บทที่ 226 – ข้าจะเปลี่ยนโลก
ในตอนนั้นเองร่างของเลมิสทาเรียและไบรอัสก็ขยับเคลื่อนไหวอีกครั้ง ตาพวกเขาทั้งคู่เผยความเลื่อนลอยออกมา
ก่อนที่ความเจ็บปวดทั้งหมดจะถาโถมเข้ามาอีกครั้ง แม้ว่าพวกเขาจะไม่ตายแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาสามารถฟื้นฟูเหมือนเลทิเซียได้
ดังนั้นต่อให้พวกเขาฟื้นคืนชีพขึ้นมาหากไม่ใช้เวทรักษาก็ไม่อาจจะพยุงชีวิตไปได้นานนัก และนี่ก็เป็นชีวิตดวงสุดท้ายของพวกเขาแล้ว
ทุกครั้งที่สูญเสียวิญญาณหนึ่งดวง พลังพวกเขายิ่งถดถอยลงไปเรื่อยๆ เพราะดวงวิญญาณทั้งแปดเปรียบเสมือนเครื่องมือทำลายพันธนาการของมหาปราชญ์
แต่เมื่อมันหายไปแล้วพันธนาการที่ยังไม่ถูกปลดออกโดยสิ้นเชิงก็กลับมาพันธนาการดวงวิญญาณและพลังผู้กล้าของพวกเขาเอาไว้อีกครั้ง
อย่าว่าแต่ผู้กล้าคนอื่นๆ เลย ตอนนี้บางทีพวกเขาอาจจะสู้ไม่ได้แม้แต่จอมเวทระดับมหานักเวททั่วไปเพียงคนเดียวด้วยซ้ำ
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงสภาพวกเขาที่หากปล่อยไว้ยังไงก็ต้องตาย.. ไบรอัสดวงตามืดมัว แต่ตาเขาไม่ได้บอดเหมือนเลมิสทาเรีย
เขาหันไปเจอเลมิสทาเรียที่นอนหอบหายใจโรยริน ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยน้ำตาเมื่อเห็นสภาพของเลมิสทาเรีย
“เลมิสทาเรีย.. เลมิสทาเรีย”
เสียงแหบพร่าของไบรอัสดังออกมาจากลำคอที่พังทลายของตัวเอง ทุกครั้งที่เขาเปล่งเสียงก็มีเลือดไหลออกมาจากปากเหมือนกับสายน้ำ
เขาค่อยๆ คลานเข้าหาเลมิสทาเรียอย่างยากลำบาก ด้วยความเป็นห่วงน้องสุดแสน.. ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ที่น้องสาวเขาสำคัญยิ่งกว่าอะไรบนโลกนี้
ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ที่เขาเลิกที่จะสนใจสิ่งรอบข้าง… ไม่สนใจทุกสิ่งทุกอย่างหากนั่นทำให้พวกเขามีความสุข
ใช่แล้ว.. เมื่อหลายร้อยปีก่อนพวกเขาเคยเป็นคนในตระกูลขุนนางระดับล่างๆ ทั้งคู่เติบโตมาในครอบครัวที่เพียบพร้อม
ทว่าอยู่มาวันหนึ่ง.. ไบรอัสได้ทำเรื่องเกินเลยบางอย่างกับน้องสาวไป.. ใช่ พวกเขามีความสัมพันธ์ที่เกินคำว่าพี่น้องไป
แน่นอนว่าเลมิสทาเรียเองก็รู้สึกกับไบรอัสเกินพี่น้องเช่นกัน.. พวกเขารักกันไม่ใช่ ในฐานะพี่น้อง.. แต่เป็นในฐานะผู้ชายกับผู้หญิง
พวกเขารู้ว่านี่ไม่ถูกต้อง พวกเขารู้ว่านี่มันผิด แต่ทว่าทุกครั้ง.. ทุกครั้งมันกลับเกินเลยไปตลอด..
