การถือกำเนิดจอมมารผู้เหนือโลกที่สิบสาม – ตอนที่ 182

การถือกำเนิดจอมมารผู้เหนือโลกที่สิบสาม

บทที่ 182 – ลาจากเพื่อน

ฉันหันไปมองทางเตาปฏิกรณ์เวทมนตร์ ดูจากที่เ จ้าหัวหน้ากลุ่มคนพวกนี้พูดก็พอจะเข้าใจหลักการของเครื่องนี้ขึ้นมาก

ถ้าต้องการจะช่วยสเตฟานี่กับเซเรสละก็ ต้องทำลายเครื่องนี้ซะ โชคดีที่มันง่ายแบบนี้ไม่ต้องเสียเวลามากไปกว่านี้

เพราะอีกไม่นานพวกทหารของอาณาจักรนี้คงแห่กันเข้ามา เพราะก่อนที่ฉันจะมาที่นี่ฉันก็แจ้งข่าวให้พวกทหารประจำอาณาจักรไว้แล้ว

การจะทำลายองค์กรน่ะ ไม่ใช่แค่กำจัดผู้นำหรอก ต้องขุดรากถอนโคนมันให้หมด และหากเจ้าเตาปฏิกรณ์เวทมนตร์นี้เป็นของจริงตามที่เจ้านายกคนก่อนอะไรนั่นพูดไว้ละก็

บางทีลูกน้องหมอนี่อาจจะแค้นและใช้เครื่องนี้ย้อนเวลามาช่วยก็ได้ ฉันคิดว่าของสิ่งนี้ควรหายไปด้วย

และโชคดีที่ของสิ่งนี้สมควรจะหายไปเพราะฉันต้องช่วยสเตฟานี่กับเซเรสแต่แรก เอาเข้าจริง ถึงจะไม่ค่อยมั่นใจ

แต่ฉันคิดว่าสิ่งที่ฉันถนัดที่สุดในตอนนี้คงเป็นการทำลายนั่นแหละ พอคิดแบบนั้นก็ทำลายเตาปฏิกรณ์นี้ด้วยเวทมนตร์ทันที

พอเตาปฏิกรณ์เวทมนตร์หายไปทุกอย่างที่ถูกดูดออกไปจากร่างกายก็ถูกส่งกลับคืนมา ไม่ใช่แค่สเตฟานี่กับเซเรส

แต่ทุกคนที่อยู่ที่นี่ก็เหมือนจะได้สติกลับคืนมา และแทบจะในตอนนั้นเองฉันก็ได้ยินเสียงมาจากไกลๆ อาจจะเพราะฉันเสริมการรับรู้และที่นี่เป็นใต้ดิน

ฉันได้ยินละมั้ง เหมือนต้นเสียงจะเป็นพวกกองกำลังทหารที่ฉันได้แจ้งไปก่อนหน้าไม่นานพวกเขาคงเข้ามาถึงตรงนี้

ทางที่ดีฉันควรจะรีบออกไปจากที่นี่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ ด้วย พูดเสร็จแล้วฉันก็ดีดนิ้วเบาๆ หนึ่งครั้งแล้วก็อุ้มสเตฟานี่กับเซเรสหนีออกไป

ถามว่าฉันทำอะไรลงไปน่ะเหรอ ฉันแค่ฆ่าคนที่ฉันจับตรึงไว้ตรงหน้าทางเข้าเท่านั้นแหละ เพราะหากปล่อยไปการที่ฉันหนีก็แทบไม่มีประโยชน์

ดังนั้นต้องฆ่าปิดปาก ส่วนพวกที่อยู่ในคุกก็เห็นฉันในตอนที่ไม่มีสติเลยไม่มีปัญหาอะไร สรุปคือฉันไม่เคยมาอยู่ที่แห่งนี้มาก่อนนั่นเอง

จากอีกทางที่คิดว่าพอจะหนีได้ และก็เป็นอย่างที่คิดมันมีทางหนีทีไร่ออกไปนอกเมืองเสร็จสรรพพร้อมซะด้วย

ฉันใช้ทางหนีนั้นในการหลบหนีออกจากเมืองไปก่อนจะย้อนกลับมาในเมือง ด้วยความเร็วของฉันมันจึงใช้เวลาไม่นานก็กลับมาถึงในเมือง

และหลังจากหาที่ดีๆ ได้ก็วางเซเรสกับสเตฟานี่ลงที่แบกขึ้นหลังมา ถึงพวกเธอจะตัวใหญ่กว่าฉันจนแบกยากก็เถอะนะ

“นี่ๆ ตื่นสิ จะหลับไปถึงเมื่อไหร่”

ฉันเขย่าทั้งสองคน ใช้เวลาไม่นานทั้งสองก็ตื่นจากฝัน พอทั้งคู่ตื่นก็สะลึมสะลือพลางถามฉันด้วยความสับสน

“เอ่อ.. ที่นี่คือ….?”

“ก็หน้าร้านของที่ระลึกไง พวกเธอสองคนดูท่าจะเหนื่อยจนเผลอหลับไป ให้ตายสิน่า พวกเธอเนี่ยหลับไม่ระวังตัวกันเลยนะ!”

ฉันพูดออกไปแบบนั้นก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก ดูเหมือนว่าจะไม่เป็นอะไรมาก เซเรสก็พูดขึ้นด้วยความสงสัย

“นี่พวกเรานอนหลับกันไปนานเท่าไหร่เนี่ย”

“นั่นสิคะ แล้วเลทิเซียไม่ใช่ว่าต้องไปรีบเตรียมตัวสำหรับการแข่งเหรอคะ”

“ก็ใช่อยู่หรอก แต่พวกเธอเล่นมานอนหลับตรงนี้นี่น่า จะให้กลับก่อนก็ไม่ใช่ ฉันเลยนั่งรอน่ะ”

ฉันกาข้ออ้างโกหกไป ถ้าบอกความจริงไปบางทีมีแต่จะทำให้พวกเธอกังวลเปล่า ถึงฉันจะรู้ว่าการโกหกคนสำคัญมันไม่ดีก็เถอะ

แต่ฉันคิดว่าแบบนี้ในตอนนี้มันอาจจะดีที่สุด… หลังจากนั้นสเตฟานี่กับเซเรสก็มองมาที่ฉันด้วยสายตาแปลกๆ

“เลทิเซียนี่ใจดีกว่าที่คิดนะเนี่ย ดูเป็นคนเคร่งเรื่องกฎมากแท้ๆ นะ”

เซเรสพูดพลางเอียงคอสงสัย เอ่อ จะว่าเคร่งเรื่องกฎคือหมายถึงที่ฉันบอกว่าต้องรีบกลับพอตกเย็นใช่ไหม อันที่จริงฉันแค่กังวลว่าจะเกิดเรื่องลักพาตัวอะไรแบบนั้นเฉยๆ นะ

และเหมือนจะเกิดขึ้นไปแล้วด้วย นี่ฉันยังโชคดีที่พวกมันส่งลูกน้องกลับมาดูที่เกิดเหตุด้วย ไม่งั้นแล้วมีหวังฉันคงต้องรื้อหาทั้งเมือง

และพอเป็นแบบนั้นคงสายเกินแก้ปแล้ว เตาปฏิกรณ์สร้างเสร็จพลังเวทมนตร์และสูตรเวทมนตร์ถูกใช้งานจนเอากลับคืนไม่ได้

พอคิดแบบนั้นก็รู้สึกว่าน่าจะเอาคืนให้หนักกว่านี้อีก.. ไม่สิ แบบนั้นดูก้าวร้าวไปอีก ฉันติดนิสัยนี้มาจากใครเนี่ย

“เอ่อ ยังไงก็ขอบคุณนะคะ แล้วก็ขอโทษนะคะ..”

สเตฟานี่ต่างจากเซเรสเธอรู้สึกผิด หลังจากนั้นทุกอย่างก็ตกอยู่ในความเงียบ และไม่นานห่างไกลออกไปก็มีเสียงระเบิด

และเสียงต่อสู้ ก่อนจะมีม่านบาเรียขึ้นมาครอบบริเวณนั้นไว้อย่างรวดเร็วดึงดูดสายตาของทั้งสองไปทันที

“นั่นมันอะไรกันคะ?”

“รู้สึกว่าจะจับผู้ก่อการร้ายกันอยู่มั้ง”

“ก่อการร้ายคืออะไรอ่ะ?”

ฉันอธิบายที่สเตฟานี่สงสัย และเซเรสผู้เหมือนจะไม่สนบรรยากาศรอบข้างก็ถามออกมาด้วยความสับสน เพราะเธอเหมือนจะไม่รู้จักจริงๆ

ฉันรับหน้าที่อธิบาย

“ผู้ก่อการร้ายก็คือคนที่จะทำให้คนอื่นเดือดร้อนไงล่ะ”

“แล้วทำยังไงถึงจะเป็นการทำให้คนอื่นเดือดร้อนล่ะ?”

“นั่นสินะ ก็คงเป็นการทำให้คนอื่นลำบากใจหรือคนส่วนมากไม่พอใจละมั้ง?”

ฉันเองก็ไม่เข้าใจหรอกแต่การทำให้คนอื่นเดือดร้อนสำหรับฉันคือถ้าฉันรู้สึกเป็นเดือดเป็นร้อน แบบที่พวกมันลักพาตัวเพื่อนฉัน

แบบนี้แหละมันคือการทำให้คนอื่นเดือดร้อน แน่นอนว่าไม่ใช่สำหรับฉัน คนอื่นๆ ที่อยู่ในคุกก็คงเดือดร้อนเช่นกัน ใช่ แบบนี้แหละถึงเป็นพวกผู้ก่อการร้าย

“แบบนี้นี่เอง”

“เพราะงั้นพวกเราควรรีบกลับกันเถอะ อยู่ตรงนี้หากมีผู้ก่อการร้ายหลุดออกมาจะแย่เอา”

“อืม”

คราวนี้ทุกคนเห็นด้วยกับฉัน แต่ในตอนนั้นเองร่างกายของเซเรสก็หยุดชะงักลง เธอเงยหน้าขึ้นไปมองท้องฟ้า

ก่อนที่ฉันจะหันไปปมองตาม พร้อมกับสเตฟานี่ ในตอนนั้นเองบนท้องฟ้าก็มีนกกระดาษตัวหนึ่งบินมาจากไหนไม่รู้

นี่คงเป็นอุปกรณ์สื่อสารระยะไกลอีกรูปแบบหนึ่งที่ถูกเรียกว่านกกระดาษสื่อสาร เป็นอุปกรณ์เวทมนตร์ราคาไม่แพงมาก แต่ว่าก็สามารถใช้สื่อสารทางไกลได้

แม้จะใช้เวลาค่อนข้างนานก็ตาม นกกระดาษตัวนั้นบินมาตกอยู่ในมือของเซเรส เธอเอียงคอด้วยความสงสัย

“นี่มันอะไรเนี่ย กระดาษพับนก?”

“นี่คือนกกระดาษสื่อสารค่ะ คงเป็นของท่านพ่อของเซเรสนั่นแหละ บางทีพ่อของเซเรสอาจจะกำลังตกอยู่ในที่นั่งลำบากอยู่ก็ได้นะคะ เพราะของสิ่งนี้มันแพงมาก และเร็วกว่าการส่งจดหมายปกติอีกค่ะ”

สเตฟานี่ว่าแบบนั้นน่ะนะ แต่ว่าแพงเหรอ ก็ไม่ได้แพงขนาดนั้นไม่ใช่เหรอ อืมแต่เอาเป็นว่าครอบครัวของเซเรสกำลังลำบากสินะ

เซเรสยังคงเอียงคอด้วยความสงสัย แต่หลังจากที่เธอคิดดอยู่สักพักเธอก้เหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ก่อนทที่จะหันหน้ามาทางฉัน

“นี่คือสิ่งที่เลทิเซียสอนฉันสินะ ฉันเข้าใจสิ่งที่ตัวเองต้องทำแล้วล่ะ!! ไม่สิ ฉันจำมันได้แล้วล่ะ ขอบคุณนะ!!”

“เอ๊ะ???”

ฉันได้แต่เอียงคอด้วยความสงสัยให้กับท่าทางของเซเรสแต่เหมือนเธอจะมีความสุขก็คงดีแล้วล่ะมั้ง

หลังจากนั้นเซเรสก็เปิดอ่านจดหมาย พวกเราไม่ไดถามถึงเนื้อหาในจดหมาย แต่พอเธออ่านจดหมายเธอก็ยิ้มออกมา

“นี่สเตฟานี่ เลทิเซีย… ข้ามีเรื่องอยากถามพวกเจ้าสักหน่อยน่ะ”

“อะไรเหรอคะ”

คนที่พูดคือสเตฟานี่ เซเรสก็พูดต่อทันทีว่า

“สำหรับพวกเจ้าแล้วครอบครัวสำคัญหรือเปล่าสำคัญมากกว่าคนอื่นหรือเปล่า พวกเจ้าอยากจะทำให้พวกเขาเดือดร้อนหรือเปล่า”

“แน่นอนว่าครอบครัวสำคัญที่สุด”

ฉันกับสเตฟานี่พูดขึ้นมาแทบพร้อมกัน ฉันเองก็ตกใจที่สเตฟานี่พูดเหมือนกับฉัน และดูเหมือนเธอเองก็ตกใจเช่นกัน

อันที่จริงสำหรับฉันคำว่าเพื่อนนั้นเป็นอันดับสองรองจากครอบครัวนะ เพราะสำหรับครอบครัวนั้นเชื่อมต่อไว้ด้วยเลือดไงล่ะ

“แน่นอนว่าการทำให้ครอบครัวเดือดร้อนน่ะ.. คือสิ่งที่ผิด.. ไม่ควรทำ…โดยเด็ดขาด”

คำพูดต่อมาของฉันเหมือนไม่ได้พูดกับเซเรสแต่พูดกับตัวเอง หวนนึกถึงตอนที่ตัวเองทะเลาะกับเลวี่ก็อดที่จะรู้สึกว่า

ตัวฉันช่างเห็นแก่ตัว ทำให้เลวี่เดือดร้อนอยู่เรื่อยดังนั้นฉันไม่อยากให้เพื่อนที่สำคัญของฉันรู้สึกแบบเดียวกับตัวเอง

“งั้นเองสินะ ขอบคุณมากนะ เลทิเซีย สเตฟานี่ก็ด้วย งั้นข้าคงต้องไปแล้วล่ะ แต่ข้าสัญญาว่าพวกเราจะต้องได้กลับมาเจอกันอีกครั้งแน่นอน ฉันสัญญา”

การถือกำเนิดจอมมารผู้เหนือโลกที่สิบสาม

การถือกำเนิดจอมมารผู้เหนือโลกที่สิบสาม

Status: Ongoing
เรน ชายหนุ่มผู้มองโลกในแง่ร้ายสุดแสน ดันเป็นบัคจึงไปเกิดใหม่ในต่างโลกพร้อมพรสามข้อได้ แต่ด้วยพรสามข้อบางอย่างในคำขอทำให้เขาเกิดใหม่เป็นผู้หญิงทั้งยังกลายเป็นจอมมารไม่พอยังถูกแม่ตัวเองทิ้งไว้กลางป่าไปเฉยเลย!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท