บทที่ 208 – โศกนาฏกรรมของสามคน
และด้วยคำสั่งของนายจ้างที่จ้างกรีให้ใช้เซเรสไปบรรจงฆ่าอย่างประณีตใส่ศัตรูที่มีสภาพน่าเวทนาถึงขีดสุด
ต่อให้จิตใจจะแข็งแกร่งขนาดไหนก็ต้องมีเจ็บปวดกันบ้าง นั่นคือความคิดของชายหนุ่ม เขาคาดหวังจะให้เซเรสสติแตกนั่นเอง
หากว่ากันตามตรงการฆ่าคนที่ไม่รู้จักสำหรับเด็กบางคนที่เติบโตมาในโลกอันโหดร้ายทารุณนี้อาจจะไม่ได้ตระหนักถึงความผิดกันก็ได้
ยิ่งเฉพาะอีกฝ่ายเป็นโจรบางทีคงถูกปลูกฝังมาตั้งแต่เด็กว่าไม่ปล้นก็อดตายอะไรแบบนั้น
แต่ว่าเป้าหมายที่ต้องกำจัดคือครอบครัวเล็กๆ ที่แทบจะไม่มีปัญญาเลี้ยงชีพตัวเองด้วยซ้ำ อันที่จริงหากโตอีกนิด ความเห็นใจก็อาจจะหายไปตามประสบการณ์ชีวิต
แต่เขามั่นใจว่าด้วยอายุแค่นี้ถ้าหากเจอชีวิตที่ลำบากกว่าตัวเองก็คงต้องรู้สึกผิดอย่างมากจนอาจจะถึงขั้นจิตใจแตกสลาย
พอคิดได้แบบนั้นชายคนนั้นก็หัวเราออกมาในบนบัลลังก์ แต่ในตอนนั้นเองเบื้องหน้าก็หญิงสาวคนหนึ่งปรากฏขึ้นมา
“ท่านพี่ข้าคิดว่าไม่นานนังเด็กนั่นก็คงได้กลับมาแล้ว เพราะข้ากระจายข่าวให้แล้วไงล่ะ”
คนที่ปรากฏตัวขึ้นจากความว่างเปล่าคือเลมิสทาเรียที่มีหน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส พอชายตรงหน้าเห็นหน้าผู้เป็นน้องเขาก็ยิ้มออกมา
“แบบนี้ก็เหลือแค่เวลา…”
ชายคนนั้นพูดด้วยรอยยิ้มที่ดูน่ากลัว แต่เหมือนจะนึกอะไรขึ้นมาได้เขาก็เงยหน้าขึ้นมาถามเลมิสทาเรียด้วยความสงสัย
“แล้วเจ้าจะกลับมาทำไม สื่อสารผ่านเวทมนตร์ของเจ้าก็ได้นี่น่า”
พอเขาพูดออกมาแบบนั้น เลมิสทาเรียก็เบ้ปากแก้มพองพร้อมกับกระทืบเท้าใส่ชายตรงหน้า
“หึ ข้าก็คิดอยู่ว่าตั้งแต่ท่านพี่ไบรอัสขึ้นเป็นราชาของประเทศนี้ท่านก็ชอบทำตัวห่างเหินข้า ข้าไม่ได้คิดไปเองจริงๆ ด้วย ข้าแค่คิดถึงท่านไม่ได้หรือไง”
“อ๊ะๆ ข้าขอโทษๆ”
ไบรอัสพอได้ยินคำพูดของเลมิสทาเรียเขาก็เหงื่อตกเล็กน้อยก่อนที่จะรีบพูดขึ้นด้วยความเสียใจนิดหน่อย
“หึ ไม่ต้องมาพูดกับข้าเลย”
“อาา ข้าขอโทษจริงๆ นะ จริงสิข้ามีของขวัญมาให้เจ้าด้วย”
เลมิสทาเรียเหล่มองเล็กน้อยก่อนที่จะหันหน้าหนีอีกรอบทำเป็นไม่สนใจพร้อมกับพูดด้วยท่าทีผิดหวังว่า
“ท่านพี่คิดจะเอาของขวัญมาหลอกล่อข้าง่ายๆ หรือไง”
“น่าๆ ดูก่อนสิ.. ของนี่อาจจะเป็นสิ่งที่ทำให้เจ้าสนุกกับแผนการครั้งนี้ได้มากขึ้นอีกนะ”
พอไบรอัสพูดแบบนั้นเลมิสทาเรียก็หันหน้ามาทันที
“ท่านหมายความว่าอะไร”
ไบรอัสไม่ได้ตอบคำถามทันที เขาหยิบสร้อยคอสองชิ้นขึ้นมาพร้อมกับพูดขึ้น
“นี่คือสร้อยผลึกชีวิต”
พอเขาพูดออกมาแบบนั้น เลมิสทาเรียก็นิ่งชะงัดไปพักหนึ่งก่อนที่เธอจะพุ่งเข้ามาจับของในมือของไบรอัสด้วยสีหน้าตกใจ
“ไอ้อาร์ติแฟ็คที่เราเคยอ่านเจอในหนังสือแปลกๆ นั่นมันมีจริงเหรอเนี่ย ท่านได้มันมาจากไหนกันเหรอ?”
พอเห็นท่าทางตื่นเต้นของน้องสาวเขาก็อมยิ้มพูดด้วยน้ำเสียงภาคภูมิใจว่า
“ได้มาจากไอ้พวกสิ่งมีชีวิตที่ออกมาจากชิ้นส่วนเวหาน่ะ ข้าเองก็ไม่คิดว่าของแบบนี้จะมีอยู่บนโลกจริงๆ”
เลมิสทาเรียหยิบสร้อยผลึกชีวิตด้วยมือสองข้างพร้อมกับสีหน้าที่ยากจะเห็นได้จากใบหน้าเล็กๆ ของเธอ
“สร้อยผลึกชีวิต… สร้อยที่คัดลอกมาจากเวทมนตร์ของใครสักคนในยุคสมัยก่อนหน้า… สร้อยทั้งสองจะทำการหลอมผสานกับสิ่งที่อยู่ภายในตัวของทุกสรรพสิ่งที่สวมใส่..”
“มันจะผสานกับสิ่งที่เรียกว่า ‘กรรม’ แล้วความสามารถของมันล่ะ?”
ไบรอัสส่ายหน้า เขาไม่ต้องพูดอะไรเลมิสทาเรียก็รู้ว่ายังไม่เคยลองและไม่สามารถตรวจสอบได้ แต่จากที่เธอเคยอ่านมา
ทุกสรรพสิ่งบนโลกนี้ประกอบด้วยองค์ประกอบหลายอย่าง พลังชีวิตและจิตวิญญาณ แต่มันมีสิ่งที่พูดไม่ออกกล่าวไม่ถึงอยู่
ฟังดูเลือนรางแต่ก็อธิบายได้อย่างลงตัว.. ‘กรรม’ กรรมในที่นี้ไม่ได้หมายถึงบาปกรรมที่เกิดจากการทำชั่วเพียงอย่างเดียว
แต่หมายถึงหลักการที่เรียกว่าเมื่อมีต้นเหตุย่อมมีผลลัพธ์ หากจำให้อธิบายง่ายๆ สิ่งมีชีวิตอย่างเราๆ นั้นเกิดมาจาก พ่อและแม่
งั้นบางทีตัวเราเองก็คงเป็นผลลัพธ์ที่มีต้นเหตุมาจากพ่อแม่.. หรือก็คือเราคือกรรมของพ่อกับแม่ที่ได้สร้างขึ้นมานั่นเอง
กรรมเหล่านี้ไม่ใช่แค่สิ่งที่สามารถพูดถึงแต่ยังรวมถึงสิ่งที่มองไม่เห็นอย่างความรู้สึก ความนึกคิดหรือแม้แต่จิตวิญญาณ
ใช่แล้วล่ะ.. เมื่อเก็บเจ้านี่ไว้กับตัวสักพักมันก็จะหลอมรวมกับกรรมของเรา… และเชื่อมกรรมของเราเข้ากับอีกคนที่ถือครองสร้อยอยู่
มองดูเหมือนไม่มีอะไรมาก.. แต่ว่ากันในอีกบางกรณีคือเมื่อคนสองคนถือครองสร้อยนี้พร้อมกัน.. พวกเขาเกือบจะกลายเป็นคนที่มีต้นกำเนิดเดียวกัน
หากใช้ถูกวิธี.. ผู้ที่มีกรรมแข็งแกร่งกว่าหากตายขึ้นมา.. ก็สามารถย้ายร่างไปยึดอีกร่างมาเป็นของตัวเองได้เลย!
เพราะแต่แรกเริ่มเดิมทีนั้นพวกเขาก็เหมือนคนคนเดียวกันไปแล้วนั่นเอง แน่นอนว่าไม่ว่าจะอารมณ์หรือความรู้สึกย่อมสื่อถึงกัน
แม้แต่ความทรงจำ… หากทุกอย่างในตัวมนุษย์ล้วนแล้วมีแต่กรรมไม่ว่าจะหัวใจที่สูบฉีดเลือดนั้นก็คงนับว่าเป็นเหตุ ส่วนผลลัพธ์ที่เกิดคือทำให้ร่างกายถูกหล่อเลี้ยง
หรืออาจจะเป็นการที่ปอดสูดเอาอากาศเข้ามาคือเหตุ ผลก็คงเป็นมีออกซิเจนหล่อเลี้ยงเลือด…
กฎแห่งเหตุและผล..หรือในอีกชื่อที่เรียกว่า กฎแห่งกรรมนั้นล้วนแทรกซ้อนอยู่ในทุกๆ อย่าง เมื่อมันผสานหลอมรวมกันแล้ว…. ทุกอย่างจะแทบไม่ต่างกันเลยสักนิด
เสียงหัวเราะของเลมิสทาเรียดังขึ้น…
“ฮ่าๆ ยัยเด็กที่ชื่อเลทิเซียนั่นกับเป้าหมายที่ต้องถูกกำจัดของเราเป็นเพื่อนกัน.. หากให้พวกมันทั้งสองแชร์ความรู้สึกกันตอนที่พ่อกับแม่ของยัยเด็กนั่นตาย..”
“แต่ว่าการที่จะทำให้สร้อยหลอมผสานได้ต้องถือไว้ประมาณห้าถึงหกวัน อีกอย่าง… เราจะให้สร้อยสองคนนั้นได้ยังไง”
ไบรอัสเอียงคอ เขาตามน้องสาวเขาไม่ทันเล็กน้อย แม้การต่อสู้เขาจะเหนือกว่าน้องสาวไปมากพอสมควร แต่เรื่องสมองเขากลับเทียบน้องสาวไม่ได้เลย
ไม่ได้หมายความว่าไบรอัสโง่ แต่แค่น้องสาวเขาเจ้าแผนการเกินไป… เลมิสทาเรียยิ้มขึ้น
“ไม่ต้องห่วงแค่ใช้เวทมนตร์ควบคุมจิตใจคนให้รางวัลให้มันมอบให้เด็กนั่นก็พอแล้ว เพราะจากความสามารถยัยเด็กที่ชื่อเลทิเซียนั่นต้องชนะอันดับหนึ่งแน่นอน.. และจากนิสัยเหมือนจะเป็นคนห่วงเพื่อนมากๆ หากเพื่อนจู่ๆ ก็โดนเรียกตัวไปเหมือนเพื่อนอีกคนละก็… ของที่อาจจะช่วยได้ก็คงถูกมอบให้ทันทีโดยไม่ลังเล”
“ต่อให้เธอคิดจะมอบสร้อยอีกเส้นให้คนอื่น แต่ในการแข่งขันครั้งนี้ก็ห้ามออกนอกเขตมากเกินไป เธอคงไม่มีโอกาสได้ให้สร้อยคนอื่นแน่และภายในเจ็ดวันหลังจากนี้.. ยัยสเตฟานี่นั่นต้องตายและในช่วงนั้นจะเข้าสู่การแข่งขันรอบสองพอดี..”
“หมายความว่า พอผสานกรรมเสร็จความทรงจำก็จะไหลย้อนทวนกลับมาไปเจอตอนที่พ่อแม่ของเด็กที่ชื่อสเตฟานี่นั่นตาย..และไม่กี่นาทีต่อมาข้าจะเข้าควบคุมร่างและพามาในพื้นที่ที่สเตฟานี่กำลังจะตายและจะเห็นเพื่อนตัวเองตายต่อหน้าต่อตา.. แบบนี้คงจิตใจแหลกเหลวเป็นแน่…. ฮ่าๆๆ”
“ทุกอย่างมันลงตัวซะอย่างกับว่า.. ยัยเด็กนั่นโดนพระเจ้าเกลียดถึงได้เจอชะตากรรมเช่นนี้งั้นแหละ ฮ่าๆ”
ใช่แล้ว… ทุกอย่างตั้งแต่เริ่มแรกเดิมทีนั้นล้วนเป็นแผนการที่จะทำลายจิตใจของเลทิเซียทั้งสิ้น
และแน่นอนว่าในตอนนั้นพวกเขาทั้งสองก็ไม่คาดคิดเช่นกันว่าเซเรสกับสเตฟานี่และเลทิเซียจะเป็นเพื่อนกัน..
หากเป็นแบบนั้นเลมิสทาเรียคงตื่นเต้นจนแทบจะกลายเป็นบ้า..
เพราะหากทุกอย่างเป็นไปตามแผน.. นี่จะไม่ใช่โศกนาฏกรรมที่สังเวยเด็กไม่กี่คน..
แต่จะเป็นโศกนาฏกรรมอันน่าสลดที่แตกหักของ…เพื่อนสามคน