บทที่ 213 – โชคชะตาเล่นตลก
“ของอย่างครอบครัวน่ะมันก็เหมือนการผูกมัดไม่ใช่เหรอสเตฟานี่ การที่คนผูกมัดเจ้าหายไปมันไม่ดียังไงเหรอ ข้าไม่เข้าใจเลยสักนิด”
เซเรสพูดออกมาด้วยสีหน้าไม่เข้าใจ เธอไม่ได้สังเกตเห็นสีหน้าสเตฟานี่ในยามนี้เลยแม้แต่น้อย
แต่ว่าการที่ต้องมัวแต่มานั่งตอบแทนบุญคุณแบบนี้จนไม่มีเวลาเป็นของตัวเอง การที่พ่อกับแม่ตายไปแล้ว
มันก็ดีแล้วไม่ใช่เหรอ จะได้ไม่มีใครมากำหนดอนาคตของเรา ไม่ต้องมาจมปลักกับการตอบแทนบุญคุณ
หากเป็นตอนแรกเซเรสอาจจะไม่กล้าพูดแบบนี้เพราะภายในอกของเธอยังมีตาชั่งความผิดชอบชั่วดีอยู่ เธอรู้ว่าการฆ่าคนมันผิด
นั่นคือความรู้สึกผิดของเธอ แต่ทว่าสเตฟานี่เป็นคนพูดเองนี่ว่าตัวเองยังไม่ได้ตอบแทนพ่อกับแม่ หมายความว่า
ตัวสเตฟานี่เองก็ไม่ต่างกับเธอเลย ใช่ ต้องทดแทนบุญคุณพ่อแม่และการคาดเดาของเธอก็เป็นจริง
สิ่งที่เรียกว่าครอบครัวนั้นมันต่างจากสายสัมพันธ์ของเพื่อน ที่ไม่มีสิ่งใดมาเหนี่ยวรั้งเราไว้อย่างการต้องทดแทนบุญคุณ
ไม่ได้มีสายเลือดเดียวกัน ไม่ได้เกิดมาจากเพื่อนอีกคน แต่กลับมีความสุขด้วยกัน ยิ้มไปด้วยกัน นั่นแหละคือความสัมพันธ์ที่ดีที่สุดของเซเรส
ดังนั้นเธอจึงไม่เข้าใจคำพูดของสเตฟานี่เลยสักนิด ทั้งที่บอกว่าตัวเองก็เป็นเหมือนกับเซเรส แต่จะมาแตกหักกับเพื่อนเพราะเรื่องครอบครัวเนี่ย
มันไม่เกินไปหน่อยเหรอ เซเรสมั่นใจว่าหากให้เธอเลือกระหว่างเพื่อนและครอบครัว เธอจะต้องเลือกเพื่อนอย่างแน่นอน
แต่ทำไมสเตฟานี่ถึงไม่ได้เลือกเธอ ไม่ได้เลือกเพื่อนที่อยู่ด้วยกันล่ะ เธอไม่เข้าใจเลยสักนิดเดียว
เธอพูดกับสเตฟานี่ด้วยสีหน้าที่เจ็บปวด
“ข้าไม่เข้าใจเลยสักนิด สเตฟานี่ ทำไมมันถึงต้องกลายเป็นแบบนี้”
“ในตอนแรกข้าฆ่าคนด้วยความรู้สึกที่ว่าทำไมข้าถึงต้องมาเจออะไรแบบนี้ ข้าน่ะเป็นแค่เด็กธรรมดาเท่านั้นนะ”
“ทำไมต้องมาแบกรับความต้องการของสิ่งที่เรียกว่าครอบครัวด้วย ข้าไม่เห็นจะเข้าใจ ทำไมข้าต้องมาตอบแทนครอบครัวที่ไร้ค่าของตัวเองด้วย”
“ข้าตั้งคำถามตั้งมากมาย แต่ก็ไร้ซึ่งคำตอบ ใช่ จนสุดท้ายข้าก็รู้ว่ามันเป็นสิ่งที่จำเป็นต้องทำน่ะ เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้น่ะ”
“ข้าบอกกับตัวเองแบบนั้น และลงมือฆ่าคนในตอนนั้นข้ากลัวมาก.. แต่ก็เพราะคำพูดขงเจ้ากับเลทิเซียที่ทำให้ข้าปัดเป่าความรู้สึกเหล่านั้นทิ้ง”
“ ‘ไม่ควรทำให้ครอบครัวเดือดร้อนเด็ดขาด’ น่ะ ข้าจึงฆ่าคนด้วยความรู้สึกที่ว่า ไม่อยากทำให้ครอบครัวเดือดร้อนเพราะความไม่เอาไหนของตัวเอง”
“อีกทั้งยังเป็นครอบครัวของเจ้า.. มันไม่ดียังไงเหรอสเตฟานี่ ข้าน่ะช่วยปลดพันธนาการเจ้าออกจากการตอบแทนบุญคุณ มันไม่ควรเป็นแบบนี้นี่”
“สิ่งที่เรียกว่าพ่อแม่หรือครอบครัวน่ะ.. มันมีดีอะไรถึงทำให้พว—”
สเตฟานี่ที่อุตส่าห์ทนฟังคำพูดของเซเรสมาตั้งแต่ต้นจนจบเธอไม่อาจทนคำพูดหมิ่นประมาทของอีกฝ่ายที่พูดต่อคนผู้ให้กำเนิดตัวเองได้อีกต่อไป
“หุบปาก หุบปาก หุบปาก”
สเตฟานี่ตะโกนออกมาสุดเสียงพร้อมกับเงยหน้าขึ้น ดวงตาดำมืดของเธอจ้องไปที่เซเรสด้วยความรังเกียจ
ราวกับมองสิ่งต่ำตมยิ่งกว่าอสูรมอนสเตอร์ ราวกับว่าเซเรสไม่ใช่มนุษย์เหมือนกับตัวเอง
“เจ้ามันจะไปรู้อะไรเกี่ยวกับท่านแม่ของข้า!!! จนถึงตอนนี้ข้าถึงได้รู้ดีล่ะ ว่าเจ้าน่ะมันต่ำตมยิ่งกว่าสวะ เป็นเพียงแค่ลูกเนรคุณที่ไม่รู้จักบุญคุณพ่อแม่”
“เจ้าคิดว่าตั้งแต่เด็กจนโตมาถึงตอนนี้ใครเป็นคนเลี้ยงดูข้า เจ้าเหรอ? ไม่เลย ท่านแม่ของข้าที่เลี้ยงดูข้ามาตลอด”
“สำหรับเจ้าน่ะ มันเทียบไม่ได้แม้แต่ปลายผมของท่านแม่ของข้า”
“กลับกัน เจ้าเองก็เติบโตมาถึงป่านนี้ได้เพราะใคร เจ้าลืมตาดูโลกได้เพราะใคร เจ้าหัดรู้จักสำนึกบุญคุณซะบ้าง”
“เพราะหากไม่ทำเช่นนั้น เจ้าจะต่างอะไรไปจากสัตว์เดรัจฉานที่ไม่รู้จักบุญคุณคน ฮ่าๆ น่าแปลกที่ข้าอยู่กับคนแบบเจ้ามาจนถึงทุกวันนี้ได้”
“เจ้ามันสมควรตาย!!!”
คำพูดของเซเรสแต่ละคำมันทำให้สเตฟานี่รู้สึกเดือดดาล ผู้หญิงตรงหน้าเธอไม่เพียงแต่ไม่รู้จักบุญคุณ แต่ยังดูถูกแม่ที่รักยิ่งของเธอ
สำหรับเธอแล้วมันคือการหมิ่นที่รุนแรงที่สุดในชีวิ ความเกลียดชัง ความรังเกียจที่เผยออกมามันทำให้เซเรสหวาดกลัว
สายตานี้มันรุนแรงและน่ากลัวยิ่งกว่าสายตาของกรีผู้เป็นพ่อตัวเองซะอีก แต่ถึงอย่างนั้นเซเรสก็ไม่ยอมสเตฟานี่
เธอตะโกนตอบโต้กลับเช่นกัน เพราะเธอเองก็รู้สึกโกรธเช่นกันที่สเตฟานี่พยายามยัดเยียดอุดมคติที่ว่า บุญคุณต้องแทนให้เธอ
ทำไมเธอต้องทดแทนคนที่ทุบตีเธอจนเกือบตายคามือด้วยล่ะ อีกอย่างเซเรสก็คิดว่าสเตฟานี่ไม่ถูกต้อง แน่นอนว่าเธอไม่มีทางอ่อนข้อให้เพื่อนที่ผิดหรอก
“หุบปากอะไร เจ้าก็มีดีแต่จะพูด คำก็ทดแทน สองคำก็ทดแทน ถ้าไม่มีของแบบนั้นเจ้ามีชีวิตอยู่ไม่ได้เลยหรือไง”
“การอยู่ภายใต้คำพูดคนอื่นเสมอ ภายใต้ความต้องการคนอื่นเสมอมันง่ายนิ ไม่ต้องคิดเอง ลืมตาได้แล้วสเตฟานี่ เจ้าไม่จำเป็นต้องไปทำอะไรแบบนั้นก็ได้”
“เพราะว่าพวกมันตายหมดแล้วไงล่ะ”
เซเรสพูดออกมาด้วยน้ำเสียงโกรธเคืองใช่ต่อให้สเตฟานี่โดนบังคับให้ทดแทน หรือตั้งใจจะทดแทนด้วยตัวเองตามทัศนคติของเธอ
แต่ทุกอย่างมันจบแล้ว เธอไม่จำเป็นต้องทำอะไรอีกแล้ว สเตฟานี่สบถด้วยความเกลียดชัง
“ถ้าอย่างนั้นข้าจะฆ่าพ่อแม่แบบที่เจ้าทำกับครอบครัวของข้าเช่นกัน เจ้าจะได้เป็นเหมือนข้า”
พอสเตฟานี่พูดแบบนั้นออกมา เซเรสก็ยกไม้ยกมือเชื้อเชิญ เหมือนกับยั่วยุ ถึงจะเป็นความต้องการจริงๆ แต่ทว่าสำหรับสเตฟานี่ที่มีอคติต่อเซเรส
ไม่ว่าเซเรสจะแสดงท่าทางยังไงก็ยังถูกมองในแง่ลบ
“งั้นก็เชิญสิ รออะไรล่ะ ไม่รีบไปฆ่าซะล่ะ”
“อย่างที่คิด เซเรสเจ้ามันเป็นผู้หญิงที่เลวทรามต่ำช้าที่สุดที่ข้าเคยเห็นมาเลย ข้าจะฆ่าเจ้าเองเซเรสผู้เนรคุณ”
สเตฟานี่พูดออกมาด้วยน้ำเสียงเกลียดชัง คำพูดของสเตฟานี่ไร้ซึ่งความปรานีแม้แต่น้อย แม้แต่คนอย่างเซเรสเองก็ยังรู้สึกโกรธขึ้นมา
“โกรธอะไรของเจ้ามีอะไรที่ข้าพูดผิดหรือยังไง? ไม่ต้องห่วงน่า ต่อให้เจ้าจะเลวทรามแค่ไหน พอข้าฆ่าเจ้าเสร็จข้าจะตายตามเจ้าไปเอง”
“เพราะว่าชีวิตของข้ามันจบสิ้นตั้งแต่ตอนนั้นแล้วล่ะ…”
พอเธอพุดเช่นนั้นก็แสดงความเศร้าสร้อยออกมาก่อนที่มันจะหายไปทันที แต่มีหรือที่เซเรสที่ยืนอยู่ห่างไม่กี่เมตรจะไม่สังเกตเห็น
“แต่ก็อย่างว่าสวะเช่นเจ้าก็ควรตายอยู่ดี เสียเวลาคุยกับเจ้ามานานแล้วเซเรส ถึงเวลาตายของเจ้าแล้วล่ะ”
สเตฟานี่พูดอย่างเฉยชา โดยไม่รีรอเธอก้าวขาออกไปพุ่งดิ่งเข้าหาเซเรสอย่างเลือดเย็น เธอยกดาบเป็นแนวตั้งขึ้นสูง
ราวกับการลงดาบนี้จะเป็นการลงดาบครั้งสุดท้ายของเธอ
“หึเจ้ามันบ้าไปแล้วสเตฟานี่”
เซเรสบ่นออกมาก่อนที่จะพุ่งเข้าใส่สเตฟานี่ด้วยความคาดหวังที่ว่าจะปลุกสเตฟานี่ให้ตื่นจากความบ้านั่น
ทั้งสองคนเติบโตมาในสองโลกที่แตกต่าง หนึ่งคนแม้จะมีสภาพครอบครัวที่ย่ำแย่ ถูกกดดันจากชนชั้นสูงรอบทิศ
ทำให้การดำเนินชีวิตเต็มไปด้วยความลำบาก แต่ทว่าความสัมพันธ์ในครอบครัวกลับอ่อนโยนและเต็มไปด้วยความสุข
ในขณะที่อีกครอบครัวนั้นมีครบทุกอย่าง ไม่มีใครสามารถรังแกได้ แต่ทว่าในครอบครัวกลับเต็มไปด้วยการแก่งแย่ง
ความเห็นแก่ตัว ชิงดีชิงเด่น แบกรับความคาดหวังจากคนรอบด้านอีกทั้งยังสูญเสียความเป็นตัวของตัวเองไปในทุกๆ วัน
ทั้งสองนั้นมีโลกที่แตกต่างกันเกินไป ราวกับว่าอยู่คนละโลก แม้จะใกล้กันแต่ก็ต่างกันสุดขั้ว
ไม่มีใครบอกได้ว่านี่ถูกหรือนี่ผิด เพราะในตอนนี้ เวลานี้ มีเพียงพวกเธอแค่สองคนที่ชี้ความถูกผิดได้
ถ้าหากถามว่าใครผิด มันคงผิดมาตั้งแต่เริ่มต้น ผิดมาตั้งแต่พวกเธอถือกำเนิด จากความสัมพันธ์ของคำว่าเพื่อนที่แน่นแฟ้นที่สุด
กลับกลายเป็นเสียงตะโกนด้วยความโกรธและความเกลียดชังที่ปะทะกัน ทิฐิของทั้งสองเข้าห้ำหั่น
อ่า.. โชคชะตาช่างน่าตลก ทำไมสายสัมพันธ์อันอ่อนโยน ถึงกลายเป็นความเกลียดชังที่ไม่อาจอยู่ร่วมโลกไปเสียได้?
อันที่จริงถ้าหากพวกเธอได้เปิดอกคุยกันอาจจะสามารถเข้าใจกันและกันได้อย่างแน่นอน
แต่โลกนี้ไม่มีคำว่า “ถ้า” เพราะในตอนนี้สเตฟานี่ที่โดนอคติที่มีต่อเซเรสเป็นศัตรูที่ต้องชำระแค้นเท่านั้น
ดังนั้นไม่มีทางที่เรื่องราวบาดหมางมันจะจบลงง่ายๆ เช่นนั้น ไม่สิ บางทีมันอาจจะจบลงง่ายๆ เช่นนั้นได้จริงๆ แต่ว่า.. ถ้ามันมีโอกาสได้คุยกันน่ะนะ
เรื่องบางเรื่องมนุษย์ก็ไม่อยากจะพูดพวกเขาเพียงต้องการระบายความรู้สึกที่ว่าทำไมตัวเองต้องมาเจอแบบนี้ หรืออาจจะเป็นศักดิ์ศรีหรืออะไรก็ตาม
ถ้าหากมีปัญหาทีไรและจะต้องมีการนั่งพูดคุยปรับทุกข์เสมอ ป่านนี้โลกคงไม่เคยมีสงครามเกิดขึ้นแล้วล่ะ
แต่ในตอนนั้นเองสร้อยที่แขวนอยู่บนอกพลันเรือนแสงขึ้นมา สร้อยนี้เปล่งแสงอันอ่อนโยนออกมาแทรกซึมเข้าไปยังห้วงวิญญาณของสเตฟานี่
มันเป็นความรู้สึกที่เหมือนกับตัวเองได้เติบโตขึ้น.. และความเกลียดความโกรธที่มีต่อเซเรสได้จางลง แต่ภายในหัวครุ่นคิดถึงความจะเป็น..
ใช่.. นี่คือผลกระทบจากอารมณ์ของเลทิเซียที่อยู่อีกฝั่ง.. มันทำให้สเตฟานี่ได้รับผลกระทบเช่นกัน
แต่ทว่าทุกอย่างมันสายเกินไปแล้วเพราะดาบสีดำนั้นตวัดเป็นแนวตั้งลงใส่เซเรสอย่างรุนแรง
แต่เซเรสเองก็ตวัดดาบเป็นแนวขวางตอบกลับมาเช่นกัน.. …
ทว่าภายใต้สถานการณ์ที่ทุกอย่างเกิดขึ้นในเสี้ยววินาทีนี้มันรวดเร็วจนมองไม่ทัน แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่อาจสัมผัสได้ก็ปรากฏขึ้น
ไม่มีเสียงกระทบของคมดาบดังขึ้น….
เพราะว่าในพริบตานั้นที่แสงจากสร้อยผลึกชีวิตเรือนแสงขึ้นนั้น… ดาบสีดำในมือของสเตฟานี่ก็สลายหายไปและ…
คมดาบของเซเรสที่พุ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วมันก็ตัดลงบนคอเล็กๆ ของสเตฟานี่อย่างไร้เยื่อใย
ภายใต้ดวงตาที่เบิกกว้างของสเตฟานี่.. มุมมองที่เธอมองเห็นไม่ใช่ใบหน้าของเซเรส แต่เป็นท้องฟ้าสีคราม…
ที่จะเป็นสิ่งสุดท้ายที่เธอได้มองเห็น…
ห่างไปไม่ไกลมีร่างของเลทิเซียจู่ๆ ก็โผล่ออกมาและหัวของสเตฟานี่ก็ตกกระทบลงพื้นกลิ้งไปหาเลทิเซีย….
……