การถือกำเนิดจอมมารผู้เหนือโลกที่สิบสาม – ตอนที่ 211

การถือกำเนิดจอมมารผู้เหนือโลกที่สิบสาม

บทที่ 211 – ดาบแห่งสัจจะ

ภายในป่าแห่งหนึ่งมีเด็กผู้หญิงคนหนึ่งยืนอยู่เธอจ้องไปข้างหน้าที่มีป้ายหลุมศพอยู่สามป้าย หนึ่งเป็นของปู่และอีกสองอันเป็นของพ่อแม่เธอ

สเตฟานี่ไม่ได้กล่าวพูดอะไรเธอเพียงยืนจ้องไปนิ่งๆ ก่อนที่จะหยิบคัมภีร์เล่มหนึ่งขึ้นมา คัมภีร์เวทมนตร์ที่ปู่ตัวเองสร้างขึ้นมา

ก่อนที่เธอจะหันหลังให้หลุมศพทั้งสามและเดินจากไปอย่างเงียบๆ …

……..

ภายในเมืองหลวงหลังจากเซเรสกลับมาถึงที่พักแล้วเธอก็อยู่ไม่เป็นสุขเล็กน้อย เดินวนไปวนมา

เธอหวนนึกถึงใบหน้าโกรธเกลียดของสเตฟานี่แล้วเธอก็กังวลอยู่ตลอด เธอไม่เข้าใจว่าทำไมสเตฟานี่ถึงต้องโกรธขนาดนี้

ก็แค่ฆ่าพ่อแม่ไม่ใช่หรือไง เธอไม่เข้าใจ ถ้าหากพ่อแม่เป็นสิ่งมีชีวิตที่ใช้ชีวิตโดยหวังว่าลูกจะต้องชดใช้คืนแล้ว

การให้พ่อแม่ตายไปก่อนที่เราจะมาเสียเวลากับพ่อแม่ไม่ดีกว่าหรือยังไง ก่อนที่ภาพสายตาของกรีจะลอยเข้ามาในหัวของเซเรสมันทำให้เธอตัวสั่น

“ใช่ ข้าทำเพื่อสเตฟานี่ ทำไมเธอต้องโกรธข้าด้วย.. ต้องไม่ใช่แบบนี้สิ”

แน่นอนว่าสำหรับเซเรสเธอไม่มีทางรู้หรอกว่าพ่อแม่แต่ละคนนั้นแตกต่างกันอย่างไร แต่เมื่อมองในแง่เหตุและผลก็คือ

เมื่อคนแก่ไปจะมีร่างกายที่อ่อนแอลง และในเมื่อถึงเวลานี้ต้องมีใครสักคนมาดูแล มาหาเงิน และแน่นอนคนบนโลกใบนี้เต็มไปด้วยความเห็นแก่ตัว

เซเรสทราบถึงสิ่งนั้นดีแล้ว นั่นหมายความว่าการที่จะใหห้คนอื่นมาช่วยตัวเองในยามลำบากนั้นมันแทบเป็นไปไม่ได้หากไร้ซึ่งผลตอบแทน

ดังนั้นจึงได้มีลูก จึงสร้างสิ่งมีชีวิตขึ้นมาเองและเลี้ยงไว้สักวันเพื่อที่จะให้เด็กนั่นตอบแทนประมาณว่า

ในเมื่อข้าเลี้ยงเจ้าจนโต ก็ดูแลข้าตอนแก่เฒ่ากลับ.. คำพูดของกรีเซเรสยังจำได้ดี ‘เลี้ยงเสียข้าวสุกจริงๆ’

คำพูดนั้นมันสะท้อนสิ่งต่างๆ ออกมามากมาย ทำให้เซเรสเข้าใจว่าทุกอย่างต้องมีผลตอบแทน ไม่มีทางที่ข้าวจานนี้ในวันนี้จะเป็นของฟรีหรอก

เพราะในสักวันคนที่ต้องตอบแทนก็คือเธอ.. ใช่ เธอเข้าใจมันดี แต่มีเพียงสิ่งหนึ่งที่เซเรสคิดว่ามันไม่ใช่.. เพื่อน

คำว่าเพื่อนต่างหากที่สำคัญที่สุด… ดังนั้นเซเรสเลยไม่เข้าใจ กังวล หวั่นวิตกกับท่าทางของสเตฟานี่

ทำไมถึงต้องโกรธเธอขนาดนั้นด้วย… แม้ตอนแรกเธอจะรู้สึกว่าการฆ่าคนมันไม่ดีแต่พอเธอรู้ว่าคนที่ตายคือพ่อกับแม่เพื่อนของเธอ

เธอกลับกลายเป็นว่ารู้สึกดีด้วยซ้ำ เหมือนกับตัวเองได้ช่วยสเตฟานี่ให้หลุดจากพันธะ

ไม่อาจกล่าวได้ว่าเซเรสนั้นใช้ความคิดตัวเองเป็นที่ตั้งมากเกินไป เพราะว่าสำหรับเธอแล้ว ในความทรงจำของเธอ

สิ่งที่เรียกว่าครอบครัวนั้นเต็มไปด้วยความน่ากลัวและความเจ็บปวด สิ่งที่เธอได้เจอนั้นสำหรับเซเรสที่ไร้ซึ่งสิ่งอื่นเปรียบเทียบ

มันก็ไม่ต่างกับว่านั่นเป็นความจริงสำหรับเธอ และหากมองในแง่ผลประโยชน์โดยไม่อิงความรู้สึกหรือความสัมพันธ์

คำว่า พ่อ แม่ ลูก จะสามารถมองได้ว่า พ่อแม่มีลูกเพื่อที่จะให้เลี้ยงตัวเองในยามแก่เฒ่า

จะว่าไปหากมองในแง่ของหลักเหตุผลมันก็เหมือนกับสัตว์ในกรงมที่มนุษย์ขุนไว้ฆ่าทิ้งตอนโต

แต่นี่ไม่ใช่การฆ่าแต่เป็นการเลี้ยงดู ลองมองในมุมกลับกันว่าหากไม่ใช่มนุษย์แต่เป็นสุนัข สุนัขที่มีลูกขึ้นมาเพื่อที่จะไว้ช่วยตัวเองยามแก่เฒ่า

พอไม่ถูกใจก็กัด ก็ว่าจนลูกสุนัขเจ็บปวดเสียใจ เพื่อที่จะให้ลูกสุนัขเป็นไปตามที่แม่สุนัขต้องการให้เป็นไร้ซึ่งอิสระ

พ่อถึงเวลาแก่เฒ่าลูกสุนัขเติบโตหวังจะออกจากบ้านแต่ว่าพ่อแม่ก็เริ่มแก่เฒ่าจำเป็นต้องได้รับการดูแล

ลูกสุนัขจำเป็นต้องดูแลพ่อแม่ เพราะพวกเขาเลี้ยงตัวเองสุดท้ายชีวิตก็ไม่เป็นชิ้นเป็นอัน.. หรืออาจจะมีสุนัขที่ตัวเองรักแต่ก็ไม่ได้พบเจอ

แน่นอนว่าทุกอย่างที่กล่าวมันเป็นเพียงแค่อคติมุมมองของเซเรสเท่านั้น ไม่สามารถกล่าวได้ว่ามันถูกหรือมันผิด เพราะสิ่งที่เธอเจอมาในชีวิต

มันขัดเกลาให้เธอเป็นเช่นนี้

เพราะในโลกของมนุษย์นั้นยังมีสิ่งที่เรียกว่าความรักอยู่จริงๆ เพียงแค่เซเรสอาจจะไม่เคยสัมผัสสิ่งนั้นจากครอบครัว

เธอจึงตัดสินมันตามความเข้าใจของเธอ ไม่มีใครมาบอกเธอได้ว่ามันผิดหรือไม่มีใครบอกเธอได้ว่ามันถูก เธอต้องคิดเองเท่านั้น

เด็กอายุเพียงสิบสามขวบต้องมาเจอปัญหาชีวิตที่เกินตัวเช่นนี้มันผิดตั้งแต่ตอนนั้นแล้วล่ะ…ไม่หนำซ้ำตัวเซเรสเองแทบไม่มีความทรงจำตลอดหลายปีที่ผ่านมาด้วยซ้ำ แต่แน่นอนว่าโลกไม่เคยอ่อนข้อให้ใครอยู่แล้ว

“ข้าต้องไปหาสเตฟานี่…”

เซเรสพึมพำเสร็จก็รีบออกไปจากที่พัก เพราะสำหรับเธอคำว่าเพื่อนนั้นสำคัญที่สุด.. เธอมุ่งหน้าออกจากเมืองหลวงในขณะที่.. สเตฟานี่ก็มุ่งหน้ามาเมืองหลวง

และไม่นานพวกเธอก็เจอหน้ากัน

ห่างออกจากเมืองหลวงไปไม่กี่กิโลเมตรมีร่างของคนสองคนยืนอยู่ ทั้งสองจ้องหน้ากันอยู่ตรงนั้น พอเซเรสเห็นสเตฟานี่เธอก็พูดขึ้นด้วยเสียงแปลกใจ

“สเตฟานี่—”

แต่ยังไม่ทันได้พูดจบ สเตฟานี่ก็ชิงพูดตัดหน้าเหมือนกับไม่สนใจคำพูดของเซเรส

“อะไรกัน ตอนแรกคิดว่าจะจัดการไอ้พวกชักจูงอยู่เบื้องหลังก่อนจะฆ่าเจ้า แต่ในเมื่อเจ้าเอาคอมาถวายถึงที่ก็จะจัดให้ตามคำขอเอง”

ยิ้มบนใบหน้าเซเรสแข็งค้างทันทีที่สเตฟานี่พูดขึ้น เซเรสพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงสับสน “เจ้า—”

แต่เหตุการณ์เดิมก็เกิดขึ้นอีก สเตฟานี่ไม่สนใจเซเรสเลยแม้แต่น้อยคัมภีร์แห่งรูนที่แทบจะไม่เห็นสเตฟานี่ใช้ถูกยกขึ้น

และในตอนนั้นเองคัมภีร์ก็เปิดออกโดยไม่มีคนไปเปิดหน้านังสือ ไร้ซึ่งสายลมพัด เรากับมีแสงสีเทาแห่งความเผด็จการโอบล้อมหนังสืออยู่

และเป็นมันนี่แหละที่ทำให้หนังสือเปิดขึ้นมาเอง พลังสีเทาแห่งความเผด็จการเบื้องหน้าทำให้เซเรสเหมือนถูกบางอย่างกดทับ

ราวกับว่ามีใครสักคนกำลังจ้องมองเธอในฐานะนักโทษที่จะตัดสินโทษของเธอ ร่างกายเธอสั่นสะท้าน

แต่สิ่งแรกที่อยู่ในสายตาเธอก็คือสเตฟานี่ ดวงตาเธอจ้องมองไปที่สเตฟานี่ที่ดูน่ากลัว

“สเตฟานี่… ทำไม…”

แต่เสียงของเธอนั้นไปไม่ถึงสเตฟานี่ที่ห่างออกไปไม่กี่เมตร ราวกับว่าเซเรสและสเตฟานี่ในยามนี้มีกำแพงที่มองไม่เห็นขวางกั้นอยู่

“เซเรสเจ้ารู้หรือเปล่าว่าคัมภีร์นี้คืออะไร?”

สเตฟานี่ไม่ได้รอคำตอบ เธอพูดต่อทันที

“คัมภีร์นี้คือคัมภีร์แห่งสัจจะ มันสามารถปลดพันธนการทุกอย่างให้กลับคืนสู่ความเป็นไปอย่างแท้จริงได้”

“แต่คำว่าสัจจะหาได้มีเพียงแค่นั้นไม่ ตลอดระยะเวลาที่ข้าอยู่กับเจ้านี่มาข้าสัมผัสได้เพียงเลือนรางเท่านั้น”

“แต่ในตอนนี้ข้ามั่นใจแล้วว่าเจ้าสิ่งที่อยู่ในคัมภีร์นี้คืออะไร.. มันคือสิ่งที่จะใช้ตัดสินความผิดของเธอยังไงล่ะเซเรส”

“มีไว้เพื่อฆ่าเธอยังไงล่ะเซเรส”

ในพริบตานั้นดาบเล่มหนึ่งก็โผล่ออกมาจากคัมภีร์แห่งรูน เป็นดาบที่คล้ายกับดาบจูชิน แต่ก็ไม่ใช่ดาบจูชินเพราะมันไม่มีความโค้ง

เป็นดาบที่มีคมเดียว..

“ดาบแห่งสัจจะ”

ราวกับว่าสเตฟานี่ได้ตระหนักรู้ถึงพลังที่เรียกว่า ‘สัจจะ’ อย่างท่องแท้… มันทำให้เธอสามารถใช้ดาบเล่มนี้ได้

มันคืออาวุธประจำตัวของปู่เธอ เป็นอาวุธที่สร้างขึ้นมาจากพลังแห่งสัจจะจากคัมภีร์แห่งรูน จะว่าง่ายๆ ก็คือ

ดาบเล่มนี้มันถูกสร้างขึ้นมาจากตัวหนังสือของคัมภีร์ และตัวหนังสือเหล่านั้นล้วนเป็นอักษรรูนทั้งสิ้น

ที่เห็นดาบเป็นสีดำเพราะว่า.. ตัวดาบมันทำจากอักษรรูนนับพันในคัมภีร์!! แม้จะมีข้อเสียอย่างใหญ่หลวงอยู่หนึ่งอย่าง

แต่หากว่ากันตามตรงดาบเล่มนี้คือดาบที่จะสามารถ ‘ฆ่า’ ผู้ใดก็ได้ตามความปรารถนาของผู้ถือ

นอกจากนี้ไม่ว่าใครก็ตามที่ตายด้วยดาบนี้จะถูกคนทั้งโลกยอมรับโดยไม่มีข้อโต้แย้ง.. เป็นดาบตัดสินโทษดีๆ นี่เอง

ต่อให้ฆ่าพระราชา พระราชินีก็จะเห็นด้วย ฆ่าเจ้าชาย พระราชากับราชินีล้วนเห็นด้วย!! นี่แหละคือความน่ากลัวของดาบเล่มนี้

สามารถบิดเบือนความจริงบางส่วนได้ในระดับหนึ่ง!

การถือกำเนิดจอมมารผู้เหนือโลกที่สิบสาม

การถือกำเนิดจอมมารผู้เหนือโลกที่สิบสาม

Status: Ongoing
เรน ชายหนุ่มผู้มองโลกในแง่ร้ายสุดแสน ดันเป็นบัคจึงไปเกิดใหม่ในต่างโลกพร้อมพรสามข้อได้ แต่ด้วยพรสามข้อบางอย่างในคำขอทำให้เขาเกิดใหม่เป็นผู้หญิงทั้งยังกลายเป็นจอมมารไม่พอยังถูกแม่ตัวเองทิ้งไว้กลางป่าไปเฉยเลย!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท