บทที่ 193 – เวทไร้ตรรกะ
“นั่นคือสิ่งที่เจ้าเลือกสินะ”
อีกฝ่ายพูดขึ้นด้วยเสียงที่เบาหวิว ก่อนที่จะถอนหายใจออกมาพร้อมกับจ้องมองไปที่เลทิเซียด้วยสายตาดูถูก
สำหรับเธอที่เป็นผู้ย้ายร่างมาถึงแปดรอบแล้วนั้น แม้ผนึกเมื่อห้าร้อยกว่าปีก่อนยังไม่ได้หายไปโดยสมบูรณ์ก็ตามที
แต่หากว่ากันตามตรงแล้ว พลังเธอในตอนนี้มีมากกว่าในอดีตอีก นั่นเป็นเพราะว่าเธอได้ย้ายร่างมาแล้วแปดครั้ง
หรือก็คือเธอได้รับพลังของคนแปดคนมาแล้วนั่นเอง เธอคิดว่าหากผนึกหายไป ต่อให้เป็นผู้กล้าในยุคสงครามก็คงสู้เธอไม่ได้
นั่นไม่ต้องพูดถึงพวกจอมมารที่กล่าวได้ว่ามีพลังทัดเทียมกับผู้กล้าเลย อย่างที่ทราบว่าทุกครั้งที่สืบทอดพลัง
จะทำให้พลังนั้นเสื่อมสภาพลงอย่างมากมหาศาล เธอที่เป็นรุ่นสามนั้นไม่มีทางเทียบเคียงรุ่นแรกในสมัยสงครามได้แน่นอน
แต่ว่าหากผนึกสลายหายไป และผสมกับร่างกายของคนทั้งเก้า ยิ่งไม่ต้องพูดถึงร่างกายที่เก้าคือร่างกายที่สามารถใช้ได้ทั้งเวทมนตร์มนุษย์และปีศาจ
นั่นเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมเธอถึงไม่เกรงกลัวบิดามารดาของเลทิเซียที่เป็นถึงผู้กล้าเลย เพราะหากเธอมีพลังของเลทิเซียแล้ว
บางทีตัวตนของเธออาจจะอยู่เหนือทุกอย่าง นั่นคือแผนการที่เธอคิดขึ้นมาได้เมื่อพบเจอกับสัตว์ประหลาดแบบเลทิเซีย
แน่นอนว่าเธออาจจะไม่สามารถชนะเรื่องพลังเลทิเซียได้ แต่ยังไงซะเธอก็อายุหลักร้อยถึงสามร้อยปีเลย
เธอเองก็ไม่ได้น้อยประสบการณ์แต่อย่างใด ดังนั้นเมื่อเลทิเซียโจมตีออกมานั้นเอง ในฐานะที่เป็นผู้กล้าแห่งมหาเวทเธอจ้องไปที่หลุมดำขนาดเล็กที่พุ่งมา
“แต่ว่าของแบบนี้น่ะ ข้าละอยากรู้จริงๆ ว่าเจ้าใช้หลักการสูตรเวทแบบไหนสร้างมันขึ้นมา”
มือขวาของเลมิสทาเรียยกขึ้นคว้าจับเอาหลุมดำก่อนที่หลุมดำเล็กนั้นจะสลายหายไปคามือของเลทิเซีย
ฟื้นฟูโครงสร้างความเป็นจริง นั่นคือสิ่งที่เลมิสทาเรียใช้ ใช่ เหล่าผู้กล้านั้นอาจจะไม่ใช่พาลาดินที่มีพลังแห่งคัมภีร์หรืออะไรทั้งสิ้น
แต่ถ้าเป็นผู้กล้ามหาเวทละก็ เธอสามารถแทรกแซงความเป็นจริงตรงหน้าและแปรเปลี่ยนให้เป็นตามความนึกคิด โดยไร้ซึ่งตรรกะข้อบังคับได้
จะว่าง่ายๆ เลยก็คือเธอคือผู้ชนะทางผู้ใช้เวทนั่นแหละ หากเป็นนักรบเธออาจจะไม่สามารถลบล้างสิ่งที่ไร้ซึ่งตรรกะ ให้ไร้ตรรกะได้
แต่เวทมนตร์ต่างๆ ประกอบขึ้นจากตรรกะ แนวคิด ความรู้ พลังของเธอคือเวทมนตร์ที่สามารถ ทำให้ตรรกะทั้งหมดที่ว่ามาเป็นแค่เรื่องไร้ตรรกะ
ไม่มีเหตุผลใดๆ มาอ้างอิงความสามารถของเธอ เลทิเซียหรี่ตาลงทันทีที่เห็น ดูเหมือนว่าเธอจะเข้าใจความสามารถอีกฝ่ายทันที
เพราะในชั่วพริบตาที่หลุมดำหายไปก็ไม่มีปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นผ่านทางเวทมนตร์หลงเหลืออยู่อีกแล้ว ใช่ มันไร้ซึ่งตรรกะแบบนั้นนั่นเอง
และนั่นแหละคือพลังของศัตรูตรงหน้า บางทีอีกฝ่ายอาจจะไม่แข็งแกร่งเท่าหมึกยักษ์นั่นเลยด้วยซ้ำ แต่ว่าความสามารถของอีกฝ่ายก็ทำให้เลทิเซียขมวดคิ้วเป็นปม
“เจ้านี่ฉลาดจริงๆ ไม่คิดว่าจะมองเวทมนตร์ของข้าออกได้ในทันที แต่ก็นะสำหรับเผ่าปีศาจมากพลังเวทอย่างพวกเจ้าคงไวต่อสัมผัสเวทมนตร์คงรู้ได้ทันทีนั่นแหละ ใช่ พลังของข้าคือ มหาเวทหักล้างสมบูรณ์แบบ”
เธอยิ้มขึ้นราวกับว่านี่แหละคือความไร้เทียมทานของตนเอง บางที นี่คงเป็นสิ่งที่ทำให้อีกฝ่ายมั่นใจนัก มั่นใจหนาสินะ นั่นคือสิ่งที่เลทิเซียคิดในตอนนั้น
ในขณะที่เลทิเซียคิดแบบนั้น เจ้าตัวก็พูดต่อว่า
“อีกทั้งมันยังสามารถเอามาใช้แบบนี้ได้ด้วยนะ”
ว่าแล้วเธอก็จ้องไปที่หน้าอกเลทิเซียก่อนที่จะมีพลังงานไม่เห็นพุ่งออกมาจากร่างกาย
“อั้ก”
จู่ๆ เลทิเซียก็ปลิวไปด้านหลังอย่างรุนแรงโดยไร้ซึ่งการป้องกัน จนแทบจะร่วงจากสนามแข่ง
หากร่วงจากสนามแข่งละก็เธอต้องแพ้แน่นอน ในขณะที่กำลังจะหยุดนั่นเองเสียงของอีกฝ่ายก็พูดขึ้น
“กล้ามเนื้อไร้เรี่ยวแรง”
ร่างกายของเลทิเซียก็อ่อนปวกเปียกลงกะทันหันจนไม่สามารถหยุดยั้งการปลิวได้ ในขณะที่คิดว่าร่วงแน่ๆ นั่นเอง
ร่างเลทิเซียก็กระแทกใส่อากาศจนร่วงตุบลงพื้น เธอกระอักเลือดออกมา เวทมนตร์ภายในตัวหมุนเวียนฟื้นฟูอาการบาดเจ็บและความเหนื่อยล้าของกล้ามเนื้อ
ที่เหมือนจะเกิดจากฝีมืออีกฝ่าย แถมด้านหลังยังเหมือนมีกำแพงล่องหนอยู่ด้วย เลทิเซียไอเป็นเลือดออกมาพลางพึมพำด้วยความตกใจ
“นั่นมันอะไร..”
เธอพึมพำด้วยความสับสน อีกฝ่ายก็เดินเข้ามาพลางพูดอธิบายสบายๆ ดูท่าบางทีอีกฝ่ายไม่กลัวเลทิเซียเลยสักนิดเดียว
“นั่นคือกำแพงเวทที่ข้าสร้างขึ้นน่ะ เอาง่ายๆ มันคือกำแพงลวงตา คนด้านนอกจะมองเห็นเราอีกแบบหนึ่ง พูดง่ายๆ ก็คือต่อให้เราทำอะไรอยู่ในตอนนี้ก็ไม่มีใครมาช่วยเจ้าได้”
“อ๊ะ แล้วก็หากเจ้าใช้ร่างมารขึ้นมา ถึงจะเป็นข้าก็ทนพลังไม่ไหว กำแพงนี่คงแตกไปในทันที แต่ขืนทำแบบนั้น ไม่ใช่แค่คนที่อยู่ที่นี่หรอกนะที่จะแตกตื่น
แต่เจ้าคงถูกมองว่าเป็นภัยคุกคามของอาณาจักรแห่งนี้และพันธมิตรพาลาดินทั้งห้าทันที เพราะอย่าลืมว่าอาณาจักรนี้ไอ้นักปราชญ์ไรนั่นเป็นคนสร้าง
และมันก็เป็นคนผนึกพลังพวกเรา หมายความว่ามันไม่ต้องการให้พวกเราใช้พลังนี้ และหากมีใครไม่รู้มาใช้พลังที่แข็งแกร่งขนาดนี้กลางเมือง
พวกเขาคงตัดสินใจที่จะกำจัดทิ้งโดยไม่รอให้มีผู้เสียหายยอย่างแน่นอน เจ้าเข้าใจที่ข้าจะบอกใช่ไหม?”
อีกฝ่ายพูดทุกอย่างออกมาอย่างมีเหตุมีผล สีหน้าของเลทิเซียเปลี่ยนสีแล้ว เปลี่ยนสีอีก
“อ๊ะ แล้วก็เจ้าคงสงสัยว่าข้าทำอะไรกับเจ้า ข้าแค่ใช้เวทหักล้างสมบูรณ์แบบ หักล้าง ‘ตรรกะ’ ของร่างกายเจ้าแค่นั้นแหละ เอาเข้าจริงแต่ก่อนข้าทำไม่ได้หรอก แต่ต้องขอบใจที่ท่านพี่เอาร่างกายมนุษย์มาให้ข้าวิเคราะห์อย่างละเอียดละน—”
ก่อนที่อีกฝ่ายจะได้พูดจบ แสงสีเหลืองเส้นหนึ่งก็บินตรงดิ่งใส่หัวอีกฝ่าย ทำให้อีกฝ่ายต้องเบี่ยงตัวหลบอย่างรวดเร็ว
“นี่เจ้า… หัดฟังคนอื่นพูดให้จบไม่เป็นรึไง”
ในขณะที่เลมิสทาเรียพูดขึ้นแบบนั้น เลทิเซียก็ดีดตัวถอยหลังไปหลายก้าว ด้ายในเมือลอยเคว้งไปทั่ว
อีกฝ่ายเหมือนจะมองออกถึงสิ่งที่เลทิเซียต้องการที่จะทำ เพราะว่ามีเวทมนตร์ลวงตาอยู่เลทิเซียรู้ดีว่าเพียงแค่เวทมนตร์ในตอนนี้คงจะชนะอีกฝ่ายไม่ได้
เลมิสทาเรียไม่พูดพร่ำทำเพลงเธอก้าวขาไปข้างหน้าหวังจะย่นระยะเพื่อหยุดการกระทำของอีกฝ่าย เธอรู้ว่าเลทิเซียเคยใช้สิ่งนี้ฆ่าคนไปเป็นสิบในชั่วพริบตา
เธอไม่ยอมทำให้ตัวเองตกอยู่ในความเสี่ยงที่ว่าอย่างแน่นอน แต่ทว่าพออีกฝ่ายพุ่งเข้าใกล้นั้นเอง เลทิเซียก็โยนปลายด้ายสองทางออกด้านข้างราวกับเลิกความคิดที่จะใช้มัน
เรื่องนี้ทำให้เลมิสทาเรียสับสนขึ้นมา แต่ในชั่วพริบตานั้นเองร่างของเลทิเซียก็หายวับไปจากตรงนั้น และก็มีแสงเส้นหนึ่งมาโผล่อยู่ตรงนี้แทน
“อะไรกัน”
เลมิสทาเรียตกใจหันหลังกลับไปดูพบว่าเลทิเซียยืนมองตัวเองอยู่ด้านหลังพร้อมกับเส้นด้ายที่ปลายทั้งสองของมันที่เลทิเซียพึ่งโยนทิ้งไป
ก็พุ่งเข้ามาในมือเธอ และตัวของเลมิสทาเรียยืนอยู่ภายในวงของเส้นด้ายเลทิเซีย เธอขมวดคิ้ว
“ระยะไร้ตรรกะ”
ในขณะที่เธอกำลังจะทำให้ตัวเองมีความเร็วสมบูรณ์โดยการลบล้างตรรกะระยะและเวลาออกนั้นเอง
ด้ายก็พุ่งรัดเข้ามาราวกับว่านี่คือสิ่งที่ถูกกำหนดไว้แล้วแต่แรกแล้วไม่สามารถหลบหลีกหรือวิ่งหนีได้ พริบตาเดียวกันนั้นอีกฝ่ายก็ถูกด้ายรัดร่างไว้
“นี่มันอะไร”
เลทิเซียกำมือเบาๆ
“เธอบอกว่าเวทมนตร์ที่เธอใช้คือการลบล้างตรรกะสมบูรณ์สินะ พอฉันรู้แบบนั้นแล้ว ฉันก็ทำทุกอย่างให้ไม่มีตรรกะตั้งแต่แรกด้วยพลังของฉัน”
“ใช่ ทุกอย่างในสนามนี้ไม่มีตรรกะไม่มีหลักการอะไรทั้งสิ้น ฉันตอนนี้ยืนอยู่ข้างๆ เธอ”
พริบตาเดียวร่างกายเลทิเซียก็มายืนอยู่ข้างๆ อีกฝ่าย
“ฉันน่ะใช้พลังเวทของตัวเองในการทำทุกอย่างโดยไร้ตรรกะ ก็เพราะว่าเวทมนตร์ปีศาจน่ะ.. แต่แรกเริ่มเดิมทีมันก็ไร้ซึ่งตรรกะอยู่แล้ว…”
“ที่เหลือ ฉันก็แค่ปล่อยพลังเวททั้งหมดออกมา ด้วยพลังของเธอที่เป็นเวทลบล้างตรรกะพื้นที่และเวลาในตอนนั้น มันเลยทำให้เวทมนตร์ปีศาจที่ฉันทำให้มันไร้ตรรกะแข็งแกร่งขึ้นได้อย่างไร้เทียมทานยังไงล่ะ”
………….
[มุมอธิบายเพิ่มเติมสำหรับสิ่งที่เลทิเซียทำ : ก่อนอื่นการที่เวทมนตร์จะมีฤทธิ์ขึ้นมาได้ต้องใช้ตรรกะบางอย่าง เช่น ไฟเกิดจากสามองค์ประกอบบางอย่างรวมกัน (ความร้อน เชื้อเพลิงและออกซิเจน) นั่นแหละคือตรรกะของเวทมนตร์ที่เลมิสทาเรียสามารถทำให้หายไปได้โดยไม่จำเป็นต้องสนว่ามันจะทำอะไรเธอได้ สมมุติว่าเวทนี้สามารถทำลายโลกได้และทำลายไปแล้ว และเลมิสทาเรียลบล้างมันทิ้ง โลกทั้งใบก็จะกลับมาทั้งหมด ไม่มีเหตุหรือผล เอาเป็นว่านิยามความไร้เหตุผลอะไรก็ได้ขึ้นมา นั่นแหละคือเวทของเลมิสทาเรีย
แต่อย่างที่รู้ว่าปีศาจน่ะสามารถใช้เวทมนตร์โดยไม่จำเป็นต้องมีตรรกะอะไร แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะสามารถทำสิ่งที่ไร้เหตุไร้ผลอย่างเช่น ฆ่าคนอื่นโดยไม่มีเหตุอะไร แบบอยากให้ตายก็จะตายไปทันที แค่นั้น ทำไม่ได้ เพราะปัจจัยหลักของเวทปีศาจคือการใช้พลังเวทสร้างของขึ้นมาจากความว่างเปล่า นี่แหละคือเวทมนตร์ที่ไร้ตรรกะ (เลมิสทาเรียไม่สามารถลบล้างเวทปีศาจได้ แต่เธอใช้วิธีอื่นในการสู้แทนเช่น ลบล้างตรรกะก่อนที่จะใช้เวทเป็นต้น)
แต่น้องเลทิเซียของเราเนี่ยใช้ประโยชน์จากความไร้ตรรกะของเวทที่ศัตรูใช้ คือเลทิเซียล่อให้อีกฝ่ายน่ะจะเคลื่อนที่แบบไร้ตรรกะ โดยการทำให้พื้นที่และเวลาทั้งหมดไม่มีตรรกะอยู่เลย (เช่น ถ้าเราจะเดินจาก A ไป B จะต้อวมีระยเท่านี้ ใช้เววาเท่านี้ จากความเร็วการเดิน ทุกอย่างล้วนคือตรรกะ) แน่นอนว่าเพื่อหวังว่าจะหลบการโจมตีเลทิเซีย แต่เลทิเซียก็ปล่อยพลังเวททั้งหมดมาในพื้นที่ที่ไร้ตรรกะ ทำให้พลังเวทที่เยอะมากๆ ของเลทิเซียนั้นไร้ตรรกะสุดโต่งจนเหนือกว่าอีกฝ่ายนั่นเอง หรือก็คืออีกฝ่ายไม่ว่าจะหนีหรือไม่หนี ก็ต้องตกอยู่ในกำมือเลทิเซียอยู่ดีนั่นแหละ – ผู้เขียน]