บทที่ 181 – หาทางช่วยเพื่อน
“ผู้ย้ายร่าง?”
“หึๆ ไม่ต้องทำเป็นไขสือ พวกผู้กล้าที่กระหายในอำนาจหวังจะทำลายพันธะของมหาปราชญ์เมื่อห้าร้อยปีก่อนและกำจัดปีศาจได้คิดค้นเวทย้ายร่างขึ้นมา”
เลทิเซียหันไปเห็นชายคนหนึ่ง แน่นอนว่าเขาคนนี้คืออดีตนายกรัฐมนตรีของอาณาจักรเวทมนตร์มิราลิสแห่งนี้
เซฟิริส บุคคลที่ทำลายความไว้เนื้อเชื่อใจประชาชนโดยการฆ่าสังเวยคนส่วนน้อยเพื่อคิดค้นวิชาวิปลาสบางอย่างขึ้นมา
แต่ทว่ากลับถูกสังคมประนามในที่สุดและมีนายกคนใหม่ขึ้นมาปกครองประเทศสืบต่อไป
แต่ความพยายามของเขากลับไม่ล้มเลิกตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมาเขาพยายามงมซ้าย หาขวาเพื่อให้แสดงให้เห็นว่าสิ่งที่ตัวเองทำนั้นถูก
แน่นอนว่าเลทิเซียไม่เข้าใจถึงสิ่งที่อีกฝ่ายพูดมา แต่เหมือนอีกฝ่ายจะยังคงพล่ามราวกับว่าความลับของเจ้าข้ารู้หมดทุกอย่าง
“การย้ายร่างนั้นมีต้นแบบมาจากมหาเวทแห่งการถือกำเนิดใหม่ เวทต้องห้ามที่นอกรีตซึ่งแม้แต่เทพธิดาก็หวงห้ามนั่น..”
“แม้ประสิทธิภาพของมันจะอ่อนแอกว่าทั้งพลังเวททั้งความทรงจำบางส่วนจะขาดหายไป แต่ก็สามารถเลือกร่างที่จะสถิตเพื่อผสมพลังเข้าไปในร่างนั้น”
“พอเป็นแบบนั้น จะมีทั้งพลังเวทในอดีตและพลังเวทของร่างใหม่ ท้ายที่สุดวิญญาณร่างเดิมก็จะกลายเป็นส่วนหนึ่งของ ‘ผู้ย้ายร่าง’ ไปในที่สุด”
เขากอดอกเดินเข้ามาพลางพูดหรี่ตามองเลทิเซียเล็กน้อย แต่ท่าทางของเลทิเซียในตอนนี้ก็ยังดูสงบ ไม่สิ พยายามสงบนิ่ง
แน่นอนว่าทักษะการแสดงของเลทิเซียนั้นสุดยอดอย่างแท้จริง ยากที่อีกฝ่ายจะดูออกอย่างแน่นอน
อีกฝ่ายที่คิดว่าเหมือนเลทิเซียไม่สนใจเลย เห็นแบบนี้เขาก็เป็นนักการเมืองมานาน มีการแย่งชิงอำนาจมากมายที่เขาเคยประสบพบเจอ
เขารู้จักวิธีบลัฟใส่ศัตรูอย่างดี เขาจึงพูดต่อว่า
“แต่ว่าทุกอย่างก็นับว่าไม่คุ้มขนาดที่จะเสียร่างเดิมและความทรงจำบางส่วนเพื่อเพิ่มพลังเวทนิดหน่อย.. แต่ว่าเมื่อห้าร้อยปีก่อน..”
“ข้ารู้นะว่า บรรพบุรุษผู้กล้าที่เจ้าสืบทอดพลังต่อกันมาจนถึงปัจจุบัน ถูกเวทผนึกที่มหาปราชญ์ได้ผนึกพลังไว้!”
“นี่แกพูดเรื่องอะไร”
เลทิเซียงงกับสิ่งที่มันพูดจริงๆ แต่อันที่จริงเลทิเซียกำลังนั่งคิดจะช่วยสองคนนี้ด้วยวิธีไหนดี หากเป็นเลทิเซียก่อนหน้านี้
บางทีเธอคงบุ่มบ่ามทำอะไรแน่ เพราะเลทิเซียตลอดมาล้วนถูกอารมณ์ควบคุมอยู่ตลอด.. แต่ตอนนี้เธอพยายามคิดหาวิธีที่ดีที่สุด
“หึๆ ยังจะทำเป็นไขสืออีกนะ.. สงครามสามเผ่าครั้งสุดท้าย มนุษย์ ปีศาจ กึ่งมนุษย์ ได้ทำทวีปลุกเป็นไฟ ในวันนั้น.. วันที่ท้องฟ้าถูกปกคลุมด้วยแสงสีแดงจากมหาเวทของนักปราชญ์ท่านนั้น.. ผนึกก็ได้ปรากฎขึ้นมาผนึก ผู้กล้า จอมมาร.. และราชาแวมไพร์ผู้คลั่งไคล้ในการฆ่าเอาไว้ กดพลังพวกเขาทุกคนให้ต่ำเตี้ยเรี่ยดิน สร้างพาลาดินขึ้นมาห้าคน….”
“และก่อสร้างประเทศนี้ขึ้นมา ก่อนจะหายสาบสูญไป… และพวกเจ้าพวกปีศาจ ต่างตามหาตัวนักปราชญ์เพื่อหวังจะกลับคืนสู่ความแข็งแกร่งที่แท้จริงของตนเอง… หึๆ … คิดว่าข้าเป็นใครกันล่ะ ข้าคืออดีตนายกรัฐมนตรีแห่งประเทศนี้ แค่อดีตของประเทศนี้ทำไมจะไม่รู้ล่ะ?”
เขาพูดอย่างมั่นอกมั่นใจ เลทิเซียคิดตาม อันที่จริงเธอรู้จักคนที่ถูกเรียกว่านักปราชญ์นั่นนานแล้ว
ดูเหมือนตัวตนอันลึกลับของเขาจะสร้างความเปลี่ยนแปลงไปทั่วทั้งทวีปเลยก็ว่าได้ คนที่หยุดสงครามเมื่อห้าร้อยปีก่อน คนที่ก่อสร้างประเทศเสรีภาพ
คนที่สร้างพาลาดิน คนที่สยบจอมมาร ผู้กล้า และพวกกึ่งมนุษย์ซะอยู่หมัด… คนแบบนั้นมีโผล่อยู่ในทุกเรื่องเล่าของโลกนี้เหมือนเทพยดา
แน่นอนว่าอันที่จริงหมอนี่แค่อยากจะโชว์ความรู้ตัวเอง เรื่องที่เขารู้นั้นน้อยมาก เพราะปราชญ์ที่น่าจะตายไปนานแล้วนั้นไม่เหลืออะไรในประวัติศาสตร์หลักเลย
แต่เขาก็เค้นเอาความรู้ทั้งหมดออกมา เลทิเซียยืนฟังเงียบๆ ซึ่งอันที่จริงกำลังคิดแผนช่วย
“ว่าไงล่ะ ผู้กล้าสนใจมาร่วมมือกับข้าหรือเปล่า?”
“หืม?”
เป็นครั้งแรกที่เลทิเซียตอบสนองออกมา มันเลยคิดว่าเลทิเซียอาจจะสนใจขึ้นมาบ้างก่อนจะรีบพูดเร็วปรือ
“เจ้าน่าจะรู้แล้วว่านี่คือเตาปฏิกรณ์เวทมนตร์…แต่เจ้าอาจจะไม่รู้ว่าเตาปฏิกรณ์นี้มีไว้เพื่ออะไร.. ข้าเองก็ไม่รู้หรอกนะว่าผู้ย้ายร่างอย่างเจ้าทำไมถึงพยายามช่วยเด็กพวกนั้น… แต่ว่า.. สนใจจะมาร่วมมือกับข้าไหม ความปรารถนาเจ้าอาจจะเป็นจริงเลยนะ”
เขาพูดออกไปแบบนั้น เขาพอรู้มาบ้างว่าผู้ย้ายร่างนอกจากจะมีผลตามข้างต้นที่เคยว่าไปแล้ว บางคนยังมีลักษณะท่าทางที่ต่างออกไป
ประมาณว่า บางคนก็กลายเป็นคนที่ชอบดูไส้เดือนซะอย่างนั้นอะไรแบบนั้น น่าจะเป็นผลกระทบทางวิญญาณ เซฟิริสเองก็ไม่มั่นใจ เขาเลยคิดว่าคนตรงหน้าอาจจะกลายเป็นพวกชอบเด็กไปละมั้ง
“เตานี้คืออะไร ไม่ต้องมากความ”
“เตานี้น่ะ… มีไว้เพื่อ….. เดินทางข้ามเวลายังไงล่ะ!”
“อะไรนะ?”
เลทิเซียรีบหันไปมองชายคนนี้อีกรอบทันที ครั้งนี้เขาตกใจจริงๆ เขาเองก็เป็นคนประเภทที่ชอบเรื่องวิทยาศาสตร์ หากตอนนี้ไม่ต้องการช่วยเหลือเพื่อนๆ อยู่ละก็
เขาคงต้องรีบถามข้อมูลเบื้องลึกแน่ๆ เซฟิริสยิ้มออกมาเขารู้จักถึงคนประเภทนี้ ประเภทแสวงหาความรู้ไปอีกขั้น
“ข้าน่ะนะ. มีความฝันอยู่.. ข้าตั้งแต่เด็กก็ถูกแบ่งแยกจากท่านพ่อและท่านแม่เสมอ บอกว่าเพราะข้าอ่อนแอ ไม่มีสิทธิ์ที่จะขอร้อง หรือสิทธิ์ของตนเองด้วยซ้ำ”
ทว่าเมื่อเขามาเยือนที่แห่งนี้ ทุกอย่างคือความเท่าเทียม ทุกอย่างสามารถหามาด้วยความพยายามได้ ใช่ สิ่งที่เรียกว่าประชาธิปไตยนี่แหละ
แม้การขึ้นเป็นนายกของเขาจะไม่ขาวสะอาดก็ตาม แต่ทว่าเขาก็นับว่ามันคือความพยายาม และมันคือประชาธิปไตยเข้าข้างตัวเองของเขา
นานวันเข้าเขาก็หลงรักประเทศนี้ อยากทำเพื่อประเทศที่ดี.. เขาจึงคิดจะสร้างสิ่งที่เรียกว่า ‘เตาปฏิกรณ์เวทมนตร์’ ที่มีพลังสามารถเปิด ‘เกท’ ซึ่งสามารถข้ามผ่านกาลเวลาไปในอดีตได้
สิ่งที่เขาต้องการคือ.. ย้อนกลับไปหาท่านนักปราชญ์และพามาปัจจุบันเพื่อไม่ให้ผู้มีพระคุณตายไปอย่างเงียบๆ และสร้างผลประโยชน์ให้คนประเทศนี้
เพราะเขาเชื่อว่าคนทุกคนในประเทศนี้เองก็คงรู้สึกขอบคุณจนอยากจะก้มกราบแทบเท้าท่านนักปราชญ์และให้ท่านมาปกครองดูแลประเทศเป็นแน่
เขาเองก็จะขอบคุณไม่ต่างกัน.. ใช่.. เขาคิดแบบนั้นจนกระทั่งทุกอย่างถูกเปิดเผยและโดนไล่จับกุม
แต่เขาไม่เคยย่อท้อ ตลอดหลายปีที่ผ่านมาเขาทดลอง เขาสร้าง เขาล้มเหลว.. จนกระทั่งในที่สุดก็ได้สิ่งที่เรียกว่า เตาเจาะอุโมงกาลเวลามาในที่สุด…
และนี่คือโอกาสสุดท้ายของเขา.. เขาเปิดปากอธิบายทุกอย่างที่เขารู้ ทุกอย่างที่เขาสร้างมาให้เลทิเซียฟังด้วยความรู้สึกที่ว่าเลทิเซียจะช่วยเขาอย่างแน่นอน
เพราะหากย้อนเวลาสำเร็จ พอย้อนเวลาได้ละก็ผนึกของผู้กล้าเองก็จะหายไปด้วยหากให้ท่านนักปราชญ์ปลดผนึกให้
และเซฟิริสเองก็เชื่อว่าท่านนักปราชญ์นั้นคือคนที่ดีสุดแสนหากขอร้องท่านต้องยอมรับแน่ๆ .. เลทิเซียเองก็เข้าใจว่าผู้ชายคนนี้คือหัวหน้าพวกคนที่ลักพาตัว ‘เพื่อน’ ตัวเอง
หรือก็คือคนตรงหน้าเธอคือคนที่ควรจะตายอีกหนึ่งคน และพอเธอได้เข้าใจถึงโครงสร้างไอ้ของสิ่งนี้เธอก็รู้วิธีช่วยแล้ว
“เป็นแบบนี้เองสินะ…”
“งั้นเจ้าก็—”
“ตายซะ..”
เลทิเซียพูดแบบนั้นเสร็จขาของอีกฝ่ายก็ขาดออกความเจ็บปวดก็วิ่งแล่นมาจากด้านล่างจนทำให้เซฟิริสนอนลงไปกองกับพื้นพร้อมร้องทรมาน
“อ๊ากกกกกกก.. ทำ.. ทำไม.. เจ้า…”
เขาสับสน เขาไม่เข้าใจในตอนนี้นั้นเองสายตาเลทิเซียที่จ้องมาที่เขาไม่ใช่สายตานิ่งสุขุมอีกต่อไป พอเขาจ้องลึกเข้าไปในดวงตานั้นร่างกายพลันสั่นสะท้าน
“เจ้า.. เจ้า..”
เขาพยายามคลานหนี สัญชาตญาณเขาร่ำร้องว่าคนตรงหน้าไม่ใช่คน ไม่ใช่ปีศาจ.. แต่เป็นตัวตนที่เหนือกว่าทุกอย่างในสายตาเขา
มันน่ากลัว น่ากลัวเกินไป.. ความมืดที่แผ่ออกมานั้นแม้จะมีเพียงความบริสุทธิ์ แต่นั่นก็เต็มไปด้วยความความเกลียดชัง
ราวกับมีใบหน้าแห่งความโกรธเกรี้ยวจับจ้องมาที่เขา เขาไม่ใช่คนที่มีจิตใจอ่อนแอ แต่ทว่าเวลานี้ ขณะนี้.. เขาสัมผัสถึงความไร้ก้นบึ้ง
ความรัก ความหึงหวง ความรู้สึกต่างๆ ที่แม้แต่เขาสัมผัสถึงก็กรีดร้องออกมา นี่คือประสบการณ์อันเจ็บปวดที่คนตรงหน้าเคยพบมา
ร่างกายเขาสั่นไม่หยุด…
ความฝัน ความหวัง ความสุข ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาหลายสิบปีกำลังย้อนทวนกลับมา เขากลัว.. ไม่ได้กลัวความตาย…
แต่กลัวสิ่งที่อยู่ตรงหน้า.. นี่คือสิ่งที่คนปกติจะรู้สึก.. หากพบเจอกับ…
“จะ.. จอมมา—”
ก่อนที่จะได้กล่าวจบด้ายเส้นหนึ่งตวัดผ่านคอของเซฟิริสอย่างง่ายดาย
“นายถามสินะ.. ว่าทำไมถึงช่วยสเตฟานี่กับเซเรส… เพราะพวกเธอคือเพื่อน.. ที่ไม่เห็นแก่ตัว…”
เขาได้ยินคำพูดนั้นก่อนที่จะตายดับราวกับว่านั่นคือสิ่งเดียวที่เขาสามารถรู้ได้ก่อนตาย ทุกอย่างของเขาพังทลายลงไป
หวนคืนสู่อดีต.. อดีตที่ไม่น่าจดจำ… อดีตที่เป็นแค่ลูกนอกสมรสที่พ่อตัวเองเป็นขุนนางแม่ตัวเองเป็นสาวใช้
ท้ายที่สุดก็ถูกเมียหลวงรังแกจนตาย.. นั่นคือจุดสิ้นสุดความสุขของเขา… ในตอนนี้เขาอาจจะดีใจหรือเสียใจอยู่ก็ไม่มีคนทราบ
แม้แต่สิ่งสุดท้ายที่อยากจะพูดว่า
“ท่านแม่.. ท่านอยู่สวรรค์ชั้นไหน..”
ก็ล้วนไม่อาจเปล่งออกมาได้.. มันช่างน่าแปลกชีวิตคนเรานั้นยืดยาวจนน่ากลัว.. แต่กลับมอดดับลงไปอย่างง่ายดาย
ไม่ว่าจะเกิดจากความผิดพลาด ความหลงระเริง.. ความสุข.. ความโชคร้าย.. ทุกอย่างล้วนมาอย่างรวดเร็ว จากไปอย่างว่องไวและดับสูญไปในที่สุด
…………
[ถ้าจะให้อธิบายสั้นๆ ตัวเซฟิริสคือผลพวงจากสังคมด้านมืดของโลกใบนี้เลยก็ว่าได้… – ผู้เขียน]