จนกระทั่งวันหนึ่งพ่อแม่ของพวกเขาจับได้.. ในฐานะที่พวกเขาเป็นพี่น้องร่วมสายเลือดมีอะไรกันนั้นมันผิด มันไม่ถูก
จริงอยู่ที่ในเชื้อพระวงศ์อาจจะมีการสู่สมรสกับพี่น้องสายเลือดเดียวกัน.. แต่นั่นมันเมื่อนานมาแล้ว หลังจากสิ้นสุดสงครามลง
โลกก็ก้าวหน้าไม่ใช่แค่ในแง่ของวิทยาศาสตร์หรือเวทมนตร์ แม้แต่ในแง่ของวัฒนธรรมก็เช่นกัน
ดังนั้นทันทีที่พ่อแม่พวกเขาได้รับรู้เรื่องนี้ จึงเกิดการทะเลาะกันครั้งใหญ่ของครอบครัว ครอบครัวที่เคยอบอุ่นก็เริ่มมีรอยแตกร้าวขึ้นมา
พ่อแม่ไม่ยอมรับความสัมพันธ์ของพวกเขาสองพี่น้อง และท้ายที่สุด.. ไบรอัสก็ถูกไล่ออกจากบ้านเพราะว่าตัวเองเป็นพี่แถมยังเป็นผู้ชาย
แต่กลับ.. ไม่มีหัวคิดทำเรื่องแบบนั้นลงไปได้ ไบรอัสถูกผู้เป็นพ่อต่อยหน้าและไล่ออกจากบ้านไป..
แต่ทว่าความรู้สึกของเลมิสทาเรียเองก็รักพี่ชายเช่นกันดังนั้น.. เธอจึงหนีออกจากบ้านตามพี่ชายไป ทำให้พ่อกับแม่ของเขาเริ่มทะเลาะกัน
และโบ้ยความผิดให้กันและกัน ถึงแม้พวกเขาจะเป็นขุนนางยศต่ำๆ แต่ทว่าเมื่อมีเรื่องมีราวเกิดขึ้นทั่วทั้งเขตแคว้นที่ปกครองก็กลายเป็นเรื่องซุบซิบนินทา
ไม่นานก็กลายเป็นเรื่องที่รู้กันทั่วทั้งอาณาจักรว่า ลูกสาวกับลูกชายของตระกูลขุนนางนี้แอบมีอะไรกันอยู่นานสองนาน
ก่อนจะถูกจับได้และผู้เป็นพี่ชายถูกไล่ออกจากบ้าน ส่วนน้องสาวก็หนีตามพี่ไป พ่อแม่ทะเลาะกัน.. เรื่องราวเริ่มบานปลายกันไปใหญ่และกลายเป็นเรื่องนินทาสนุกปาก
“เฮ้ยๆ นี่มันยุคไหนแล้ว.. ไม่รู้หรือไงว่ามีการศึกษาออกมาชัดเจนว่าถ้าสายเลือดเดียวกันมีลูกด้วยกันอาจจะทำให้ลูกหลานมีร่างกายอ่อนแออะไรแบบนั้นน่ะ”
“เจ้าจะไปรู้อะไร.. ข้าได้ยินมาว่าไอ้เจ้าเด็กที่ชื่อไบรอัสอะไรนั่นมันข่มขืนน้องสาวต่างหาก แต่พอพ่อแม่รู้ความจริงเพื่อปกปิดเรื่องที่ว่าและแกล้งทำเป็นมีเรื่องอื้อฉาว เพราะยังไงพวกเขาก็รู้อยู่แล้วว่าไม่นานต้องกลายเป็นเรื่องอื้อฉาวแน่ๆ เลยสร้างเรื่องขึ้นมาหลอกเสียก่อนเลย”
“เจ้าจะไปรู้อะไร ข้าได้ยินว่าคนที่ชักจูงอยู่เบื้องหลังคือพ่อของไบรอัสเพราะเขาคิดว่าภรรยาเขาแอบนอกใจไปมีเลมิสทาเรีย”
ในยุคที่เล่าปากต่อปาก ผู้คนมักจะเอาความสนุกในการนินทาเข้าว่า ไม่รู้เรื่องไหนเป็นจริงเป็นเท็จ พอมันได้พ่นออกจากปากไปก็มีเรื่องราวมากมายถูกแต่งเสริมเติมแต่งเข้าไป
ไบรอัสและเลมิสทาเรียที่ได้ยินทั้งคู่ต่างพากันรู้สึกไม่ยอมรับ ไม่ว่าจะพ่อแม่ก็ดี ครอบครัวก็ดี.. หรือใครก็ช่าง..
