บทที่ 209 – สายตานั่น
ดาบในมือของเซเรสสะบั้นแขนขาของคนพิการตรงหน้าออกตามคำสั่งของพ่อตัวเองที่ยืนอยู่ด้านข้าง
พร้อมกับดึงหัวของผู้หญิงอีกคนที่นั่งคุกเข่าไม่มีเรี่ยวแรงต่อต้านวางลงตรงหน้า.. ดวงตาของเซเรสมีเพียงความว่างเปล่า
เธอไม่รู้ว่าทำไมคนที่ลงมือทำแบบนี้ต้องเป็นเธอ แต่ทว่าภาพตรงหน้าที่มันดูไม่น่ามองนี้เธอได้แต่พึมพำกับตัวเองว่า
เพื่อเพื่อนของเธอที่บอกว่าไม่ควรทำให้ครอบครัวเดือดร้อน..
เธอในตอนนี้ต้องการเพียงอย่างเดียวคือ.. กลับไปหาเพื่อนของเธอในสถานที่อันแสนอบอุ่นในโรงเรียนที่มีเลทิเซีย
และสเตฟานี่ คนที่คอยช่วยเหลือเซเรสอย่างเงียบๆ ทำไมเธอจะไม่รู้ล่ะว่าสเตฟานี่เคยช่วยตัวเองไว้บ่อยครั้งแม้เธอจะไม่เปิดปาก
ถ้าหากการทำเพื่อครอบครัวมันสำคัญที่สุดแบบนั้นจริงๆ เพื่อคนที่เธอเชื่อใจที่สุด
เพื่อคนที่เธอช่วยเหลือเซเรสตลอดมา.. เธอจะต้องทำในสิ่งที่ครอบครัวบอก สายตาของเธอมองไปที่กรีผู้เป็นพ่อ
เขาเองก็มองมาที่เธอ ภายในดวงตานั้นมีเพียงความเฉยชาเท่านั้น เซเรสกัดริมฝีปากเบาๆ พร้อมกับตัดดาบใส่แขนเลโอน่า
เสียงกรีดร้องอันโหยหวนดังออกมาจากปากของเธอเสียงกรีดร้องนี้มันราวกับเป็นใบมีดอันแหลมคมที่ตัดเฉือนเข้าใส่หัวใจของเซเรส
ทุกครั้งที่เธอฟันออกไปจะมีเสียงร้องทรมานออกมา เธอไม่รู้ว่าทำไมต้องค่อยๆ ตัดแขนตัดขาแบบนี้ แน่นอนว่านี่ไม่ใช่สิ่งที่เธอต้องการ
คนสั่งให้เธอทำแบบนี้คือกรี ดังนั้นเซเรสจึงต้องทำ แต่ทุกครั้งที่เธอทำแบบนั้น หน้าอกของเธอก็รู้สึกเจ็บปวด
แน่นอนว่ามันเป็นดั่งที่ไบรอัสคาดการณ์ไว้ไม่มีผิด แม้ว่าเซเรสจะไม่มีความทรงจำในอดีต แต่อาจจะเป็นเพราะสภาพแวดล้อมสองอย่างที่ต่างกันสุดขั้ว
ตอนอยู่กับพวกสเตฟานี่กับอยู่กับตระกูลตัวเองมันต่างกันโดยสิ้นเชิงมันจึงทำให้เธอสามารถแยกผิดชอบชั่วดีได้
หรืออาจจะเป็นเพราะภายในห้วงลึกของจิตใจของเธอยังมีความอ่อนโยนที่เหมือนจะกลายเป็นสัญชาตญาณเธอไปแล้ว
แต่ไม่ว่าจะอย่างไหนล้วนแล้วแต่ไม่สำคัญเพราะว่าเธอในตอนนี้ได้หวนนึกถึงคำพูดของกรีที่มองมาด้วยสายตารังเกียจ
“อย่าทำให้ข้าผิดหวังละ”
ภาพบางอย่างหวนย้อนกลับมาเป็นภาพของเพื่อนสองคนของตัวเอง ถ้าจะให้พูดก็คือแค่สองคนนี้เท่านั้นที่มีอยู่ในความทรงจำของเซเรส
ใช่แล้ว ทุกอย่างเธอทำเพื่อเพื่อนของเธอต่างหาก เธอไม่อยากให้เพื่อนของเธอผิดหวัง ไม่ใช่กรี แต่เพื่อเพื่อน
และในตอนนั้นคมดาบของเซเรสกำลังจะตัดใส่คอของเลโอน่าประตูห้องก็ถูกเปิดออกพร้อมกับสเตฟานี่ที่พุ่งพรวดเข้ามา
เลโอน่าที่เห็นลูกสาวพุ่งเข้ามา แม้เธอแทบจะไม่สามารถทนความเจ็บปวดได้ แต่ปากของเธอก็ตะโกนออกมาด้วยความห่วงใย
