บทที่ 201 – ช่วงชีวิตของคนเรา
เซเรส เธอเป็นลูกคนกลางในครอบครัวเล็กๆ ที่ทำอาชีพเป็นโจรอยู่ แน่นอนว่าในสภาพแวดล้อมเช่นนั้นเซเรสเองก็ต้องรับช่วงต่อ
โจร.. นี่เป็นงานของพวกเขา ไม่ว่าจะเป็นการปล้นชิงทรัพย์หรือแม้แต่ฆ่าคน และลูกจากตระกูลหัวขโมยก็ต้องรับช่วงต่อ
แต่ทว่าเซเรสเป็นลูกคนกลางและเป็นเพียงคนเดียวในบ้านเป็นผู้หญิง ทุกคนในบ้านถึงได้ปฏิบัติกับเธอเหมือนคนนอก
เพราะผู้หญิงน่ะขึ้นชื่อเรื่องความอ่อนแอ แม้แต่แม่ของเซเรสก็ตายเมื่อตอนคลอดน้องชายคนสุดท้องออกมา
นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมเซเรสถึงโดนกล่าวว่าเป็นคนนอกคอก อันที่จริงแล้วทุกอย่างล้วนมีเหตุมีผลย้อนกลับเมื่อเซเรสยังอายุแค่ไม่กี่ขวบ
เธอถูกพ่อกับแม่วางแผนขายเซเรสออกจากบ้าน สาเหตุคือพวกเขาคิดว่าหากลูกสาวเติบโตมาในสภาพที่ดีเกินไป
เซเรสคงขโมยของไม่เป็นแน่ๆ ถ้าจะให้พูดมันเป็นแผนของพ่อเซเรสมากกว่า ในคืนนั้นเซเรสยังเป็นแค่เด็กที่ไม่ค่อยรู้ประสีประสาอะไร
เธอไปได้ยินที่พ่อแม่คุยกัน
“นี่เจ้ากำลังจะบอกให้จะขายเซเรสให้กับพ่อค้าทาสงั้นเหรอ นั่นมันเกินไปแล้วนะ”
ผู้เป็นแม่คัดค้าน เธอไม่เคยคัดค้านในความคิดของสามี ในการที่จะปลูกฝังวิธีการเอาตัวรอดให้ลูกๆ ให้ลูกๆ เห็นแก่ตัว
แต่การขายเป็นทาสน่ะ มันอาจจะทำให้เกิดบาดแผลทางจิตใจของลูกสาวได้เลย มารดาของเซเรสมีชื่อว่า ริเอล
ส่วนพ่อมีชื่อว่า กรี
กรีพอเห็นภรรยาขัดขา เข้าก็ตบไปที่หน้าของริเอลจนหน้าเธอแดง เขามีร่างกายที่ค่อนข้างใหญ่ แต่ริเอลนั้นมีร่างกายที่เล็ก
พอโดนตบผิวบนใบหน้าเธอถึงได้มีรอยฟกช้ำ กรีสบถด้วยวาจาที่ไม่พอใจ
“หุบปาก นี่ไม่ใช่เพราะใคร หากนังเด็กนั่นไม่ได้เกิดมา และคนที่เกิดมาเป็นผู้ชายทุกอย่างคงจะง่ายกว่านี้แล้วแท้ๆ”
ผู้หญิงน่ะมีร่างกายที่อ่อนแอก็ผู้ชาย เพราะโครงสร้างแตกต่างกันมาก แต่แน่นอนว่าไม่ใช่ในทุกกรณี คนที่แข็งแกร่งจนน่ากลัวแบบโคลเอ้ก็มีอยู่จริงๆ
แต่อาจจะเป็นเพราะมุมมองของกรี เด็กผู้หญิงไม่สามารถทนฝึกการทรมานร่างกายจนทำให้จิตใจตายด้านได้แน่ ดังนั้นสิ่งที่เขาจะทำก็คือการทำให้ลูกสาวตัวเองได้เจอกับความลำบาก
ลำบากในระดับที่ว่าอิจฉาคนที่ดีกว่า และท้ายที่สุดลูกสาวเขาจะสามารถที่จะแย่งชิงทุกอย่างจากผู้อื่นได้ด้วยความโลภ
ริเอลค่อยๆ พูดขึ้น
“แต่ว่า.. ลูกเรายัง…ไม่ได้โตขนาดนั้นถ้าเธอตายขึ้นมา…”
“ตายก็ถือว่ามันอ่อนแอ ไม่ใช่ลูกข้า..”
กรีสะบัดแขน.. ก่อนจะพูดขึ้น “หนึ่งปี ขายนังเด็กนั่นให้พ่อค้าทาสหนึ่งปี บอกพวกมันว่าอย่าขายนังเด็กนั่นออกไป แต่ไม่ต้องปรนนิบัติเป็นพิเศษใดๆ”
“เพราะนับแต่นี้เป็นต้นไป.. มันเป็นทาส”
ในวันนั้น.. เซเรสถูกแม่แท้ๆ ตัวเองจับไปขายเป็นทาสทั้งน้ำตา.. ใช่ แม้ว่าเธอจะไม่เห็นด้วย แต่ริเอลก็ไม่ใช่เลโอน่า
ในใจบางส่วนเธอก็เห็นด้วย.. หากไม่ทำแบบนี้ พอเธอแก่เฒ่าแล้วจะมีใครมาเลี้ยงเธอกันล่ะ?
ใช่ ลูกสาวและลูกชายยังไงล่ะ และถ้าหากไม่สามารถทำอะไรได้ด้วยตัวเอง คงไม่สามารถเลี้ยงดูใครได้เช่นกัน
สิ่งเดียวที่ริเอลคิดในตอนนี้คือทำยังไงให้เซเรสไม่เกลียดตัวเอง..
“เซเรสฟังนะ.. นี่เป็นคำสั่งของพ่อเจ้า… ไอ้บ้านั่นมันสั่งให้ข้าขายเจ้า.. แต่เชื่อข้า.. สักวันข้าจะมารับเจ้าอย่างแน่นอน.. ข้าไม่ให้เจ้าเป็นตามที่ไอ้บ้านั่นวางแผนไว้แน่นอน”
เธอพูดแบบนั้นแล้วก็ส่งเซเรสให้พ่อข้าทาส เซเรสที่ฟังอยู่ก็ไม่เข้าใจอะไรมากนัก แต่เธอก็ยิ้มออกมา
“อืม.. ข้าจะรอท่านแม่นะ”
ริเอลก็จากไปทั้งแบบนั้น.. และนั่นคือจุดสิ้นสุดของความสุขครั้งยังเยาว์ของเธอ
เธอถูกปฏิบัติเยี่ยงทาส ให้กินเศษข้าวเหมือนหมา ซ้ำโชคร้ายปีนั้นมีโรคระบาดทำให้ทาสกว่าห้าส่วนติดโรคระบาด
เธอเองก็เป็นหนึ่งในนั้น.. วันแรกที่เธอมาอยู่เธอทั้งร้องไห้และกลัว แต่ทว่าที่นี่ไม่ใช่ที่บ้าน หากร้องไห้ก็จะโดนทุบตีจนกว่าจะเลิกร้อง
ในทุกวัน เธอฝันว่าแม่มารับเธอด้วยสีหน้าอ่อนโยน เธอในตอนนี้รู้ตัวแล้วว่าถูกพ่อตัวเองทิ้ง
แต่เธอยังมีแม่.. เธอเชื่อแบบนั้น.. วันแล้ววันเล่าผ่านไป หนึ่งเดือน.. สองเดือน.. สามเดือน.. เซเรสมีบาดแผลฟกช้ำทั่วร่าง
บางครั้งต้องทำความสะอาดฟาร์มปศุสัตว์แต่ด้วยความเป็นเด็กทำให้ทำอะไรไม่คล่องแคล่ว รับคำสั่งแทบไม่เป็น
เธอถูกทุบตีไม่ต่างจากสัตว์ วันคืนแต่ละวันมีเพียงฝันว่าแม่จะมารับเธออกจากที่แห่งนี้.. ร่างกายติดโรคระบาด
เหนื่อยล้า.. ไร้พลัง… ทุกอย่างในสายตาพร่าเลือน.. บางทีนี่อาจจะเป็นสิ่งที่เรียกว่าความตายจะมาเยือนถึงเธอแล้ว
แต่ทว่า..
“นี่เธอตื่นสิ.. ถึงเวลาทำงานแล้วนะ อยากโดนเฆี่ยนอีกหรือไง”
มีเด็กคนหนึ่งได้ปลุกเธอขึ้น แต่ว่าเซเรสนั้นไม่ไหวหรอก.. เธอไม่ไหวแล้ว… เธอหลับตาลงไม่สนเสียงปลุกของใครสักคน
ทว่า เหมือนนี่จะไม่ใช่การหลับครั้งสุดท้ายของเธอ พอเธอตื่นขึ้นมา ก็มีอาหารสองจานวางอยู่ข้างๆ เธอ พร้อมกับเม็ดยาเม็ดหนึ่ง
เธอเอียงคอด้วยความสงสัย
“กินสิ.. เธอไม่สบายไม่ใช่เหรอ?”
“เธอเป็นใคร?”
เซเรสถามออกมาด้วยความสงสัย เด็กผู้หญิงอายุราวๆ สิบกว่าปีอายุเยอะกว่าเซเรสมาก
“ข้าเป็นทาสปรนนิบัติส่วนตัวน่ะ ส่วนข้าวกับยาพวกนั้นข้าขอมาให้เจ้าน่ะ”
“ขอได้ด้วยเหรอ?”
“ปกติก็ไม่ได้หรอกนะ”
“เธอไม่ปกติ?”
เซเรสถามด้วยความสงสัย อีกฝ่ายแสดงสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก เธอคงไม่พูดเรื่องแบบนี้ให้เซเรสที่ยังเป็นแค่เด็กฟังหรอก
“อะแฮ่ม เอาเป็นว่าข้าหามาได้แล้วกัน เจ้ารีบๆ กินได้แล้ว”
เซเรสรีบกินยาทันที ทำให้อาการของเธอดีขึ้นมาบ้างแล้ว เซเรสที่เหมือนจะเป็นเด็กธรรมดาที่ไม่ค่อยรู้โลก
แต่ตัวเธอในตอนนี้มีความรู้สึกเหลือเพียงครึ่งเดียวแล้ว ในสภาพแวดล้อมที่ถ้าไม่ทำก็ต้องตายนี้เธอรู้ว่าคนทุกคนต้องเห็นผลประโยชน์ตัวเองเป็นอันดับแรก
ใช่.. นี่คือเซเรสเธอถูกกักอยู่ในสภาพแวดล้อมอันโหดร้ายนี้ จนเริ่มที่จะกลายเป็นคนอย่างที่กรีและริเอลคาดหวังอย่างช้าๆ
แต่เด็กยังไงก็คือเด็ก เธอยังมีเรื่องไม่รู้จักอีกมาก และสิงที่เธอไม่เข้าใจในตอนนี้ทำไมคนที่ไม่รู้จักแม้แต่ชื่อคนนี้ถึงได้…
“ทำไม…”
“เอ่อ บอกไว้ก่อนนะ ข้าไม่มีชื่อหรอกนะ แต่เจ้านายเรียกข้าว่าแปดน่ะ”
อีกฝ่ายพูดแบบนั้นด้วยท่าทางที่สบายใจ เธอก็คงเหมือนกับเซเรสถูกพ่อแม่ขายทิ้ง แต่เธอคนนี้ไม่แม้แต่ชื่อ เธอเป็นคนไม่กี่คนที่เกิดมาในสภาพแวดล้อมแย่ๆ
แต่ยังเหลือรอดมาถึงทุกวันนี้ อีกทั้งยังเป็นคนจิตใจดีงามอีกด้วย.. ซึ่งเซเรสสงสัยว่าทำไมเธอถึงช่วยเซเรสเอาไว้..
ในที่แบบนี้ ในสภาพแวดล้อมแบบนี้ ไม่ใช่ว่าต้องเอาตัวรอดเป็นยอดดีหรือยังไง.. ทำไมเธอถึงยังยิ้ม ทำไมถึงยังรู้สึกสนุกสนานได้อยู่
นั่นคือสิ่งที่เด็กตัวกะเปี๊ยกถามหญิงสาวที่ถูกเรียกว่าแปดออกไป เธอมองเซเรสอย่างสับสน “เจ้าเองก็ถูกพ่อแม่ขายสินะ”
นั่นคือสิ่งที่เธอพูดขึ้นพอได้รับคำถามจากเซเรส.. เธอเข้าใจความรู้สึกเซเรสดี.. แต่ว่าเธอก็ยิ้มแล้วตอบ
“เจ้ากำลังมองว่า.. ทำไมข้าถึงยังยิ้มยังรู้สึกสนุกได้อย่างนั้นสินะ.. แต่ข้ากลับกำลังมองว่า.. ทำไมข้าต้องจมปลักอยู่กับความเห็นแก่ตัวล่ะ”
“…..”
เซเรสสับสนกับคำพูดของแปด.. เธอได้แต่หัวเราะแห้งๆ
“อธิบายง่ายๆ คือ หากเจ้ามองว่าทุกอย่างมันแย่มันก็จะแย่ไปตลอดนั่นแหละ ไม่ว่าใครก็มีปัญหากันทุกคนนั่นแหละ ไม่ว่าจะเป็นเจ้า หรือข้า.. แม้แต่พวกพนักงานที่เฆี่ยนตีพวกเรา หากพวกเขาไม่ทำงานพวกเขาอาจจะเป็นคนโดนเองก็ได้ ดังนั้นสิ่งที่ข้าทำได้จึงมีเพียงแค่ทำหน้าที่ในส่วนของตัวเองเท่านั้นแหละ”
“…”
“อ๊ะอย่าบอกนะว่าเจ้าไม่เข้าใจ”
“ไม่.. แบบนั้น.. ไม่ใช่แค่ต้องการมองโลกให้ดูดีในความคิดตัวเองเฉยๆ ไม่ใช่หรือไง..สุดท้ายแล้วพวกเรา—”
“ก็ไม่ต่างจากคนที่ถูกทิ้ง ไม่มีใครสนใจจะมาสงสาร”
ก่อนที่เซเรสจะพูดจบ เธอก็พูดก่อน.. พอเธอพูดเสร็จเธอก็ยิ้ม
“ใช่.. มันเป็นแบบนั้นนั่นแหละ ไม่ผิดหรอก.. แต่ว่าพวกเราทำได้เท่านี้ไม่ใช่เหรอ.. ไม่สิ.. มีแต่ต้องทำเท่านั้น.. หากไม่ทำแล้วพวกเราก็จะตาย…ไปเงียบๆ”
“กลับกันถ้าข้าร่าเริง.. ข้าก็จะสนุกไปกับมันในตอนนี้ได้ ใช่ ข้าคิดไปเอง.. แต่ว่าการที่ข้าช่วยเหลือเจ้าในตอนนี้.. อย่างน้อยมันก็ช่วยแก้ปัญหาให้เจ้าได้”
“นั่นและคือสิ่งที่พิสูจน์ว่าตัวข้าอยู่ตรงนี้ ช่วยเหลือเจ้า.. คิดว่าไงล่ะเห็นแก่ตัวคนเดียวเงียบๆ กับช่วยเหลือคนอื่นแล้วก็หัวเราะไปด้วยกันพูดคุยกัน”
“ซึ่งแต่ก่อน.. พวกเราจะคุยกันยังไม่มีเลย.. ไม่คิดว่ามันสนุกเหรอการที่ได้เชื่อมสัมพันธ์กับคนอื่น ได้รับความช่วยเหลือจากคนอื่น หรืออยากจะช่วยเหลือคนอื่น”
“ชีวิตคนมันไม่ยืนยาว ในสภาพแวดล้อมเช่นนี้ ไม่มีใครจุดคบเพลิงชีวิตให้เราได้นอกจากตัวเรา…. สิ่งที่ข้าทำได้จึงมีเพียงจุดคบเพลิงให้ตัวเอง”
“และคิดว่านี่แหละคือชีวิตของข้า”
“ส่วนชีวิตเจ้าน่ะ เจ้าจะเป็นคนกำหนดมันเองว่าจะทำให้มันมืดบอดไปตลอด หรือเปลี่ยนทุกอย่างเป็นความสนุก”
…………
[ความสุขนั้นไม่ใช่ว่าเราอยากทำ.. แต่เราทำเพราะเราต้องทำ… ความโสมมที่ไม่อาจสร้างความสุขได้เราก็ต้องสร้างด้วยมุมมองของตัวเราเอง… เพื่อเตือนตัวเองว่า.. นี่นะ… เรามีความสุขนะ โลกนี้ไม่ได้แย่เสมอไปนะ…. มันเป็นวิธีเดียวที่สามารถทำให้คนดิ้นรนมีชีวิตต่อไปได้ในโลกที่มืดมัวนี้.. ไม่มีฮีโร่หรือคนที่จะยื่นมือมาช่วย.. มีเพียงตัวเองเท่านั้นที่เป็นฮีโร่ให้ตัวเองได้ – ผู้เขียน]
[ตัวประกอบในเรื่องนี้คือ เดอะเบสกันทุกคนเลยเนาะ ฮ่า – ใครสักคน]