บทที่ 196 – ครอบครัว
เลทิเซียเงยหน้าขึ้นจ้องมองอีกฝ่ายที่หัวเราะอย่างบ้าคลั่ง เธอรู้สึกสับสนและไม่เข้าใจสถานการณ์ในตอนนี้มาก
อาจจะเป็นเพราะว่าในใจเธอกำลังรู้สึกว้าวุ่นอย่างไม่ทราบสาเหตุ เลมิสทาเรียเดินเข้ามาหาเลทิเซียที่ล้มกองอยู่ตรงพื้น
“ข้าบอกเจ้าแล้วนะว่า ให้ยอมแพ้ และตายไปแบบเงียบๆ แต่สุดท้ายเจ้าก็ไม่เชื่อฟังคำแนะนำของข้า เจ้าถึงได้มีสภาพนี้ไงล่ะ ไม่สิ.. ถ้าจะให้พูดคงมากกว่าที่คิดเอาไว้อีกมั้งเนี่ย ฮ่าๆ”
เลมิสทาเรียใช้มือดึงผมเลทิเซียขึ้นมาต่อหน้าเธอ พอเห็นสีหน้าที่ดูไม่ได้ของเลทิเซียเธอยิ่งรู้สึกตื่นเต้น
หายใจรดหน้าเลทิเซียที่มีน้ำหูน้ำตาไหลออกมาอย่างน่าสะอิดสะเอียน
“อ่าาห์ สีหน้าแบบนี้แหละสีหน้าแบบนี้แหละ..”
เธอตัวสั่นด้วยความตื่นเต้น ก่อนที่จะกำหมัดแล้วก็ต่อยใส่หน้าเลทิเซียอย่างรุนแรงจนร่างเลทิเซียปลิวไปด้านหลัง
ผมที่อยู่ในมือของเลมิสทาเรียยังหลุดออกมาจากหนังศีรษะของเลทิเซีย แสดงให้เห็นว่าหมัดนั้นมันรุนแรงขนาดไหน
ใบหน้าเลทิเซียดูไม่ได้ แม้เธอจะมีเวทมนตร์เสริมร่างกาย แต่ทว่าเมื่อตกอยู่ในอารมณ์สิ้นหวังเธอกลับไม่มีแม้แต่เรี่ยวแรงที่จะปกป้องใบหน้าตัวเอง
กำเดาไหล เลือดไหลออกจากปาก ก่อนที่จะไอเป็นเลือดอออกมา แต่ทว่าความเจ็บปวดของเธอในตอนนี้กลับมากยิ่งกว่าใบหน้าเธอ
ทำอะไรไม่ได้ ทำอะไรไม่ถูก หากพูดให้เข้าใจง่ายๆ คือเลทิเซียเหมือนกับการเป็นคนสิ้นหวังในการใช้อาวุธอย่างไม่ทราบสาเหตุ
“ฉันขอโทษ ฉันขอโทษ…”
เลทิเซียพึมพำออกมาพร้อมทั้งน้ำตา ในขณะที่ฟันหลุดร่วงออกมาจากปากเป็นสิบเล่ม สภาพของเธอในตอนนี้ดูอเนจอนาถอย่างแท้จริง
“ฮ่าๆ ฮ่าๆ”
พร้อมทั้งเสียงหัวเราะที่กึกก้องไปทั่วสนามประลอง พร้อมเสียงคร่ำครวญที่ราวกับว่าตัวเองนั้นทำตราบาปขนาดใหญ่ที่สุดเอาไว้เมื่อไม่นานมานี้
บางทีอาจจะเป็นเพราะว่า ความคิด ? ที่ทำให้เธอนึกถึงเรื่องพวกนี้ขึ้นมา ทำไมมาเป็นเอาป่านนี้ ทำไมจู่ๆ ถึงเป็นมันขึ้นมา
เพราะหัวเธอหรือเปล่า ถ้าหัวหายไปมันจะหยุดหรือเปล่า? คำถามที่มากมายหลั่งไหลเข้ามาในหัวของเธอ
เลทิเซียใช้หน้าผากของเธอเขก… ไม่สิ ถ้าจะพูดให้ถูกคือฟาดมันลงกับพื้น จนหัวเธอแตกและมีเลือดสดๆ ไหลออกมา
“หยุด หยุด ฉันขอโทษ ฉันผิดไปแล้ว ได้โปรด ได้โปรด… ออกจากหัวฉันไปที อ้ากกกก”
ภายใต้เสียงกรีดร้องและภาพที่ดูไม่ได้บนสนามประลอง ในตอนนั้นเอง สร้อยเส้นหนึ่งก็หลุดออกมาจากกระเป๋าเสื้อของเลทิเซีย
มันคือสร้อยที่เธอคิดจะให้เลวี่เป็นของขวัญ สร้อยเส้นหึ่งอยู่กับสเตฟานี่ อีกเส้นอยุ่กับเธอ พอมันตกลงร่างกายเลทิเซียก็สั่น
“สเตฟานี่..”
“เปรี๊ยะ!!!!”
ในตอนนั้นเองผลึกตรงจี้ของสร้อยก็แตกร้าวดังลั่น ในตอนนั้นสายตาเลทิเซียแทบจะมืดบอด เธอคลานไปหาสร้อยด้วยความร้อนรน
“ไม่..ไม่ ไม่ ไม่..”
และในจังหวะที่เธอแตะสัมผัสไปที่สร้อยผลึกชีวิต มันก็เปล่งแสงสีขาวออกมา ในตอนนั้น สำหรับเลทิเซียโลกทั้งใบราวกับหยุดนิ่ง
และชั่วพริบตานั้น การเชื่อมต่อระหว่างเธอกับสเตฟานี่ก็เหมือนจะมีสายใยบางอย่างที่มองไม่เห็นปรากฏขึ้นมา
และในชั่วพริบตาต่อมา เลทิเซียก็มายืนอยู่กลางหมู่บ้านขนาดเล็กที่รอบข้างมีแต่สวนไร่สวนนาทีปลูกพืชปลูกผัก หรือแม้แต่ข้าว
แต่ในตอนนั้นเองตัวเลทิเซียก็เดินไปข้างหน้า เข้าไปในบ้านหลังเล็กๆ ที่ไม่คุ้นเคยหลังหนึ่ง
“ข้ากลับมาแล้ว…”
เสียงนั้นก็ดังออกจากปากเธอเอง พอได้ยินเสียงนี้นั้น ทำให้ตระหนักได้ทันทีเลยว่า.. เสียงนี่คือ.. เสียงสเตฟานี่
ใช่ ถ้าจะให้พูดตรงๆ เลย มันคือความทรงจำของสเตฟานี่ไม่กี่วันก่อนหน้านี้นั่นเอง
สเตฟานี่กลับเข้าบ้านมาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ที่คอเธอมีสร้อยสองเส้น ทั้งสองเส้นล้วนเป็นของขวัญชิ้นสำคัญจากเพื่อนของเธอ เลทิเซีย
“สเตฟานี่ กลับมาแล้วเหรอ”
คนที่พูดขึ้นด้วยความร้อนรน คือสตรีวัยกลางคนคนหนึ่ง เธอมีริ้วรอยบนหน้าก็จริง แต่จากความทรงจำของสเตฟานี่ได้บอกไว้
เลทิเซียรู้ว่าเธอคนนี้มีอายุแค่สามสิบนิดๆ เองเท่านั้น เธอสวมเสื้อผ้าขาดๆ ดูเหมือนคนจนก็ไม่ผิด อันที่จริงมือของเธอเต็มไปด้วยโคลน
อีกทั้งยังมีแผลเป็นเล็กๆ น้อยตามมือ ทำให้มือของเธอนั้นดูหมกความเรียวงามไปนานแล้ว สเตฟานี่รีบทิ้งกระเป๋าเดินทาง
“ท่านแม่ ข้าบอกท่านไปกี่รอบแล้วว่า เลิกไปทำงานที่ฟาร์มปศุสัตว์พวกนั้นน่ะ”
“แม่ขอโทษ แต่ถ้าไม่ทำ.. พ่อของลูกเองก็ไม่มียาทานน่ะสิ”
“แล้วยาที่ข้าส่งมาให้ล่ะ ข้าไปขอจากโรงเรียนมาตั้งเยอะนะ”
“ลูกพูดอะไรของลูกน่ะ.. พวกเราไม่ได้ย—”
แต่เหมือนมารดาของสเตฟานี่จะนึกอะไรขึ้นได้ เธอรีบกลับคำ
“อ้อ ยานั้นพ่อของลูกกินไปหมดแล้ว..”
“ไอ้พวกเชื้อพระวงศ์นั่นจริงๆ ด้วยสินะ”
“….”
ดูเหมือนว่าที่ยาส่งมาไม่ถึงจะมีคนขัดขาไว้ สิ่งทำให้สเตฟานี่รู้สึกโกรธและเสียใจในเวลาเดียวกัน
เหมือนว่าแม่ของสเตฟานี่ไม่อยากให้สเตฟานี่คิดมาก เธอเลยอยากจะปิดบังสเตฟานี่ แต่เธอก็เหมือนจะเผลอพูดออกมาวะแล้ว
แม่ของสเตฟานี่มีชื่อว่า เลโอน่า เธอเป็นคนที่คอยค้ำจุนครอบครัวเล็กๆ นี้ เธอทำงานสารพัดประโยชน์มากมายโดยไม่เกี่ยงว่าจะเป็นงานติดดินขนาดไหน
ส่วนพ่อของสเตฟานี่ชื่อว่า รุยอัส เขาเคยเป็นถึงนักรบที่เก่งกาจ แต่ภายหลังเขากลายเป็นคนที่สติไม่สมประกอบ
และมีโรคส่วนตัวอยู่ โรคส่วนตัวที่ว่ามันทำให้ร่างกายเขาอ่อนแอ เดินไปไหนมาไหนไม่ได้ ถ้าจะให้พูดคือรุยอัสเป็นคนบ้าที่พิการนั่นแหละ
นี่คือครอบครัวของสเตฟานี่ ไม่มีทั้งคนรับใช้ ไม่มีทั้งที่ดินส่วนตัว นั่นแหละคือขุนนางตกอับ…
“อ้ากกกก ปวดหัว ปวดหัว ปวดหัวในตอนนั้นเองในห้องนอนห้องใกล้ๆ ประตู ก็มีเสียงร้องทรมานออกมา”
“ท่านพ่อ”
สเตฟานี่รีบวิ่งเข้าไปในห้องทันที เธอเห็นพ่อตัวเองกำลังใช้เล็บมือจิกเข้าไปที่หนังศีรษะของตัวเองด้วยท่าทางที่น่ากลัว
“ท่านพ่อ!!”
“คุณคะ”
สเตฟานี่รีบวิ่งเข้าไปใช้แขนสองข้างล็อกแขนพ่อตัวเองเอาไว้ แต่เพราะเป็นแบบนั้นรุยอัสถึงได้ใช้เล็บตัวเองข่วนหน้าสเตฟานี่
จนเป็นแผล เลโอน่ารีบเอาน้ำยามาป้อนใส่ปากแม้มันจะลำบากกว่าจะเทใส่สำเร็จแต่ท้ายที่สุดก็ทำให้พ่อของเธอหลับสนิทได้ในที่สุด
สองแม่ลุกออกมาจากห้องนอนนั้นเงียบๆ ก่อนที่จะมานั่งทำแปลที่ห้องนอนของเลโอน่า
“ข้าขอโทษ เพราะข้าไม่ได้ตัดเล็บให้พ่อของเจ้า…”
“ไม่เป็นไรหรอกท่านแม่”
แม้เธอจะไม่ได้พูดอะไรออกมา แต่ความคิดของเธอนั้นถูกส่งต่อเข้าหัวเลทิเซียโดยตรง เธอรู้ว่าแม่ของเธอเองก็ลำบาก
เพื่อที่จะให้ครอบครัวได้อยู่รอดต่อไป เธอต้องคอยเย็บผ้าขายตอนเช้าไม่ก็ไปทำงานที่โรงงานปศุสัตว์ใกล้ๆ นี้เธอไม่สามารถจากบ้านไปไกลได้
เพราะหากออกไป รุยอัสอาจจะทำอะไรตัวเองอีก ดังนั้นเธอถึงต้องเลือกทำงานตอนเย็น แต่คนเราก็ต้องการพักผ่อน
ทำให้ร่างกายของเลโอน่าเองก็เริ่มทรุดโทรมและแก่ไวขึ้น เพราะการหักโหมงานหนักเกินไป กลับกันตัวเธอกลับไปสนุกอยู่คนเดียวในโรงเรียน
สเตฟานี่เคยถามตัวเองว่า มันดีแล้วจริงๆ เหรอที่เธอจะมาอยู่ตรงจุดจุดนี้ สามารถที่จะหัวเราะและมีความสุขไปกับคนอื่น
ทั้งๆ ที่พ่อแม่ตัวเองกำลังลำบากหาเช้ากินค่ำ
แต่ไม่ว่าเธอจะพูดยังไงแม่เธอก็ยังคงบอกว่า ลูกน่ะต้องไปเรียนเพื่อที่จะช่วยครอบครัวเรา
สเตฟานี่กัดริมฝีปากเบาๆ
“เอาล่ะ ลูกคงเดินทางมาเหนื่อยมากแล้ว นอนเถอะ เดี๋ยวแม่เองก็มีงานต้องทำ…”
“ท่านแม่”
ในตอนนั้นสเตฟานี่ก็กัดริมฝีปากเบาๆ แล้วก็พูดขึ้น..
“ท่านคิดว่า เงินก้อนนี้จะทำให้เราหลุดพ้นจากชะตากรรมนี้ได้หรือเปล่า?”
ว่าแล้วเธอก็หยิบถุงผ้าถุงหนึ่งขึ้นมา ข้างในมีเหรียญทองหลายสิบเหรียญ อีกทั้งยังมีเพชรพลอยอีกนิดหน่อยด้วย
ก่อนที่เธอจะเอาถุงเงินนั้นออกมา คำพูดคำหนึ่งได้ดังก้องอยู่ในใจของเธอซึ่งเลทิเซียที่ดูอยู่ก็ได้ยินชัดเจน
“เลทิเซีย.. ข้าขอโทษ”