การถือกำเนิดจอมมารผู้เหนือโลกที่สิบสาม – ตอนที่ 200

การถือกำเนิดจอมมารผู้เหนือโลกที่สิบสาม

บทที่ 200 – เติบโต….?

“เซเรส!!”

เลทิเซียสะดุ้งตื่นขึ้นมาจากห้วงความทรงจำของตัวเอง เธอเอามือปิดปากด้วยสัญชาตญาณแต่ทว่าก็อาเจียนออกมาอยู่ดี

ทั้งหมดทั้งมวลที่เกิดขึ้นไม่ใช่ความรู้สึกของเลทิเซีย แต่เป็นความรู้สึกของสเตฟานี่ที่ถูกส่งมาหาเธอ

ทุกอย่างที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ไม่ได้ผ่านไปนาน แต่มันเกิดขึ้นแทบจะในเสี้ยวพริบตาเดียวเท่านั้น

มันคงคล้ายกับการที่เลทิเซียจู่ๆ ก็จำเรื่องที่ลืมไปได้แล้วขึ้นมานั่นแหละ แต่ทว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นมันปุบปับจนเกินไป

เธอไม่เข้าใจอะไรเลย ทำไมเซเรสถึงไปอยู่ที่บ้านสเตฟานี่ ก็เซเรสน่ะกลับบ้านของตัวเองไม่ใช่เหรอ

แล้วทำไมพ่อแม่ของสเตฟานี่ถึงต้องตาย ไอ้ความรู้สึกที่เหมือนกับตอนที่พี่ของเลทิเซียตายมันหลั่งไหลเข้ามาในอกของเธอ

พ่อตาย.. แม่ก็ตาย.. ญาติเพียงสองคนของสเตฟานี่ตายหมดแล้ว.. และคนที่ยืนอยู่กลางโศกนาฏกรรมที่บังเกิดนั้นทำไมถึงกลายเป็น ‘เพื่อน’ ไปได้

เลทิเซียอาเจียนทุกอย่างที่ทานไปออกมา เพราะผลกระทบจากสเตฟานี่ เธอถอยหลังไปหลายก้าว

“แก.. แกทำอะไรกับฉัน.. ทำไมถึงกุเรื่องแบบนั้นขึ้นมาได้”

เลทิเซียที่สับสนและเสียใจ ตะโกนไปใส่เลมิสทาเรียด้วยความโกรธ ที่ตอบรับกลับมามีเพียงเสียงหัวเราะสะใจ

“ฮ่าๆ กุเรื่อง? นี่เจ้ายังไม่รู้ตัวอีกสินะ ฮ่าๆ”

เลมิสทาเรียหัวเราะออกมา ก่อนที่เธอจะจ้องไปที่เลทิเซีย ซึ่งเธอมั่นใจแล้วว่าสภาพจิตใจของเลทิเซียในตอนนี้ไม่คงที่มาก

เลมิสทาเรียยิ้มออกมา และเลทิเซียก็ตะโกนใส่เลมิสทาเรีย

“หมายความว่าไง…”

เลมิสทาเรียที่เห็นท่าทางปฏิเสธความจริงของเลทิเซีย เธอรู้สึกว่าต้องซ้ำเติมมันอีกสักหน่อย ทำให้เธอฉีกยิ้มกว้าง

“งั้นสินะ ถ้างั้น ข้าจะอธิบายทุกอย่างให้เจ้าฟังเอง”

ว่าแล้วเลมิสทาเรียก็เริ่มสาธยายแผนการที่ใหญ่ที่สุดของพวกเธอให้ฟัง นี่เป็นแผนที่วางมาตั้งแต่สามร้อยปี กับพี่ชายผู้เป็นที่รักของเธอ

พวกเธอได้วางแผนจะหลุดพนจากพันธนาการเพราะพวกเธอรู้ว่าพลังที่สืบทอดมานี้ มันไม่สมบูรณ์ พวกเธอสองพี่น้องน่ะต้องการความสมบูรณ์

ดังนั้นจึงไปค้นคว้าวิจัยและในที่สุดก็ได้รู้จักกับคำว่า ‘ย้ายร่าง’ แต่ทว่าพวกเธอที่เข้าใจโครงสร้างของเวทย้ายร่างพวกเธอก็ได้ก้าวเข้าสู่ความจริงของโลกอย่างหนึ่ง

‘ต้นกำเนิด’ (Origin)

มันเป็นสิ่งที่ไม่มีอยู่จริง ไม่ดำรงอยู่ในที่ไหน แต่ก็เหมือนกับแทรกแซงอยู่ในทุกสรรพสิ่ง มันเหมือนเป็นต้นกำเนิดของทุกอย่าง

ไม่ว่าจะเป็น พื้นที่ เวลาอวกาศ แม้แต่จักรวาลทั้งหมด ก็มีสิ่งที่เรียกว่า ‘ต้นกำเนิด’ แน่นอนว่าต้นกำเนิดไม่ใช่แค่นี้

แค่ดูเหมือนว่าโลกนี้จะไม่มีคุณสมบัติที่จะอธิบายของแบบนั้น แต่หนึ่งสิ่งที่พวกเธอได้รู้คือ

ต้นกำเนิดคือรากฐานของสรรพสิ่งต้นกำเนิดไม่ใช่วิญญาณ แต่วิญญาณต่างหากที่เป็นต้นกำเนิด

ต่อให้วิญญาณดับสูญแต่ต้นกำเนิดก็ไม่ได้สลายไป ใช่ มันฟังดูคลุมเครือ แต่ดูเหมือนว่าเวทมนตร์ของมหาปราชญ์นั้นจะมีความสามารถในระดับนั้น

ระดับที่สามารถผนึกต้นกำเนิดของ ‘พลังดั้งเดิม’ นั่นเป็นเหตุผลว่าไม่ว่าจะเปลี่ยนผู้ถือครองหรือสืบทอดพลังไปมากแค่ไหน

ทุกคนก็ยังอยู่ในกรอบของผนึกเพราะแต่เดิมแล้วผนึกนี้ไม่ได้ผนึกวิญญาณหรือปิดกั้นพลังอะไร แต่มันผนึกต้นกำเนิดพลังเลยต่างหาก

ดังนั้นต่อให้จะย้ายร่างไปมมากแค่ไหน อย่างมาก็ทำได้แค่ฝืนกฎแห่งต้นกำเนิดและทำให้ผนึกได้อ่อนแอลงเท่านั้น

ไม่สามารถทำลายได้ ดังนั้นพวกเขาจึงได้วางแผนครอบครองสิ่งที่เรียกว่าคัมภีร์แห่งสัจจะ แต่ทว่าโลกใบนี้ยังไม่มีคัมภีร์แบบนั้นเลย

พวกเขาจึงคิดจะสร้างมันขึ้นมา แต่ด้วยภูมิปัญญาของพวกเขาก็ไม่สามารถสร้างได้เนื่องจากไม่ได้มีความสามารถด้านนี้

สิ่งที่พวกเขาทำได้คือรอ ตลอดสามร้อยปีที่ผ่านมาจนได้เจอกับปู่ของสเตฟานี่พวกเขาจึงได้เริ่มต้นแผนการขึ้นอีกครั้ง

ยึดครองประเทศและหลังจากนั้นก็เป็นตามที่เลทิเซียได้ยินมาจากความทรงจำสเตฟานี่

“นั่นมัน….”

