บทที่ 215 – ความรัก
ตลอดมาเลทิเซียไม่เคยสัมผัสสิ่งที่เรียกว่าเพื่อนหรือความสัมพันธ์อันดีอย่างอื่นนอกจากคำว่าครอบครัวเลย
ไม่ว่าจะเป็นชาตินี้หรือชาติก่อน.. ไม่สิ บางทีในโลกนี้เธออาจจะเคยได้รับมันมาก่อน ไม่ว่าจะจากทสึรุหรือจากชาร์ล็อต
แต่เป็นเพราะเธออคติกับมันมาเสมอ เธอไม่เชื่อว่าของแบบนั้นน่ะมีอยู่จริง เธอก็เหมือนเซเรสที่มองเหมารวมว่าครอบครัวน่ะถูกผูกมัดด้วยผลประโยชน์
ใช่ เธอมองว่าเพื่อนน่ะเป็นแค่คำพูดบังหน้าที่เป็นการรวมกลุ่มกันของการแสดงหาผลประโยชน์ หรืออาจจะมีจุดมุ่งหมายร้ายๆ
ถึงแม้เธอจะจำเรื่องบางเรื่องที่ทำให้เธอเป็นแบบนี้ไม่ได้ แต่เธอมั่นใจว่านั่นต้องเป็นสิ่งที่เลวร้ายมากจนตนเองไม่อยากจำเป็นแน่
ดังนั้นเธอจึงอคติกับมัน.. อย่างที่บอกมนุษย์ทุกชีวิตล้วนดำรงอยู่ได้ด้วยกรอบของคำว่าอคติหรือมโนธรรมทั้งหลายทั้งปวง
ที่ประสบการณ์ที่ผ่านมามอบให้คนคนนั้น ดังนั้นพวกเขาถึงเป็นพวกเขาในตอนนี้ที่ซึ่งแตกต่างจากผู้อื่น
การเข่นฆ่ากันที่เกิดขึ้นในตอนนี้ ล้วนเกิดจากสิ่งที่เรียกว่าอคติที่บดบังสายตา ความโกรธที่เป็นพิษอารมณ์
มันไม่ได้เกิดขึ้นจากเหตุเพียงอย่างเดียว แต่เป็นทุกๆ อย่างที่เหมือนจะทั้งบังเอิญและจงใจ จนเกิดโศกนาฏกรรมเช่นนี้ขึ้นมา
“อ่า… อ่า…”
เซเรสที่แหงนมองท้องฟ้าเพราะถูกมือสองข้างของเลทิเซียบีบและยกขึ้นดวงตาของเธอเริ่มพร่ามัว จากการขาดอากาศหายใจ
น้ำหูน้ำตาไหล เป็นภาพที่อนาถอย่างยิ่งเด็กอย่างเซเรสต้องมีสภาพน่าเวทนาเช่นนี้ แม้พูดได้ไม่เต็มปากว่าเป็นเด็กตัวเล็ก
แต่อายุสิบสามขวบของเธอก็สูงเพียง 150 กว่าเซนติเมตรเท่านั้น ดังนั้นภาพที่เกิดขึ้นมันจึงดูโหดร้ายมาก
อีกคนที่บีบคอ ยังมีร่างกายที่เล็กกว่า เหมือนเด็กของแท้เลยด้วยซ้ำ เลทิเซียที่บีบคออยู่เองก็มีน้ำตาไหลออกมาเช่นกัน
ไม่มีใครรู้เลยว่าในตอนนี้เธอเจ็บปวดขนาดไหน และไม่มีใครรู้เช่นกันว่าน้ำตาที่ไหลออกมาจากดวงตาเลทิเซียยามนี้เป็นน้ำตาเลทิเซียหรือน้ำตาของสเตฟานี่ เธอไม่เคยมีเพื่อนมาก่อน จริงอยู่ที่เธออาจจะเป็นคนที่มีกำแพงป้องกันโลกส่วนตัวสูง
สูงจนแทบไม่มีใครฝ่าเข้ามาได้ แต่ก็มีตัวอย่างที่แสดงให้เห็นแล้ว… ใช่ คนที่ฝ่าเข้ามาได้ไม่ใช่ใครนอกจากทสึรุ
เธอเป็นคนแรกในโลกใบนี้นอกจากน้องสาวที่สามารถทำให้เลทิเซียเชื่อใจได้ หรืออาจจะเป็นคนแรกในโลกเดิมเลยด้วยซ้ำ
และพอเป็นแบบนั้นความสำคัญทสึรุที่มีต่อเลทิเซียก็สูงมากเช่นกัน ที่จะบอกก็คือ คนที่เลทิเซียให้ความสำคัญน่ะมันมีไม่กี่คนหรอก
และคนเหล่านั้นล้วนแล้วแต่เป็นคนที่เลทิเซียจะสูญเสียไปไม่ได้เด็ดขาด ไม่ใช่ว่าเลทิเซียไม่ได้นึกภาพว่าคนเหล่านั้นจะตายไว้ก่อน
เธอเป็นคนที่มองโลกในแง่ร้ายที่สุดเสมอ เธอไม่ได้เตรียมพร้อมแค่สำหรับว่าถ้าหากต้องเจอกับสถานการณ์ที่ตัวเองตาย
แต่เธอจินตนาการว่าหาก น้องสาวตายไว้เช่นกัน แน่นอนมันคงเจ็บปวดไม่ต่างจากตอนที่สูญเสียพี่สาว
แต่ทว่าสำหรับสิ่งที่เรียกว่า ‘เพื่อน’ น่ะ เธอที่จัดลำดับความสำคัญครอบครัวต้องมาก่อนเพื่อนน่ะ เธอไม่ได้คิดว่ามันจะเจ็บปวดเท่าตอนเสียพี่สาว
แน่นอนเธอต้องหาทางป้องกันไม่ให้มันเกิดและหากเกิดขึ้นเธอก็ต้องเสียใจเป็นธรรมดา แต่ก็อย่างว่า
หากให้เลือกช่วยระหว่างเพื่อนหรือครอบครัว ในตอนนั้นถ้าเลือกครอบครัวเพื่อนจะตาย ถ้าเลือกเพื่อนครอบครัวจะตาย
สำหรับเลทิเซียคงเลือกครอบครัวโดยไม่ลังเล หากเป็นสเตฟานี่หรือคนอื่นๆ อาจจะมีความลังเลอยู่แล้ว
แต่สำหรับเลทิเซีย สิ่งที่ช่วยเธอไว้มากที่สุดคือครอบครัว ไม่มีใครมาแทนตำแหน่งนี้ได้ อาจจะฟังดูโหดร้ายไปหน่อย
แต่สำหรับเลทิเซียมันเป็นแบบนี้จริง… ใช่แล้ว เธอคิดแบบนั้นเพราะพวกเธอทั้งสามคนไม่ได้สนิทมานานเหมือนครอบครัวที่รู้จักมาตั้งแต่เกิดด้วย
ใช่.. มันควรจะเป็นแบบนั้น..
มันควรจะเป็นแบบนั้นแท้ๆ …
“ทำไมฉันถึงร้องไห้ออกมา.. ทำไมฉันถึงรู้สึกเหมือนตอนที่พี่….”
ความรู้สึกที่อัดแน่นอยู่ในอกตอนนี้มันเหมือนกับตอนนั้นไม่มีผิด เหมือนกับตอนที่มองพี่สาวนอนอยู่บนเตียงและเสียชีวิตไป..
อยู่ห่างกันเพียงไม่กี่ก้าว แต่กลับไกลราวกับไร้ที่สิ้นสุด ในตอนนี้เช่นกันแม้สเตฟานี่ยังอยู่ในหัวของเลทิเซียแท้ๆ
แต่เธอก็เหมือนอยู่ห่างไกลออกไปไม่สามารถที่จะมอบของขวัญ ไม่สามารถที่จะพูดคุยเป็นปกติได้อีกแล้ว
ทำไมมันกลายเป็นแบบนี้ไปได้… ทำไมฉันต้องมาสูญเสียอะไรแบบนี้อีกครั้ง.. ทำไมถึงได้รู้สึกไม่ต่างจากตอนนั้นเลย
“ทำไมล่ะ…”
น้ำตาไหลออกมาจากตาของเลทิเซีย.. นี่เป็นน้ำตาของเธอจริงๆ น้ำตาแห่งการสูญเสียและอาจจะเป็นน้ำตาแห่งการจากลาเช่นกัน
เลทิเซียก้มหน้าลง แต่เซเรสที่ถูกบีบคออยู่เองก็เห็นเช่นกันร่างที่ไร้เรี่ยวแรงของเธอจ้องไปที่เลทิเซีย
ในตอนแรกเธอขัดขืนก็จริง..แต่เป็นเพราะสัญชาตญาณเอาตัวรอดของสิ่งมีชีวิต
แต่ทว่ามาตอนนี้เธอกลับคิดว่านี่อาจจะเป็นบทลงโทษของเธอก็ได้.. เธอค่อยๆ ยกมือขวาขึ้นและจับไปที่ใบหน้าของเลทิเซีย
ราวกับว่าอยากจะเห็นใบหน้าของเลทิเซีย.. ก่อนที่เธอจะตาย.. คนสำคัญของเธอบนโลกนี้มีเพียงสองคน.. หนึ่งคือสเตฟานี่
หนึ่งคือเลทิเซีย.. และสเตฟานี่ได้ตายด้วยน้ำมือของเธอไปแล้ว.. ตอนนี้เหลือแค่คนตรงหน้า..
และคนตรงหน้าปรารถนาให้เธอตาย.. เธอจะมีเหตุผลอะไรที่ยังจะมีชีวิตอยู่ต่อไปอีกล่ะ..
เลทิเซียที่โดนสัมผัสใบหน้า.. ก็เงยหน้าขึ้นมองเซเรส สายตาที่เต็มไปด้วยน้ำตาของทั้งสองประสบกัน
ปากของเซเรสเปิดออก… แต่ไร้ซึ่งเสียงเพราะขาดอากาศหายใจ ไม่มีใครรู้ว่าเธอพูดอะไร แต่เลทิเซียกลับเข้าใจคำนั้นยิ่งกว่าใคร
“ขอบคุณ..”
นั่นคือคำพูดคำสุดท้ายของเธอราวกับว่าเธอกำลังขอบคุณที่เลทิเซียฆ่าเธอที่สมควรตาย
และขอบคุณเพื่อไม่ให้เลทิเซียรู้สึกแบบตัวเองหลังจากที่ฆ่าเพื่อนไป…
“ไม่!!!”
เลทิเซียตะโกนออกมา ด้วยเสียงที่เจ็บปวด.. เธอจะเสียไปอีกคนอย่างนั้นเหรอ.. ด้วยมือข้างนี้.. เธอจะสูญเสียคนสำคัญไปอีกคนงั้นเหรอ
ตอนที่เธอเห็นสเตฟานี่ตาย เธอเจ็บปวด เธอเสียใจ.. ไม่ต่างกับตอนที่พี่สาวเธอจากไปเลยสักนิด
และตอนนี้เธอก็จะเสียมันไป.. คราวนี้เป็นการสูญเสียที่เธอเอื้อมถึง เธอจะสูญเสียมันไปทั้งที่เธอเห็นอยู่แบบนี้อีกงั้นเหรอ
ภาพอดีตหวนย้อนกลับมาเป็นฉากๆ ตอนที่เธอเที่ยวด้วยกันในเมือง ซื้อของขวัญให้กันในเมือง..
ตอนนี้สเตฟานี่ได้จากไปแล้ว เหลือแค่เลทิเซียกับเซเรส เธอไม่มีทาง.. ที่จะสูญเสียมันไปอีกครั้งอย่างแน่นอน
ลำดับความสำคัญอย่างนั้นเหรอ.. ของแบบนั้นน่ะไม่ควรมีอยู่ตั้งแต่แรกต่างหาก ความสำคัญน่ะ.. ไม่สิ
ถ้าจะพูดให้ถูกคือความรักต่างหาก.. ใช่ ทั้งเพื่อนก็ดีครอบครัวก็ดี ไม่ว่าจะอย่างไหนก็คือความรักในรูปแบบที่แตกต่างออกไป
แต่มันก็สำคัญทั้งหมด ไม่ควรมีลำดับชั้นเพราะหากสูญเสียไปสิ่งที่ได้มามันก็ยังเป็นความเจ็บปวดเหมือนเดิม
ใช่ ในตอนนี้เลทิเซียได้เรียนรู้แล้ว… ครอบครัวมาก่อนเอย เพื่อนมาหลังเอย สิ่งที่เรียกว่าความสัมพันธ์ที่ดีไม่ได้ตัดสินใจจากลำดับหรือระยะเวลาที่รู้จักสักหน่อย
แต่เป็นคนที่เชื่อใจและสามารถฝากแผ่นหลังไว้ให้ได้.. นั่นแหละคือความรัก! นั่นแหละคือสิ่งที่เรียกว่าความสำคัญ
“ฉันไม่มีทางปล่อยให้เธอตายไปอีกคนหรอก”
……..
[วันนี้สองตอนติดนะจ๊ะ ผมกำลังพยายามกลับมาทำสปีดเท่าเดิมอยู่นะ!! — ผู้เขียน]