป็นของที่ฉันสร้างไว้แต่ไม่ได้ใช้ หน้าที่ของมันจะเปลี่ยนอารมณ์ทุกอย่างให้แปรเป็นพลังเวทเพื่อทดแทนบางอย่างในลักษณะทางกายภาพ ไม่ว่าจะฟื้นฟูทุกอย่าง แม้แต่เพิ่มความแข็งแกร่งหรือเร่งการรับรู้ก็เป็นไปได้..แต่มันต้องดึงเอาอารมณ์ความรู้สึกให้สูงสุดขีดถึงจะทำได้”

“เอ่อ.. คืออะไรนะ..”

เหมือนเซเรสจะฟังหูซ้ายทะลุหูขวา ฉันปวดหัวเล็กน้อย อธิบายยาวไปก็ไม่มีประโยชน์สินะ งั้นก็…

“ใส่กำไลนี้ไว้ตลอดก็พอ ถือเป็นข้อแลกเปลี่ยนที่พวกเราจะเที่ยวด้วยกันในวันนี้นะ!”

“อืม! ก็ได้!”

เซเรสพยักหน้าหงึกหงัก ใส่ปลอกแขนไม่รีรอส่วนอาร์ติแฟ็คถูกยัดไว้ในถุงเก็บของหมดและให้เธอเก็บรักษาไว้กับตัวตลอด

“เอาล่ะ งั้นก็ไปกันเถอะ”

“โอ้!!”

“ค่ะ”

สเตฟานี่ยิ้มเล็กยิ้มน้อยอะไรไม่รู้ แต่เธอก็พยักหน้าและพวกเราก็เริ่มทัวร์ตอนกลางคืนที่มีคนน้อยลงก็จริง แต่แสงไฟ ร้านขายของบางแห่ง

ที่ลอยเหนือพื้นคนสัญจรทางอากาศก็ยังมีอยู่บ่อยเลยแหละ.. เซเรสมัวแต่รู้สึกทึ่งกับภาพที่งดงามตระการตาซึ่งไม่มีทางเห็นในตอนเช้า

สเตฟานี่ก็เดินเข้ามาชนไหล่ฉัน

“กำไลชิ้นนั้นน่ะ.. ถ้าขายได้ราคามากกว่าทองคำเป็นล้านเหรียญเลยนะคะ.. มันไม่ใช่ของที่หาได้ด้วยเงินเลยก็ว่าได้นั่นแหละค่ะ”

“ฉันสร้างมันขึ้นมาเองน่ะ”

“พอจะเดาได้แหละค่ะ แต่ว่าก็สุดยอดอยู่ดีนะคะ.. แถมยังมอบให้เธอเพราะว่าหากไม่มีฉันตอนเธอหลับ..”

“ใช่.. แค่เธอหลับเธอก็จะแสดงความรู้สึกอารมณ์ทรมานออกมา และกำไลจะเอาความรู้สึกส่วนนั้นไปฟื้นฟูตัวเธอเอง.. หากเธอสร้างบาดแผลให้ตัวเอง”

ฉันอธิบายเหตุผลจริงๆ ที่ให้กำไลไป ฉันเห็นภาพที่เซเรสทรมานมาแล้ว.. ฉันถึงมั่นใจว่าถ้าเป็นเธอต้องใช้สิ่งนั้นได้แน่

เพราะต่อให้อยู่กับฉัน.. มันก็ไม่จำเป็น ถึงจะไม่มั่นใจแต่ฉันสามารถงอกได้แม้แต่แขนเลยมั้งในตอนนี้ …

“ใจดีจริงๆ นะคะ”

“เพื่อนมันก็แบบนี้ไม่ใช่เหรอ?”

ฉันไม่เข้าใจหรอกนะว่าเพื่อนต้องทำยังไง แต่จากการกระทำของชาร์ล็อตที่คอยเป็นห่วงและอยากจะมาปลอบฉัน.. มันคงอารมณ์ประมาณอยากให้เพื่อนหายเศร้า

หายเสียใจ หรือหายเจ็บปวด.. มันไม่ต่างจากความสัมพันธ์พี่น้องเท่าไหร่หรอก.. อาจจะต่างกันแค่เพื่อนคือสายสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นที่ไม่ใช่สายเลือดเดียวกัน

แต่พี่น้องคือสายสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นและเต็มเปี่ยมไปด้วยสายเลือดเดียวกันที่ไหลเวียนอยู่ แต่โดยรวมก็ไม่ต่างกันมาก

“แต่ว่าเพื่อที่เห็นแก่ตัวเองก็มีไม่ใช่เหรอคะ?”

“อืม เป็นแบบนั้นเหรอ แล้วพวกเธอเป็นเพื่อนที่เห็นแก่ตัวหรือเปล่าล่ะ?”

ฉันรู้สึกสงสัยเลยถามออกไปแบบนั้น สเตฟานี่ยิ้มขำๆ ก่อนจะตอบด้วยรอยยิ้ม

“ไม่เห็นแก่ตัวหรอกค่ะ แต่ว่า.. นั่นมันแค่คำพูดข้านะ… เลทิเซียจะเชื่อไห—”

“เชื่อสิ!”

“เอ๋.. ทำไมถึงเชื่อล่ะคะ?”

“ก็พวกเราเป็นเพื่อนกันนี่น่า!”

ฉันตอบออกไปแบบนั้น สเตฟานี่ทำสีหน้าแปลกๆ ก่อนจะพูดขึ้น

“คือว่านะคะ เรากำลังพูดถึงว่า ‘เพื่อน’ มันก็เห็นแก่ตัวกันได้อยู่นะคะ จะมาเชื่อใจเพราะว่าเป็นเพื่อน ถ้าแบบข้าเป็นพวกเห็นแก่ตัวขึ้นมาล่ะ”

“แต่เธอก็บอกเองนี่ว่าตัวเองไม่ใช่คนประเภทนั้น?”

ฉันตอบกลับออกไปด้วยท่าทางงุนงง ก็ฉันงงนี่น่าเธอจะสื่ออะไรเนี่ย เข้าใจยากจัง สเตฟานี่เธอหลุดขำออกมาพลางพูด

“ขอโทษค่ะ.. ข้ารู้สึกผิดขึ้นมาแทนแล้วนะเนี่ย.. คำว่าเพื่อนของเลทิเซียนี่มันหนักแน่นมากเลยนะคะ”

“เอ๋ งั้นเหรอ?”

………

[เพื่อนที่อยู่ตรงหน้าอาจจะเป็นเพื่อนเห็นแก่ตัว แต่เธอปฏิเสธว่าเธอไม่ใช่ และยังมีคนเชื่อคำปฏิเสธนั้นอย่างไม่ลังเล เพราะเป็น ‘เพื่อน’ กันไงล่ะ

เป็นไงล่ะ! หลงรักลูกสาวสุดที่รักคนนี้ของผมกันหรือยังล่ะพวกนาย! จงมาเป็น simp เลทิเซีย เหมือนกับผมเถอะ! น่ารักขนาดนี้! – ผู้เขียน]

การถือกำเนิดจอมมารผู้เหนือโลกที่สิบสาม

การถือกำเนิดจอมมารผู้เหนือโลกที่สิบสาม

Status: Ongoing
เรน ชายหนุ่มผู้มองโลกในแง่ร้ายสุดแสน ดันเป็นบัคจึงไปเกิดใหม่ในต่างโลกพร้อมพรสามข้อได้ แต่ด้วยพรสามข้อบางอย่างในคำขอทำให้เขาเกิดใหม่เป็นผู้หญิงทั้งยังกลายเป็นจอมมารไม่พอยังถูกแม่ตัวเองทิ้งไว้กลางป่าไปเฉยเลย!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท
Close Ads ufanance
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตออนไลน์
Click to Hide Advanced Floating Content สมัคร ufabet
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตฟรีสปิน