บทที่ 207 – ร่างกายของเซเรส
เช้าวันรุ่งขึ้นเซเรสเองก็ไม่รู้ว่าทำไม แต่เหมือนบาดแผลจากการโดนทุบตีเมื่อวานจะหายเป็นปลิดทิ้งไปแล้ว
เซเรสอยากจะหนีออกไปจากตรงนี้.. เธอไม่อยากอยู่ที่นี่แล้วยิ่งนึกถึงเรื่องเมื่อวานมันยิ่งทำให้เธอกลัว กลัวจนอยากจะหนีออกไป
แต่พอนึกถึงคำพูดของสเตฟานี่กับเลทิเซียมันเลยทำให้ร่างกายเซเรสหยุดชะงัก.. ก็เพื่อนเธอเป็นคนบอกเองนี่น่าว่าไม่ควรทำให้ครอบครัวเดือดร้อน
แต่ว่า… เซเรสไม่เข้าใจเลยว่าทำไมต้องทำเพื่อคนแบบนี้.. เธอไม่เข้าใจเลยสักนิด แต่ว่าหากกลับไปทั้งแบบนี้จะเป็นยังไง
สเตฟานี่คงไม่ได้มองเซเรสแบบคนที่เป็นพ่อเซเรสทำกับเธอหรอกใช่ไหม สายตาที่มองมาด้วยความผิดหวัง
เพราะว่าตอนก่อนจะจากมาสิ่งสเตฟานี่กับเลทิเซียพูดน่ะ เหมือนทั้งสองจะเชื่อมั่นแบบนั้นอย่างสุดหัวใจ
ถ้าหากเซเรสหนีกลับกะทันหันโดยไม่ทำอะไรเลย.. เธอกลัวว่าทั้งสองจะมองเธอด้วยความผิดหวังและรังเกียจ
เธอกลัวสายตาแบบนั้น ไม่เอาสายตาแบบนั้น… แต่เธอก็ไม่เข้าใจว่าทำไมทั้งสองคนนั้นถึงได้ต้องเป็นห่วงครอบครัวขนาดนั้น..
“เลี้ยงเสียข้าวสุกเหรอ…”
เซเรสพึมพำเบาๆ ในลำคอ.. ใช่ ถ้าหากพ่อแม่เป็นคนให้กำเนิดเธอขึ้นมาและคอยเลี้ยงเธอจนโตมาขนาดนี้..
พวกเขาคงต้องคาดหวังอะไรอยู่สินะ.. เพราะแบบนั้นพอเธอทำไม่ได้อย่างงที่หวังเลยรังเกียจ ไม่พอใจและผิดหวังจนไล่ออกจากบ้าน
แบบนี้เองสินะ.. เซเรสในตอนนี้นั่งอยู่คนเดียวไม่มีใครสามารถมาชี้บอกชี้ผิดได้ว่า สิ่งเธอเข้าใจมันถูกหรือผิดกันแน่
เซเรสลูบหน้าตัวเองเบาๆ ก่อนที่จะลุกขึ้นแล้วก็เดินไปรอวันที่จะเดินทางไปยังอาณาจักรอันห่างไกล
ไม่นานก็ถึงเวลาเดินทาง ไม่มีคนเดินเข้ามาหาเซเรสหรือคุยด้วยเลย ปล่อยให้เธอยืนอยู่คนเดียวอย่างอ้างว้าง
เป็นความรู้สึกที่ทำให้เธอสับสนจนอยากจะกลับไปหาเพื่อนของตัวเอง แต่เธอรู้ดีว่าถ้าหากตัวเองกลับไปตอนนี้ละก็
คงไม่มีหน้าไปหาเพื่อนทั้งสองของเธอแน่ เพราะแบบนั้นเธอจึงตัดสินใจที่จะช่วยเหลือครอบครัว ส่วนหนึ่งเพราะทดแทนบุญคุณ
อีกส่วนหนึ่งเพราะคำพูดของเพื่อนๆ ของเซเรสที่บอกว่าไม่ควรทำให้ครอบครัวเดือดร้อน.. ใช่ เธอกัดริมฝีปากเบาๆ
เซเรสในตอนนี้เปลี่ยนจากชุดนักเรียนเป็นชุดสีดำแล้ว ชุดนี้เป็นชุดที่อยู่ในตู้เสื้อผ้าเธอ ดูเหมือนว่าเธอจะไม่ได้ใส่มานานแล้ว
และไม่นานก็ถึงเวลาเดินทาง พวกเขาเดินทางโดยใช้ ‘เกท’ เหมือนที่โรงเรียนลิเบอร์ใช้
แต่เหมือนจะเป็นเกทระดับต่ำที่ใช้แล้วทิ้ง อีกทั้งยังพอใช้งานจะจำกัดคนที่เดินทางผ่านเกทไปด้วย ถึงเห็นแบบนั้น แต่ของสิ่งนี้ก็แพงมาก
ต่อให้รวมเงินทุกเหรียญที่ตระกูลของกรีเคยปล้นมาก็คงซื้อไม่ได้เลยสักชิ้นด้วยซ้ำ เพราะงั้นไม่ต้องสืบว่าที่มีของสิ่งนี้นั้นต้องมาจากผู้จ้างวานแน่นอน
คนหลายสิบคนที่นำโดยกรีก็เดินผ่านเกทเข้าไปพร้อมกับเซเรส หลังจากที่เซเรสจัดอารมณ์ความรู้สึกได้แล้ว
เธอก็กัดฟัน..
“ถ้าหากข้าทำได้ดี.. เขาจะเลิกมองแบบนั้นหรือเปล่านะ.. เขาจะไม่รู้สึกว่าข้าเลี้ยงเสียข้าวสุกหรือเปล่านะ?”
คำถามนี้ดังก้องอยู่ในหัวเซเรสในตอนนั้น แต่ไม่ว่าเธอจะสงสัยยังไง ก็ไม่อาจหาคำตอบได้.. สิ่งที่เธอทำได้จึงมีเพียงทำมันเท่านั้น
หลังจากนั้นพวกเขาก็เดินทางไปปล้นโกดังเสร็จเหมือนจะมีข้อมูลต่างๆ ที่สำคัญพอสมควรและหัวหอกในการช่วยเหลือครั้งนี้คือเซเรส
เธอสามารถแก้ไขสูตรเวทมนตร์ป้องกันได้ทุกอย่างและทำให้การบุกทะลวงการป้องกันด้านเวทมนตร์ผ่านได้อย่างง่ายดาย
เรื่องนี้พอผู้จ้างวานรู้เขายังตกใจ ตอนแรกเขาวางแผนไว้ว่าจะสุ่มๆ หาโจรมาทีละตระกูล ทีละตระกูลบุกเข้าไปในโกดัง
แน่นอนว่าพวกนั้นต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย เพราะว่ายังไงซะการป้องกันของโกดังนี้ก็เกิดจากมหานักเวท ไม่มีทางที่คนธรรมดาจะบุกเข้าไปได้ง่ายๆ
แม้แต่ผู้จ้างวานเองยังไม่ใช่ข้อยกเว้น แม้แต่น้องสาวที่น่ารักของเขก็ยังไม่เข้าใจสูตรเวทมนตร์ของมหานักเวทได้
และแน่นอนว่าไอ้แก่นั่นรู้จักเวทมนตร์ของผู้จ้างวานกับน้องสาวดี เขาไม่กล้าประมาท เลยคิดจะส่งกลุ่มโจรไปตายและเขาแอบดูอยู่ห่างๆ
เพื่อทำความเข้าใจโครงสร้างของการป้องกันเวทมนตร์ แต่เหมือนพอมีเซเรสทุกอย่างจะง่ายจนแม้แต่เขายังตกใจ
และการล้วงข้อมูลก็สำเร็จเริ่มดำเนินแผนการขั้นต่อไปได้.. หลังจากนั้นกรีก็ได้รับคำสั่งจากผู้จ้างวานอีกครั้งว่าให้เขาไปปล้นตระกูลขุนนางตกอับตระกูลหนึ่ง
“เอ้ะ แต่ว่าตระกูลขุนนางนี้มัน… ไม่น่าจะมีอะไรให้ปล้นนะ…”
“รู้สึกว่าจะมีข้อมูลลับ ช่างเถอะ แค่เจ้าหากระดาษสักแผ่นแล้วก็หยิบกลับมาก็พอ ถ้าเจอใครฆ่าปิดปากให้หมด”
ในตอนนั้นเองกรีก็เข้าใจสิ่งที่ชายตรงหน้าต้องการทันที.. ชายคนนี้มัน.. ต้องการจะห่าคนในตระกูลนั้นทิ้งนั่นแหละ
แต่ว่ากรีไม่ใช่มือสังหารสักหน่อย เขาเป็นแค่โจรนะ ถึงจะปล้นแล้วฆ่าก็มีบ้างก็เถอะ แต่ไม่ได้คิดจะไปฆ่าคนเปล่าๆ สักหน่อย
ในขณะที่กำลังจะปฏิเสธนั้นเอง
“อ้อ แล้วก็เด็กคนนั้นน่ะชื่ออะไรนะ”
พอผู้จ้างวานถาม คิ้วของกรีก็กระตุก เขาไม่ได้สนใจเซเรสสักนิด ต่อให้เซเรสจะสร้างผลงานไว้เยอะ แต่ยัยเด็กนั่นยังมาทำท่าทางออดอ้อนเขา
เหมือนต้องการคำชมอะไรแบบนั้น มันยิ่งทำให้เขาหงุดหงิดอยู่แล้ว สิ่งที่เขาทำคือต่อยเซเรสไปทีหนึ่งเลยล่ะ พอผู้จ้างวานที่เหมือนจะเป็นคนใหญ่คนโตมากพูดถึงคนที่ตัวเองเกลียดที่สุด เขาก็ไม่อยากพูดถึงอยู่แล้ว
แต่พอเห็นสายตาที่จ้องมา กรีก็ไม่กล้าขัด
“เธอมีชื่อว่าเซเรส.. เป็นลูกสาวข้าเอง…”
“งั้นเหรอ.. แล้วเด็กนั่นเคยฆ่าคนมาก่อนหรือเปล่า หรือกลัวอะไรเป็นพิเศษไหม”
พอได้ยินอีกฝ่ายทำกรีก็ชักเริ่มจะรู้สึกแปลกๆ แล้ว แต่ก็ได้เงินมาแล้วอีกอย่างยัยเด็กนั่นไม่ใช่ลูกเขาอีกแล้ว ดังนั้นเซเรสจึงไม่สำคัญอีกต่อไป
เขาจึงไม่ลังเลที่จะบอกความจริงทุกอย่างให้กับชายตรงหน้าโดยไม่รู้สึกเป็นห่วงเซเรสเลยสักนิด
พอชายคนนั้นเข้าใจเกี่ยวกับเซเรสมากขึ้น เขาจึงยิ้มออกมาที่มุมปาก..
“ร่างที่เก้าของข้า.. พรสวรรค์ด้านเวทมนตร์… ฮ่าๆ”
เขาหัวเราะออกมาทำให้กรีถึงกับสับสน และไม่เข้าใจสิ่งที่ชายคนนี้พูด เขาไม่รู้ชายคนนี้ต้องการอะไร แต่หลังจากที่หัวเราะเสร็จเขาก็เงยหน้าขึ้นมา
“ให้เด็กนั่นเป็นคนไปฆ่าตระกูลขุนนางนั่น”
หากคนที่ไม่เคยฆ่าคนมาก่อนแล้วฆ่าคน โดยเฉพาะเด็กที่อายุไม่กี่ขวบเท่านั้นละก็.. จิตใจต้องแตกสลายอย่างแน่นอน
เมื่อเป็นแบบนั้นการกลืนกินจิตใจของเด็กนั่นจะต้องง่ายดายขึ้นอย่างแน่นอน
พอเป็นแบบนั้นได้ร่างที่เก้ามาไม่พอ ยังสามารถปลดผนึกพันธนาการของไอ้ปราชญ์ไรนั่นได้อีก
เขารู้สึกเหมือนโชคหล่นทับจึงหัวเราะออกมา
“แน่นอนว่าเจ้าเองก็ไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธเช่นกัน… หากปฏิเสธขึ้นมา… ข้าจะฆ่าพวกเจ้าทั้งตระกูล”
พอเขาขำเสร็จเสียงที่ดังต่อมาก็เต็มไปด้วยจิตสังหาร ดวงตาที่จ้องไปยังกรีมันทำให้ร่างกายเขารู้สึกหนาวสั่น
กรีที่ได้ยินแบบนั้นเขาที่ตอนแรกกำลังจะปฏิเสธก็สะดุ้งพร้อมกับถอยหลังไปหลายก้าว กรีรู้ทันทีว่าอีกฝ่ายน่ะไม่ใช่คนธรรมดาแน่ๆ
เขาไม่มีทางเลือกจึงต้องยอมทำตาม อันที่จริงชีวิตของคนนอกคอกอย่างเซเรสคนเดียวแลกกับคนทั้งตระกูลถามกรี กรีคงตอบได้โดยไม่ลังเลอยู่แล้ว
หากเป็นคนอื่นที่ไม่ใช่เซเรสเขาคงคิดเยอะกว่านี้..
แต่สำหรับเซเรส ต่อให้เธอจะตายไปตอนนี้ เขาก็ไม่สนใจอะไรมากเพราะว่า
ความเกลียดชังที่เขามีต่อเซเรสที่ทำให้เขาผิดหวังซ้ำแล้วซ้ำเล่าตั้งแต่มาถึงนี่ มันทำให้เขามีอคติต่อเซเรสไปโดยสิ้นเชิง