เป็นความรักจากพ่อแม่ เลโอน่านั้นรู้ดีว่านี่คงเป็นแผนของไอ้พวกบัดซบบนบัลลังก์เหล่านั้น
แต่คนแก่ที่ใกล้จะตายเช่นเธอ กับคนพิการหนึ่งคนนั้นล้วนจะมีค่าอะไรเมื่อเปรียบเทียบกับอนาคตของลูกสาวตัวเอง
เธอพยายามจะผลักดันลูกสาวออกจากที่อันตรายด้วยทุกอย่าง แม้แต่ทำให้เธอเป็นเหมือนคนแบกรับภาระของครอบครัว
เพื่อจะให้ลูกสาวเกลียดตัวเองก็กล้ากระทำ แม้การที่ถูกบุตรสาวสุดที่รักของตัวเองเกลียดเข้า คนเป็นแม่คงเจ็บปวดทรมานอย่างยิ่ง
แต่ว่าเธอก็ไม่อยากให้ลูกสาวตัวเองต้องมารับผลกรรมที่ไร้ซึ่งความยุติไปด้วย.. เลโอน่าไม่กล้าพูดว่านี่ทำเพื่อตัวสเตฟานี่
เพราะการที่เธอทำแบบนี้มันทำให้สเตฟานี่เจ็บปวด และการที่ลูกสาวตัวเองเจ็บปวดมันจะไปเป็นการทำเพื่อลูกสาวได้อย่างไร
เธอทำเพราะความเห็นแก่ตัวของตัวเองขับส่งสเตฟานี่ไปไกลจากบ้านไม่ให้เติบโตดั่งเช่นเด็กทั่วไป.. เธอไม่อยากเห็นลูกสาวตัวเองเป็นอะไรไป!
นี่แหละคือความรักของมารดา..
แต่ทว่าในตอนที่เลโอน่ากำลังกล่าวขึ้นนั้นคมดาบของเซเรสก็ตัดลงไปที่คอของเลโอน่าต่อหน้าตอตาของสเตฟานี่
เซเรสเองก็หันขึ้นมามองเห็นคนคนหนึ่งที่พึ่งเปิดประตูเข้ามา เธอเองก็ตกใจว่าทำไมเธอถึงมาอยู่ที่นี่
“สเตฟานี่…?”
สเตฟานี่ร่างกายสั่นเครือ หัวของเลโอน่าร่วงพลุกลงกับพื้นดวงตาของเลโอน่ายังคงเบิกกว้าง ภายในดวงตาที่ไร้ซึ่งแสงยังมีความกังวล
ความเสียใจ และความสิ้นหวัง.. ไม่ใช่เพราะตัวเองตาย แต่เพราะสเตฟานี่มาอยู่ที่นี่ต่างหาก..
“ท.. ทำ… ไม”
สเตฟานี่จ้องไปยังร่างที่ไร้วิญญาณของมารดาตัวเอง ขาทั้งสองข้างสั่นไม่หยุด มันเกิดขึ้นเร็วจนเธอแทบจะไม่ทันตั้งตัว
ทั้งๆ ที่ตอนเช้ายังคงคุยกันเป็นปกติอยู่แท้ๆ แต่ตอนนี้ใบหน้าอันอ่อนโยนของมารดาจะหายไปแล้ว ไม่เหลือแล้ว
คนที่ห่วงใยตัวเอง คนที่ทำทุกอย่างเพื่อตัวเอง.. คนที่สำคัญที่สุดในชีวิต..
“ท่านแม่!!!”
สเตฟานี่ตะโกนออกมาด้วยความสิ้นหวังก้าวขาออกไปหาร่างที่ไร้วิญญาณรากับคนเสียสติ หากแต่ว่ากลับเหยียบพลาดไปถูกข้างหนึ่งที่ถูกตัด
จนล้มคะมำกองเลือดของพ่อแม่ตัวเอง หน้าของสเตฟานี่กระแทกใส่พื้น พอเธอลืมตาขึ้นก็เห็นใบหน้าของมารดาที่ตายตาไม่หลับตรงหน้า
ร่างกายสเตฟานี่สั่นสะท้าน น้ำตาไหลออกมาจากดวงตาผสมกับกองเลือดของมารดาผู้ให้กำเนิดและหัวที่หลุดจากบ่า
เสียงร้องไห้คร่ำครวญแห่งความสิ้นหวังไร้หนทาง ดังออกจากปากของเธอ เธอคลานไปบนพื้นหยิบเอาหัวของมารดาที่สำคัญยิ่งของตัวเองขึ้นมา
ราวกับพยายามจะจับหัวไปต่อกลับคืนร่างที่ไร้หัว เธอกลายเป็นเหมือนคนบ้า ไร้สติ
“ท่านแม่! ท่านแม่!”