พวกเขารักกันแล้วมันผิดตรงไหนกันล่ะ… จนตอนนั้นเองพวกเขาได้ไปเจอกับผู้กล้าสองคน..ผู้กล้าสองคนนั้นก็กำลังจะปลดเปลื้องภาระขอองตนเอง
แน่นอนว่าในตอนแรกไบรอัสและเลมิสทาเรียไม่รู้ว่าพวกเขาคือผู้กล้า.. เพราะสองคนที่เป็นผู้กล้าเหมือนจะเป็นคู่รักกัน
และเก็บพวกเขาทั้งคู่ไปเลี้ยงดูเวลาผ่านไป ผู้กล้าทั้งสองมีลูกชายและพวกเขาได้ฝากฝังพลังของผู้กล้าให้เลมิสทาเรียและไบรอัส
ตอนแรกทั้งคู่ก็ยินดีที่ได้รับพลังและพลังนี้มีไว้เพื่อปกป้องลูกชายของผู้กล้า แน่นอนว่าผู้กล้าทั้งสองไม่อยากให้ลูกตัวเองแบกรับภาระของสิ่งที่เรียกว่าผู้กล้า
ดังนั้นเขาจึงมอบให้ไบรอัสและเลมิสทาเรีย.. ทั้งคู่ปีติยินดีและสาบานว่าจะปกป้องลูกชายของผู้กล้าทั้งสอง…
เพราะผู้กล้าทั้งสองเหมือนพ่อแม่คนที่สอง ไม่เพียงแค่นั้นพวกเขายังสอนทั้งเวทมนตร์ ทั้งวิชาดาบ ทุกๆ อย่าง
ทั้งคู่ต่างเคารพและรักผู้กล้าทั้งสองเป็นอย่างมาก
จนกระทั่ง…วันหนึ่ง..
“นี่เจ้าคิดว่าเด็กพวกนั้นเป็นใครมาจากไหนงั้นเหรอ”
ในห้องแห่งหนึ่งเสียงของผู้กล้าที่เป็นผู้หญิงถามสามีผู้เป็นผู้กล้าเช่นกัน พวกเขาแก่ชราลงไปหลังสละพลังผู้กล้าภายในสองสามปีพวกเขาทั้งคู่ก็นอนติดเตียงแล้ว
แน่นอนว่ามันปกติเพราะด้วยพลังของผู้กล้ามันทำให้อายุขัยพวกเขายืดยาวขึ้นไปไม่มากก็น้อยดังนั้นเมื่อสูญเสียพลังไป
ร่างกายจะค่อยๆ กลับคืนสู่สภาพแก่เฒ่าดังเดิมเหมือนที่เคยจะเป็น หากอยู่มาเป็นพันปีอาจจะสลายหายไปในทันทีเลย
แต่พวกเขาทั้งสองมีอายุร้อยกว่าปีเท่านั้น.. ดังนั้นสองปีที่ผ่านมาพวกเขาจึงค่อยๆ แก่ชราลงเรื่อยๆ
เลมิสทาเรียที่กำลังจะเอาอาหารเย็นมาให้ทั้งคู่ ก็บังเอิญได้ยินเสียงนั้น เธอหยุดเดิน…
“นั่นสินะ.. เจ้าคิดว่าไงล่ะ”
ชายชราอดีตผู้กล้ากล่าวขึ้น…
“บางที.. พวกเขาคงเป็นพี่น้องที่เคยเป็นข่าวลือในเมืองหลวงเมื่อหลายปีก่อนนั่นแหละ”
หญิงชราอดีตผู้กล้ากล่าวพึมพำ เลมิสทาเรียที่ยืนฟังอยู่ด้านนอกมือสั่น.. เพราะคำตอบของหญิงชรา
“เจ้าเองก็คิดเหมือนข้าอย่างนั้นเหรอ…”
ชายชราพูด หญิงชราเองก็พยักหน้า
“อืม.. เป็นความสัมพันธ์ที่ประหลาดดีจริงๆ ข้าเองก็ไม่คิดว่าจะยังมีความสัมพันธ์แบบนี้เหลืออยู่บนโลกอีกทั้งๆ ที่มีพวกนักวิทยาศาสตร์อะไรนั่นอธิบายเหตุผลซะดิบดีไว้”
หญิงชรากล่าว ชายชราเองก็ถอนหายใจพลางส่ายหน้า
“นั่นสินะ.. พอพูดแล้วมันก็น่าตลกดีนะ”
เลมิสทาเรียที่ฟังมาถึงจุดนี้ดวงตาเธอก็หรี่แคบลง..
“ไม่ถูกต้อง..”
“ความสัมพันธ์มันผิด”
“เลมิสทาเรียต้องแต่งงานกับองค์ชาย”
“ลูกทำให้พ่อผิดหวัง”
“ไบรอัสมันข่มขืนเลมิสทาเรีย”
คำพูดต่างๆ มากมายถาโถมเข้ามาในหัวของเธอ เธอกัดฟันถ้วยข้าวต้มในมือถูกบีบจนเกิดรอยร้าว
“ทำไม.. ทำไม.. ข้ารักท่านพี่แล้วมันผิดตรงไหน.. ทำไมต้องมีคนมากำหนดว่าคนที่ข่ารักต้องไม่ใช่แบบนี้… ทำไม..”
“ทุกคนมันเห็นแก่ตัว… ทุกคน!!!!”
สีหน้ามืดครึ้มเลมิสทาเรียจ้องไปเบื้องหน้าที่มีประตูอยู่ก่อนที่เธอจะหันหลังและเดินจากไป… พร้อมกับ.. ความโกรธและความเด็ดเดี่ยว เธออดทนมาตลอด
ไม่ว่าจะพ่อแม่..หรือผู้มีพระคุณต่างก็ไม่เห็นด้วย ทั้งๆ ที่ความรู้สึกของเธอมันเป็นของจริง..
จนเธอไม่ได้ยินประโยคต่อจากนั้นของอดีตผู้กล้าทั้งสอง
“นั่นสิ.. มันน่าตลกจริงๆ นะ.. เหมือนเห็นเราสองคนเลยล่ะ.. ฮ่าๆ”
“ข้าก็ว่าอยู่ทำไมถึงเห็นภาพของเราซ้อนทับบนตัวพวกเขา.. แบบนี้คงฝากฝังให้พวกเขาดูแลเจ้าตัวเล็กน้อยของเราได้ล่ะ”
เลมิสทาเรียที่เดินจากมาแล้วเธอไม่ได้ยินเสียงดังกล่าว แต่ในมือตอนนี้มีเชือกเส้นหนึ่งอยู่… ดวงตาเธอเต็มไปด้วยความเกลียดชังต่อโลกใบนี้
ต่อผู้คน.. ต่อทุกอย่าง..
“ข้าจะเปลี่ยนโลก.. เพื่อพวกเรา.. เริ่มจากฆ่าพวกคนที่ปฏิเสธความสัมพันธ์ของพวกเรา”