บทที่ 188 – การแข่งขันรอบสอง
ถึงโคลเอ้จะบอกงั้นก็เถอะ แต่ว่าถ้าหากฉันต้องป้องกันตัวขึ้นมามันคงยากที่จะไม่ทำให้ศัตรูตาย แต่ทำไมเธอถึงมีท่าทางแปลกๆ แบบนั้นนะ
ในขณะที่คิดแบบนั้นฉันก็มองไปที่โคลเอ้ที่เดินจากไปไกลแล้ว ฉันถอนหายใจออกมาเบาๆ เก็บเอาไว้คิดทีหลังก็ได้มั้ง
ในขณะที่คิดแบบนั้นฉันก็เลือกที่จะกลับไปวางแผนต่อ แต่ไม่รู้ว่าบังเอิญหรืออะไรฉันก็หันไปเห็นสเตฟานี่พอดี
เหมือนเธอกำลังคุยกับอาจารย์อยู่นะ ตอนที่ฉันเห็นเธอก็เหมือนจะคุยเสร็จพอดี
เธอก้มหัวขอบคุณอาจารย์อยู่สองสามครั้ง แต่อาจารย์คนนั้นก็ยกมือหยุดด้วยท่าทางเกรงใจ และในตอนที่เธอแยกจากอาจารย์เธอก็หันมาเห็นฉันพอดี
“เลทิเซีย มาทำอะไรที่นี่เหรอ?”
เธอเดินเข้ามาทักถามด้วยสีหน้าสงสัย ฉันก็ส่ายหัวพลางตอบออกไปว่า
“ฉันมาหาเลวี่น่ะ แต่ว่าเมื่อกี้คุยอะไรกับอาจารย์เหรอ?”
“เรื่องนั้นงั้นเหรอคะ”
เธอคิดอยู่สักพักหนึ่งเหมือนกำลังคิดว่าจะบอกฉันดีหรือเปล่างั้นแหละ เอ่อ หรือว่าฉันไม่ควรถามเนี่ย
ก็มีแบบบางคำถามที่สงสัยแต่ไม่ควรถามอยู่นี่น่า มีคนเคยบอกไว้แบบนั้นแหละ หรือว่าเมื่อกี้ไม่ควรถาม
พอคิดแบบนั้นได้ฉันเลยรีบพูดต่อ
“เอ่อ ถ้าตอบไม่ได้ก็ไม่เป็นไร”
“ไม่ใช่แบบนั้นหรอกค่ะ คือพอดีว่าที่บ้านฉันติดต่อมาหาข้าน่ะ พอดีมีเรื่องนิดหน่อยน่ะ เลยต้องให้ข้ารีบกลับไปน่ะ”
อืม แบบนี้นี่เอง เอ๊ะแบบนั้นอย่าบอกนะว่าเธอเองก็ต้องกลับบ้าน เดี๋ยวสิ สเตฟานี่กลับบ้าน เลวี่กลับโรงเรียน เซเรสเองก็กลับไปหาพ่อ
ส่วนชาร์ล็อตก็หายตัวไป ทำไมทุกคนดูยุ่งสุดๆ เลยล่ะ ขณะที่คิดแบบนั้นสเตฟานี่ก็ก้มหัวขอโทษฉันด้วยเหตุผลอะไรก็ไม่รู้
แต่จากสีหน้าเธอที่ดูเครียดๆ แล้วบางทีคงมีปัญหาบางอย่างละมั้ง
“เพราะงั้น ข้าต้องขอโทษด้วยที่อยู่ดูเจ้าจนจบไม่ได้นะ แต่ฉันสัญญาว่าจะดูเจ้าอยู่ที่บ้านอย่างแน่นอน”
“ไม่เป็นไรหรอก แต่ว่าดูเหมือนจะเป็นธุระเร่งด่วนสินะ จากสีหน้าน่ะ แล้วจะกลับยังไงเหรอ? มันไกลไม่ใช่เหรอ”
“อาจารย์อนุญาตข้ากลับแล้วล่ะ ส่วนวิธีทางโรงเรียนจะช่วยน่ะ”
แบบนี้นี่เองสินะ ฉันพยักหน้าแต่ด้วยความที่เธอดูจะมีปัญหาฉันก็อยากจะช่วยหลายๆ อย่างเหมือนกัน
แต่เพราะฉันไม่มีของอะไรแล้ว พอคิดแบบนั้นก็รู้สึกว่าตัวเองเตรียมตัวมาไม่ดีพอ คราวหน้าคงต้องเตรียมตัวมากกว่านี้แล้วสิ
สเตฟานี่เหมือนรู้ว่าฉันคิดอะไรอยู่เธอก็รีบพูดขึ้นมา
“ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ นี่คือปัญหาของข้า ของครอบครัวข้า บอกไปแล้วไม่ใช่เหรอคะว่า ฉันไม่ใช่เพื่อนที่หวังจะเอาผลประโยชน์จากเลทิเซียน่ะ”
“แต่นี่ฉัน…”
“ไม่เป็นไรค่ะ อย่างน้อยก็ช่วยเชื่อใจเพื่อนคนนี้สักหน่อยนะคะ เห็นแบบนี้ข้าก็เป็นถึงมหานักเวทเทียมเลยนะคะ!!!”
ฉันเอียงคอกับท่าทางของเธอ ว่าแล้วเธอก็หยิบหนังสือเล่มหนึ่งออกมาโชว์ฉัน โอ้ นี่มัน… แค่มองแวบเดียวก็รู้เลยว่านี่คือ
คัมภีร์รูน!!!
นี่คือสิ่งที่มีแต่สำหรับมหานักเวทที่เป็นรองแค่จอมเวทระดับพาลาดิน แล้วทำไมเธอถึงมีมันล่ะ หรือว่าเธอจะเป็นมหานักเวท?
แต่เมื่อกี้เธอบอกว่าเป็นของเทียมนีน่า เทียมน่ะหมายถึงอะไรนะ ก๊อบปี้มาเหรอ แต่ว่าคัมภีร์แบบนี้มันก๊อบปี้ได้ที่ไหนล่ะ
ในขณะที่กำลังสับสนอยู่นั้นเอง สเตฟานี่ก็อธิบาย
“นี่คือคัมภีร์ของตระกูลข้าน่ะ เพราะเจ้าสิ่งนี้แหละข้าถึงสามารถเรียนโรงเรียนเดียวกับเลทิเซียได้ เพราะงั้นไม่ต้องเป็นห่วงหรอก”
“อืม งั้นเหรอ.. แต่ว่าปัญหาที่บ้านนี่คือปัญหาอะไรเหรอ บอกฉันได้ไหม”
“เอ่อ.. มันค่อนข้างจะน่าอายหน่อยๆ น่ะ.. แต่คือพอดีว่าสุนัขที่บ้านข้ากำลังแท้งลูกน่ะ ข้าอุตส่าห์เลี้ยงมาสี่ปีเลยนะ สี่ปี!!”
“ห้ะ แค่นั้นเหรอ?”
“ไม่ใช่แค่นั้นสักหน่อยนะ!! ฉันมีคัมภีร์นี้อยู่ด้วยฉันอาจจะช่วยมันได้เพราะงั้นต้องรีบกลับน่ะ”
อะไรกันเนี่ย ก็คิดว่าเป็นปัญหาทางการเงินหรืออะไรทำนองว่า ตระกูลเข้าสู่วิกฤตอะไรแบบนั้น แต่ไม่ใช่สินะ
เฮ้อ แล้วเธอจะทำหน้าซังกะตายแบบนั้นทำไมเนี่ย ไม่สิ หรือว่ามันปกตินะ ก็เพราะฉันไม่เคยเลี้ยงสุนัขก็ไม่รู้หรอกว่ามันสำคัญยังไง
หรืออาจจะเป็นเพราะฉันยังมองโลกในแง่ร้ายเกินไปอยู่อีก ให้ตายสิอุตส่าห์กำลังจะเปลี่ยนแปลงตัวเองแท้ๆ แต่ก็กลับมามองร้ายเหมือนเดิมแล้วเนี่ย
ฉันคิดไปไกลเกินไปเองสินะ พอคิดได้แบบนั้นก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ ฉันยิ้มให้
“งั้นก็หวังว่าเธอจะช่วยมันได้นะ”
“อืม ขอบคุณที่เป็นห่วงนะ อ๊ะ ข้าว่าข้าต้องไปแล้วล่ะ ไว้เจอกันนะ”
ฉันพยักหน้าให้สเตฟานี่แล้วเธอก็เดินจากไป เมื่อไม่มีอะไรให้หนักหัวแล้วฉันก็กลับที่พักของตัวเองพร้อมกับคิดมาตรการรับมือกับเหตุการณ์ต่อจากนี้
และก็ด้วยเช่นนี้เวลาก็ผันผ่านไปอย่างรวดเร็วผลการจับคู่ก็ถูกป่าวประกาศก้องไปให้คนทั้งทวีปได้รู้ว่าทีมไหนปะทะทีมไหน
ทีมไหนปะทะกับทีมไหนบ้างเหรอ ฉันไม่มีเวลาไปสนใจของพรรค์นั้นหรอก เพราะทีมที่ฉันต้องเจอคือทีมโรงเรียนโรเซ่
ทีมห้าคนที่ได้ยินข่าวว่าพวกเขาที่อยู่ในทีมนี้ ในรอบแรกจัดการคนอื่นจนได้คะแนนมาไม่ต่ำกว่าห้าพันคะแนนเชียวล่ะ
นี่ยิ่งทำให้ฉันรู้สึกเครียดยิ่งกว่าเดิม บางทีพวกนี้ถ้าหากฉันไม่ได้มีคะแนนเริ่มต้นที่หมื่นคะแนนคงชนะพวกเขาไม่ได้เลย
เพราะเขามีคะแนนเริ่มต้นที่แค่ร้อยคะแนน แต่หาถึงห้าพันหกพันได้ หมายความว่ามันเยอะกว่าฉันอีกนั่นเอง
ใช่แล้วจะประมาทไม่ได้เด็ดขาด แถมคราวนี้ห้ามใช้อาวุธ แต่ใช้พันธสัญญาโซลได้ ฉันเสียเปรียบมากในครั้งนี้
ดังนั้นก่อนเริ่มฉันจึงเตรียมร่างกายให้พร้อมในการรบ สำหรับโรงเรียนโรเซ่สำหรับทีมห้าคน และก็ด้วยประการเช่นนี้
วันแข่งขันก็มาถึง พวกเรามายืนอยู่บนลานประลองขนาดใหญ่ไม่รู้ว่ามีคนแกล้งฉันอยู่หรือเปล่า ทีมแรกที่ต้องสู้คือโรงเรียนลิเบอร์ทีมฉันต้องเจอกับโรงเรียนโรเซ่
พอเสียงประกาศดังขึ้นทุกคนก็พากันตื่นเต้นเข้าไปใหญ่
“โอ้ สู้เข้าล่ะแม่หนูหมื่นคะแนน”
“กรีด องค์หญิงเลทิเซียพยายามเข้านะคะ”
ทุกคนเชียร์ฉันเฉยเลยซะงั้น ฉันที่กำลังสับสนฝั่งศัตรูก็เดินขึ้นมามีศัตรูอยู่มากหน้าหลายตา
ผู้ชายสาม ผู้หญิงสองคน นั่นคือศัตรูของฉันในขณะที่ฉันมองดูคู่ต่อสู้ สายตาก็หันไปเห็นเด็กผู้หญิงคนหนึ่งเข้า ฉันถึงกับตกใจเมื่อเห็นหน้าเธอ
“เธอ…”
“สวัสดี ข้าชื่อเลมิส ยินดีที่ได้รู้จัก”
เธอทักทายฉัน แต่ฉันต้องถอยหลังไปหลายก้าวด้วยสัญชาตญาณ หากสงสัยว่าทำไมฉันถึงมีท่าทางแบบนี้ เด็กผู้หญิงตรงหน้าฉันคือ..
คนเมื่อตอนนั้นที่มีปากติดอยู่บนฝ่ามือในงานเลี้ยงนั้น ว่าแล้วเชียว มีตัวตนอยู่จริงๆ สินะ ฉันสัมผัสได้ถึงอันรายจากเธอชัดเจน
“อ่าว เลมิสจังรู้จักกับองค์หญิงผู้สูงส่งด้วยงั้นเหรอ”
คนที่พูดขึ้นคือชายที่มีหน้าตาค่อนข้างหล่อเหลา ส่วนชื่อช่างมันเถอะ ลืมไปแล้ว เด็กที่ชื่อเลมิสแค่ยิ้มไม่ได้ตอบ
“เอาล่ะ วันนี้เราสายมามากพอแล้ว ข้าไม่ขอมากความใดๆ เริ่มต้นการแข่งขันได้”
“คู่แรก เลทิเซียพบกับไคลน์ ทั้งคู่โปรดขึ้นสนามทันที”
กรรมการประกาศขึ้นทันที ฉันเองก็ก้าวขึ้นสนาม คู่ต่อสู้คนแรกของฉันเป็นผู้ชายที่มีร่างกายแข็งแรง ไม่ได้มีร่างกายใหญ่โตอะไรหรอก
แต่เหมือนฝึกมาเยอะ ตรงหน้ามีแผลรอยดาบฟันผ่านหน้าดูเหมือนนักรบซามูไรอะไรทำนองนั้นเลยแหละ
ที่เอวเหมือนจะมีดาบจูชินอยู่ด้วย แต่ว่าพอก้าวขึ้นสนามตามมากรรมการสาวคนหนึ่งก็พูดขึ้น
“เดี๋ยวก่อน ท่านไคลน์ การแข่งขันห้ามใช้อาวุธนะ”
“ฉันไม่ใช้หรอก แค่ติดมันไว้แล้วรู้สึกสบายน่ะ”
“ห้ามดาบเอาขึ้นไปด้วยนะคะ”
พอกรรมการพูดแบบนั้นผู้ชายที่ชื่อไคลน์ก็ขมวดคิ้วจนกรรมการสาวคนนั้นยังรู้สึกกลัว ฉันเองก็สัมผัสว่าตาเขาน่ากลัวพอสมควรนะเนี่ย
“ทำไมล่ะ”
“กฎค่ะ”
“ไม่ได้จริงๆ เหรอ”
“ไม่ได้ค่ะ”
“ไม่ได้แบบไม่ได้จริงๆ เลยอย่างนั้นเหรอ”
“ไม่ได้แบบไม่ได้ค่ะ”
ในตอนนั้นเองคนที่ฟังการสนทนาอยู่ก็พากันแปลกใจ ฉันเองก็แปลกใจท่าทางที่ดูเซ้าซี้นั่นมันอะไร ไม่สมกับหน้าตาเลยแฮะ คิดไปเองมั้ง
กรรมการสาวเริ่มเหงื่อไหล
“เอ๊ะ ทำไมอ่า ข้าแค่อยากเอาจูนิจิของข้าขึ้นไปด้วยเฉยๆ เองนะ เขาไม่ทำผิดหรอก เขาเป็นเพื่อนรักของข้า เพราะงั้นอย่าห้ามเขาเลยนะ”
ท่าทางที่ดูขึงขังหายไปกลายเป็นเหมือนเด็กงอแงจะเล่นกับดาบซะอย่างนั้น ทุกอย่างเงียบกริบลงไปในทันที
แล้วไอ้หน้าดุเมื่อกี้หายไปไหนแล้วอ่ะ?