ใช่ สเตฟานี่ยังเป็นแค่เด็กอายุสิบสามขวบเท่านั้น แม้เธอจะผ่านเรื่องราวต่างๆ มามากกว่าเด็กทั่วไปรู้จักความดีความชั่วอย่างชัดเจน แต่นั่นหาใช่ว่าเธอจะโตเป็นผู้ใหญ่
การเป็นผู้ใหญ่ไม่ได้วัดได้จากมุมมองเท่านั้น.. เมื่อเธอสูญเสียครอบครัวเพียงสองคนของเธอไปต่อหน้าอย่างไร้หนทางช่วย
เธอไม่กลายเป็นคนบ้าก็นับว่าโชคดี แต่จะบอกว่าตอนนี้ไม่กลายเป็นคนบ้าก็คงพูดไม่เต็มปากนัก
เพราะสติของเธอแทบไม่เหลือจับหัวพยายามต่อติดกับร่างกายหยิบจับทุกอย่างที่ใช้ได้ออกมาเพื่อต่อคอกลับคืนที่เดิมดั่งเช่นคนไร้สติ
“สเตฟานี่…”
เซเรสที่เห็นท่าทางของสเตฟานี่เธอก็ตกใจ แต่ก็พอเข้าใจได้ว่านี่คือพ่อกับแม่ของเพื่อนตัวเอง…?
เซเรสเข้าใจบางอย่างหากแต่เธอกลับไม่ได้แสดงความรู้สึกผิดใดๆ ออกมาบนใบหน้า เธอเพียงแต่แสดงท่าทางหวาดกลัวต่อสภาพของสเตฟานี่ยามนี้
“เจ้าไม่เป็นไรนะ…?”
เซเรสถามออกไปด้วยความเป็นห่วง ดวงตาที่เต็มไปด้วยน้ำตาของสเตฟานี่ก็หันมามองเซเรสด้วยสายตาโกรธแค้น
คำพูดของเซเรสมันเหมือนกับการรดน้ำมันเข้ากองไฟ สายตาที่สเตฟานี่มองมาที่เซเรสมันเต็มไปด้วยความเกลียดชังจากก้นบึ้งของหัวใจ
เซเรสตกใจต่อสายตานั้น ถอยหลังไปหลายก้าวด้วยความสั่นกลัว ที่ผ่านมาสเตฟานี่ไม่เคยมองเธอด้วยสายตาแบบนี้
เซเรสไม่เข้าใจภาพตรงหน้า หากแต่เธอยังไม่ทันได้กล่าวอะไรต่อ เสียงกรีจากทางด้านนอกบ้านก็ดังขึ้น
“มัวรออะไรอยู่ รีบกลับได้แล้ว หรือแกอยากเป็นศพไปด้วยอีกคน”
พอได้ยินเสียงของกรี ร่างเซเรสก็ถูกปลุกขึ้นมาจากความวิตกกังวล สีหน้าเธอเปลี่ยนไป จากคำพูดของกรีคือต้องฆ่าทุกคนที่อยู่ที่นี่
หากกรีมาเห็นสเตฟานี่ละก็.. เธอต้องถูกฆ่าแน่! สีหน้าของเซเรสซีดเผือด เสียงเร่งของกรีดังขึ้นอีกครั้ง
“ข้าให้เวลาสามลมหายใจ ถ้าแกไม่รีบจัดการ ข้าจะให้แกกลายเป็นศพที่สามอยู่ในนั้นด้วย”
เซเรสกัดฟันรีบกระโดดออกไปทางหน้าต่าง และรีบพากรีออกไปจากที่นี่ทันที…
ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว
……….
[กลิ่นความขัดแย้งภายในนี่มันสดชื่นจริงๆ (?) แค่กๆ ผมหมายถึงกลิ่นหลังจากความขัดแย้งแล้วคืนดีกัน.. แต่เอ๊ะ.. คนตายคืนดีไม่ได้นี่น่– *โดนลากไปตบกลางสี่แยก* – ผู้เขียน]