“หากเตายังสับสนข้าจะบอกให้ชัดๆ เลยก็ได้”

เลมิสทาเรียฉีกยิ้มเหมือนกำลังมีความสุขที่สุดในโลก

“ท่านพี่ข้าได้จ้างโจรไปปล้นคลังสมบัติของตระกูลนั่นและข้ามีหน้าที่เอาข่าวนี้ไปบอกยัยเด็กนั่น เอาจริงๆ แผนเดิมคือฆ่ายัยเด็กนั่นในการแข่งรอบสามละนะ”

“แต่ว่าก็เหมือนจะไม่ได้เข้าร่วมซะอย่างนั้น พอข้าเห็นเจ้าข้าเลยได้ล่อให้ยัยเด็กนั่นกลับไปให้เจอกับโศกนาฏกรรมและ… ชิงคัมภีร์จากมันไงล่ะ”

“ส่วนความทรงจำที่เจ้าได้เห็นน่ะมาจากจี้ผลึกชีวิตที่จะแชร์สถานะน่ะ.. ข้าใช้ประโยชน์จากตรงนั้นด้วยเวทไร้ตรรกะ ทำให้เจ้าเห็นความทรงจำของยัยเด็กนั่นในเมื่อไม่กี่วันก่อนได้นะ”

“แต่ที่เหนือความคาดหมายคือไม่คิดว่า… โจรที่จ้างมาจะเป็นยัยเด็กเซเรสที่อยู่กับพวกเธอ เป็นไงล่ะ เพื่อนฆ่าพ่อแม่ของเพื่อนเลยนะ.. ฮ่าๆ”

เธอพูดอย่างพึงพอใจในแผนการตัวเองและหัวเราะอย่างชั่วร้าย เลทิเซียถอยหลังไปหลายก้าว ทำไมในตอนนั้นเธอถึงได้มองโลกในแง่ดีล่ะ..

ทั้งๆ ที่เธอควรจะสังเกตเห็นแต่แรกว่าสเตฟานี่ตอนคุยกับอาจารย์เธอกระวนกระวายมาก

ทำไมเลทิเซียถึงได้เชื่อแค่คำพูดสเตฟานี่ล่ะ.. เธอถอยหลังไปหลายก้าวแต่ด้วยแผลทางใจภาพของครอบครัวสเตฟานี่ตายอย่างอเนจอนาถขึ้นมา

“แล้วทำไมพวกแกถึงต้องฆ่าพ่อแม่สเตฟานี่!!! แค่ให้สเตฟานี่เอาหนังสือให้ก็จบไม่ใช่เหรอ ฉันจะทำทุกอย่างเพื่อให้เธอได้อยู่ในโรงเรียนเอง”

เลทิเซียเริ่มรู้สึกปวดร้าวไปถึงข้างใน พอคำถามนั้นดังขึ้น เลมิสทาเรียก็หรี่ตาลงปากยิ้มจนเห็นฟัน

อาจจะเพราะย้ายร่างมาเยอะ ภายในปากเธอจึงเหมือนมีวิญญาณคนที่เธอแทนที่ร่างกายไปอยู่ด้วย

“นั่นก็เพราะอยากทำให้เธอร้องเหมือนหมูแบบนี้ไงล่ะ”

“…”

และในเสี้ยวพริบตานั้นเองร่างกายของอีกฝ่ายก็แตกสลายกลายเป็นหมอกสีแดง เลทิเซียตกใจแต่ทว่าหมอกสีแดงนั้นไม่สลายหายไปแต่มันก็พุ่งเข้าไปในร่างเลทิเซีย

ในชั่วพริบตานั้นร่างกายเลทิเซียเหมือนกำลังถูกฉีกออกเป็นชิ้นๆ ความเจ็บปวดเจียนตายนั้นซึมเข้าไปจนถึงกระดูก

ราวกับว่าดวงวิญญาณของเธอกำลังถูกกลืนกิน เลทิเซียร้องเสียงทรมานออกมาด้วยความเจ็บปวด

“อ้ากกก แน่แก.. ทำอะไรกับฉัน…”

“ก็บอกไปแล้วว่าข้าจะเอาร่างกายของเจ้า…. หากเจ้ายอมแพ้แต่แรกเจ้าก็คงไม่ต้องเห็นเพื่อนถูกฆ่าแล้วแท้”

ร่างกายของเลทิเซียรู้สึกเหมือนกำลังถูกควบคุมจนสติของเธอเริ่มจะพร่าเลือน อาจจะเป็นความรู้สึกสับสนในจิตใจของเธอ

หรืออาจจะเป็นอารมณ์ที่เสียใจและคิดว่าตัวเองผิดพลาด.. จนทำให้เธอไม่มีสมาธิที่จะแย่งชิงร่างกายกลับคืน

เสียงของคนสองคนตีกันอยู่ในหัวของเลทิเซีย จนทำให้เธอแทบจะเป็นบ้าน

“ออกไปนะ!!!”

ในตอนนั้นเองเสียงใสกังวาลก็ดังขึ้นมาในหัวของเลทิเซีย จนทำเอาเลมิสทาเรียถึงกับตกใจ

เสียงนั้นคือไวท์ ร่างกายของเลทิเซียมีวิญญาณของไวท์สถิตอยู่ด้วยดังนั้นจึงไม่แปลกที่จะถูกวิญญาณไวท์เข้ามาช่วย

“นังวิญญาณเฒ่า อย่าคิดว่าข้าไม่มีแผนสำรอง”

ในตอนนั้นเองเวทไร้ตรรกะถูกร่ายใช้ในหัวเลทิเซีย ทำให้เลทิเซียเข้าใจสูตรเวทแทบทุกอย่างของเวทไร้ตรรกะ แต่มันก็ทำให้เสียงกรีดร้องของไวท์ดังขึ้นมา

เธอได้แต่ถูกส่งออกจากหัวของเลทิเซีย แต่อย่างไรก็ตามไวท์นั้นคือวิญญาณสถิต เธอนั้นอยู่นอกเหนือความเข้าใจของเลมิสทาเรีย

แม้จะใช้เวทไร้ตรรกะพยายามไล่ให้ไวท์ออกจากหัวเลทิเซียก็ตามที แต่ทว่ามันก็ไม่สามารถทำได้ง่ายๆ

ภายใต้การต่อสู้ทางจิตใจและอารมณ์นี้ คนที่สับสนและเสียใจอย่างเลทิเซียคือผู้แพ้ไปแล้ว มีเพียงความเจ็บปวดที่กัดกินสองของเธอ

มองจากภายนอกจะเห็นร่างเลทิเซียกำลังดินทุรนทุรายอย่างเจ็บปวดทรมาน ไม่สามารถควบคุมร่างกายได้

“อ้ากกกก ออกไป ออกไป…”

และภาพลวงตาของเลมิสก็สลายหายไปในทันทีเพราะร่างเธอแตกไปแล้ว ดังนั้นทุกคนจึงเห็นสิ่งที่เลทิเซียกำลังดิ้นทุรนทุรายอยู่อย่างชัดเจน

“นั่น… ผู้เข้าแข่งขันเป็นอะไรไป!!! จู่ๆ ภาพก็เปลี่ยนไปกะทันหันแล้วก็ผู้เข้าแข่งขันเลมิสหายไปแล้วก็เจอองค์หญิงเลทิเซียกำลัง…”

ภายใต้สถานการณ์พิลึกพิลั่น ผู้หญิงผมสีแดงคนหนึ่งก็โผล่ขึ้นมากลางอากาศเธอตะโกนเสียงดังลั่น

“หยุดถ่ายทอดสดเดี๋ยวนี้”

แต่ทว่ายังไม่ทันเสร็จอะไร เงาสีขาวหนึ่งก็พุ่งกระแทกใส่บาเรียที่ครอบคลุมสนามประลองอยู่

“เลทิเซีย!!!!”

คนที่ตะโกนออกมาคือเวโรเน่ แต่เหมือนม่านพลังนี้จะถูกเสริมด้วยพลังของเลมิสทาเรียไว้แล้ว เธอคงคาดไว้แล้วว่าจะเป็นแบบนี้

บางทีคนธรรมดาอาจจะงง แต่คนระดับสูงคงมองออกทันทีแน่ว่าในหัวเลทิเซียมีจิตแปลกปลอมกำลังแทรกซึมอยู่

“อ้ากกกกก”

เสียงร้องเลทิเซียหดหู่อย่างมาก ในตอนนั้นเอง ปากของเลทิเซียก็หัวเราะออกมา

“ฮ่าๆๆ ร่างกายนี้อีกไม่นานก็เป็นของข้าแล้ว ท่านพี่!!!”

เสียงตะโกนเลทิเซียเหมือนจะแตกต่างจากเดิมราวกับมีเสียงของคนสองคนดังออกมา หนึ่งเป็นคนเจ็บปวด หนึ่งคือมีความสุข

เวโรเน่เบิกตากว้างทันที เธอตะโกนเสียงดังลั่น

“ไอ้พี่น้องนรก!!”

สายตาของเลทิเซียมืดมัว.. ทุกอย่างเริ่มมืดบอด เธอมองเห็นเพียงอย่างเดียวในสายตาตอนนี้ คือเวโรเน่ที่ลอยอยู่ห่างออกไป

เธอเจ็บปวด.. เจ็บปวดเหลือเกิน ทุกอย่างมันมืดมัวไปหมด ความรู้สึกมากมายที่ไม่ใช่แค่ความรู้สึกตัวเธอเอง

มันหนักหนาเกินไปสำหรับตัวเธอ อีกทั้งความรู้สึกของสเตฟานี่ในตอนปัจจุบันก็ยังส่งมาอยู่เลย มันหนักเกินไปสำหรับเลทิเซีย

ไม่เอา.. หยุดเถอะ…. ใบหน้าคนมากมายลอยขึ้นมาในหัวของเลทิเซียเต็มไปด้วยความผิดพลาดในอดีต..

ความรักของพ่อกับแม่ ความรักของเพื่อน ความรักของพี่น้อง เธอผิดพลาดตลอดมา.. เธอไม่คิดว่าการที่ตัวเองจะต้องแบกรับความรู้สึกคนอื่นมันจะหนักหนาขนาดนี้

ใช่ ตลอดมาเธอปฏิเสธความรู้สึกทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นคาดหวัง ความต้องการ ความรัก จากทุกคนเธอปฏิเสธมันมาตลอด เธออบอกว่ามันเป็นของปลอม

และเธอไม่รับรู้ เธออาจจะคิดว่าแบบนั้นมันง่ายกว่า.. ไม่สิ เธอรู้ว่ามันง่ายกว่าการแบกรับความรู้สึกของคนอื่นอยู่แล้ว

เธอไม่เคยรู้ว่าการแบกรับความรู้สึกของคนอื่นมันจะหนักหนาสาหัสถึงขนาดนี้ .. เธอกลัว.. กลัวที่จะได้รับรู้ถึงความรู้สึกคนอื่นขึ้นมามากกว่าเดิม

ไม่เอา.. ไม่อยากรู้.. ทุกอย่างมันทำให้เธอต้องท้อถอย..

“เรน.. ถ้าเราอยากจะทำให้คนอื่นมีความสุข อย่างน้อยก็สำหรบคนสำคัญของเรน เรนต้องรู้จักการเอาใจเขามาใส่ใจเรา.. การใช้ชีวิตแบบที่ผ่านมาของเรนน่ะมันไม่ผิดหรอกนะ.. แต่ถ้าทำแบบนั้นมันก็แค่การหนีไปตลอดนั่นแหละ.. น้องชายของพี่ ไม่ใช่คนแบบนั้นสักหน่อยใช่ไหมล่ะ พี่เชื่อว่าสักวันเราจะต้องทำได้.. เมื่อทำแบบนั้นได้.. พี่เชื่อว่าเราจะเติบโตขึ้นมากกว่าที่เป็นอย่างแน่นอน”

นั่นคือคำพูดของเอลน่า.. ใช่ สุดท้ายแล้วเลทิเซียก็ต้องใส่ใจคนอื่น เพื่อที่จะเติบโตขึ้นไปอีก

เธอไม่เคยรู้มาก่อนจนกระทั่งวันนี้ว่าการแบกรับความรู้สึก ปัญหา และความสับสนของคนอื่นมันจะหนักหนาไม่แพ้กัน ใช่..

คนทุกคนมีปัญหาในแบบของตัวเอง ไม่ใช่แค่ตัวเลทิเซียที่มีปัญหา แต่ว่าเลทิเซียน่ะจะมีสิทธิ์ที่จะแบกรับความรู้สึกของคนอื่นจริงๆ อย่างนั้นเหรอ

คนแบบเธอที่บีบแม้แต่คอเพื่อนตัวเองอย่างเธอเคนนี้เนี่ยนะ… เลทิเซียไม่คิดว่าตัวเองมีคุณค่าพอ..

เธอกำลังดูถูกตนเอง.. เมื่อมนุษย์สามารถหลุดจากกรอบเดิมๆ ที่เคยเชื่อ เคยมั่นใจ.. พวกเขาก็จะมองแต่อดีตว่าตัวเองทำอะไรมาบ้าง

และจะคิดถึงแต่เรื่องแย่ๆ ที่เคยทำไว้ สุดท้ายก็จะโกรธตัวเองและเกลียดตัวเองที่ทำแบบนั้นและท้ายที่สุดก็จะมีคำว่า

“สุดท้าย.. ฉันมันก็ทำได้แค่นั้นแหละ”

และดูถูกตัวเอง.. ขาดความมั่นใจในที่สุด

“คนอย่างฉันน่ะมัน…”

“เลทิเซียน่ะใจดีจังนะคะ”

ใบหน้าสเตฟานี่ที่พูด้วยรอยยิ้มลอยเข้าไปในหัวเลทิเซีย

“เพื่อของเพื่อนก็คือเพื่อนนะ”

ใบหน้าบ๊องๆ ของเซเรสก็ลอยขึ้นมา

“เลทิเซียได้โปรดอย่าฆ่าใครอีกนะคะ”

ใบหน้าของโคลเอ้ที่เหมือนจะระแวงรอบข้างเหมือนเธอ แต่ก็ใจดีและเป็นห่วงเธอคนแรกเสมอ

“เลทิเซียเธอยังมีฉันอยู่ข้างๆ นะ”

ภาพใบหน้าอันอ่อนโยนของทสึรุเองก็ปรากฏขึ้น

“เลทิเซียเจ้าเลี้ยงข้าวข้าอยู่เสมอนะ”

ใบหน้าของซิลเวียที่เหมือนท้องกำลังร้องอยู่ก็พูดขึ้น

“เลทิเซียมีอะไรไม่สบายใจบอกข้าได้เสมอนะ ถึงข้าจะทำอะไรไม่ค่อยได้ แต่ว่าอันน่าต้องช่วยเลทิเซียได้แน่”

ภาพใบหน้าอ่อนโยนของชาร์ล็อตก็ตามมา

“ท่านพี่สุดยอดไปเลย”

ใบหน้าอันอ่อนโยนและไม่เคยไม่เชื่อใจในตัวเธออย่างเลวี่ก็โผล่ขึ้นมา

“พี่.. มองมาที่ฉันบ้างเถอะนะ”

ลูเซียน้องสาวในโลกเดิมจ้องมา ทุกคนก็ค่อยๆ สลายหายไปในที่สุด และผู้หญิงที่มีหน้าตาสวยมากๆ คนหนึ่งก็มายืนอยู่ตรงหน้าเลทิเซีย

“อะไร เราเองก็มีเพื่อนคนสำคัญเยอะขนาดนี้แล้วไม่ใช่หรือไง มัวแต่มายึดติดเชื่อแต่พี่แบบนี้.. พี่โดนพวกเธอเกลียดขึ้นมาจะทำยังไงล่ะเนี่ย”

“พี่.. ฉันน่ะ.. มีคุณสมบัติที่จะแบกรับความรู้สึกของเพื่อนจริงๆ เหรอ.. คนอย่างฉันที่หนีมาตลอด… พอเจอปัญหาของเพื่อนเข้าไปก็ท้อถอย ขาดความมั่นใจและปล่อยให้เพื่อนไม่เจอกบเรื่องอะไรแบบนั้น…”

เอลน่าส่ายหน้าเบาๆ

“คนที่จะตอบคำถามนั้นน่ะไม่ใช่พี่สักหน่อย… แต่เป็น…”

นิ้วของเอลน่าชี้มาแตะที่หน้าอกของเลทิเซีย

“เป็นตัวเธอเองต่างหาก.. เธอพร้อมที่จะแบกรับความรู้สึกของคนสำคัญของตัวเองแล้วหรือยัง? ไอ้ความหนักอึ้งที่เจ้ากำลังเจอนั่นแหละ… เจ้าน่ะจะสามารถทนมันไหวไหม…”

“ไม่.. ฉันทนไม่ไหวหรอกพี่.. แบบนั้นน่ะ.. มัน…”

ถ้าหากพี่สาวของเลทิเซียตอบว่ามีคุณสมบัติเลทิเซียก็คงต้องกัดฟันและทนแบกรับมันแน่.. แต่เอลน่ารู้ดีกว่าใคร

หากทำแบบนั้นเลทิเซียก็จะไม่เติบโตขึ้นเลย.. สุดท้ายเธอก็จะมองว่าการแบกรับความรู้สึกของคนอื่นคือ ‘งาน’ ที่ต้องทำ

ซึ่งมันไม่ใช่.. มันต้องเป็น.. สิ่งที่ ‘ควร’ จะทำหรือไม่ต่างหากล่ะ.. แน่นอนว่าหากให้เลทิเซียถามใจตัวเองละก็เธอต้องตอบว่าไม่ไหวหรอก

ขนาดในตอนนี้เองก็เหมือนกัน

“ไม่ไหว.. ใช่ ไม่มีทางทางที่คนคนหนึ่งจะสามารถแบกรับอารมณ์ของคนทุกคนได้หรอก.. เพราะงั้นหน้าที่ของเราคืออะไรล่ะ.. สิ่งนั้นเราน่าจะรู้ตั้งแต่แรกแล้วไม่ใช่เหรอ”

“….. ช่วยคนสำคัญและพยายามไม่ให้พวกเขารู้สึกแบบนั้น.. ซึมซับอารมณ์พวกเขา.. เอาใจเขามาใส่ใจเรา”

เอลน่าเองก็ยิ้มออกมา พลางตบหลังเลทิเซีย

“ก็รู้ไม่ใช่เหรอ.. เดินออกไปและบอกว่า.. นี่คือร่างกายของฉันและไปช่วยเพื่อนทั้งสองของตัวเองให้ได้ล่ะ”

เลทิเซียหันมองพี่สาวตัวเอง.. เธอไม่ได้อาลัยอาวรณ์และไม่อยากจากพี่สาวไปอย่างเมื่อตอนนั้น เพราะเธอพยักหน้า

“อืม.. ฉันจะไม่ทำให้พี่ผิดหวัง”

เลทิเซียเดินออกไปด้วยความรู้สึกที่มั่นใจ.. เธอไม่เลือกที่จะจมปลักอยู่กับอดีตอีกแล้ว.. เพราะคนสำคัญของเธอในตอนนี้ไม่ได้มีแค่เอลน่าหรือลูเซียอีกต่อไป…

เธอจะก้าวเดินต่อไป!!

เธอจะเดินไปข้างหน้าใช้ระยะทางที่ผ่านมาเป็นบทเรียน

นับแต่นี่เป็นต้นไป.. ไม่มีอีกแล้วเด็กน้อยที่ชื่อเลทิเซีย…

แต่จะมีเพียงผู้ใหญ่ที่ชื่อเลทิเซีย..

เอลน่ามองงแผ่นหลังของเลทิเซีย น้ำตาเธอไหลออกมาจากตาเบาๆ

ในพริบตาเดียวกันนั้นจิตใจของเลทิเซียก็กลับขึ้นมา ความเจ็บปวดทุกอย่างยังอยู่.. แต่เธอตัดสินใจไปแล้วว่า…

จะไม่ปฏิเสธความรู้สึกเหล่านี้ จะเรียนรู้และเติบโตโดยไม่ทิ้งหรือหนีจากมันไป.. นี่แหละคุณสมบัติของการเป็นผู้ใหญ่

ทว่าในเสี้ยวพริบตาที่เลทิเซียมีแรงฮึดกลับมา เลมิสทาเรียก็เบิกตากว้าง แต่ทว่ากลไกลบางอย่างก็ทำงานไปตั้งแต่ที่เธอตะโกนว่า “ท่านพี่” แล้ว

ก่อนที่ในพริบตาเดียวนั้นร่างเลทิเซียก็สลายหายไปจากนี้ จะว่าง่ายๆ เลยก็คือข้ามมิติ

เลทิเซียกัดฟันตะโกนออกมา “ออกไปจากหัวฉั—”

แสงสีขาวที่สาดจ้าหายไป.. เสียงบางอย่างกระแทกพื้นก็ดังขึ้นมาจากตรงนี้ ของเหลวบางอย่างกระเซ็นมาใส่หน้าเลทิเซีย

และในตอนนั้นเอง.. บางอย่างก็กลิ้งๆ มาอยู่ที่ใต้เท้าเลทิเซีย… ที่อยู่ตรงเท้าเธอนั้น..คือหัวของเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง.. ดวงตาเธอยังเปิดกกว้างจ้องขึ้นมา

แต่เห็นได้ชัดว่าที่กลิ้งมามีแต่หัว.. ปากเลทิเซียเปิดออก..

“สะ.. สเตฟานี่….”

“ละ.. เลทิเซีย”

ในตอนนั้นตรงหน้าก็มีเสียงที่คุ้นหูดังขึ้นมันดูสั่นเครือและสับสนมาก ใช่… เธอคนนั้นคือ เซเรส ในมือเธอถือดาบเล่มหนึ่งและไม่ต้องบอกก็รู้ว่า..เกิดอะไรขึ้น

ศพที่ไร้หัววางอยู่ตรงหน้า… มันถูกสะบั้นด้วยดาบในมือของเซเรส… ต่อหน้า.. ต่อตาเลทิเซีย…

…….

……

….

..

การถือกำเนิดจอมมารผู้เหนือโลกที่สิบสาม

การถือกำเนิดจอมมารผู้เหนือโลกที่สิบสาม

Status: Ongoing
เรน ชายหนุ่มผู้มองโลกในแง่ร้ายสุดแสน ดันเป็นบัคจึงไปเกิดใหม่ในต่างโลกพร้อมพรสามข้อได้ แต่ด้วยพรสามข้อบางอย่างในคำขอทำให้เขาเกิดใหม่เป็นผู้หญิงทั้งยังกลายเป็นจอมมารไม่พอยังถูกแม่ตัวเองทิ้งไว้กลางป่าไปเฉยเลย!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท
Close Ads ufanance
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตออนไลน์
Click to Hide Advanced Floating Content สมัคร ufabet
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตฟรีสปิน