บทที่ 229 – จักรพรรดิและจอมมาร
ในห้องโถงขนาดใหญ่ที่ผนังบนหัวถล่มลงทำให้มองเห็นท้องฟ้าที่มืดมัวแม้มีดวงตะวันแขวนอยู่กลางนภา
ในห้องโถงแห่งนี้มีเสียงบางอย่างพุ่งใส่พื้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า พลังเวทสีดำทมิฬจากเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ยิ่งไปใส่ร่างกายของคนสองคนที่อยู่ด้านล่าง
แม้ว่าสองคนนั้นจะกลายเป็นศพเน่าเปื่อยไปในสภาพที่อเนจอนาถแต่หญิงสาวบนบัลลังก์กลับไม่หยุดโจมตีราวกับกลัวว่ามันจะลุกขึ้นมาอีกครั้ง
บนตักของเธอมีหัวของเด็กที่ดูอายุเยอะกว่าเธอนิดหน่อย เลือดสีแดงไหลอาบไปทั่วขา ในห้องโถงอันเงียบงันมีเพียงเสียงของคลื่นพลังที่ถูกปล่อยออกไป
เลทิเซียโจมตีออกไปจวบจนกระทั่งร่างของอีกฝ่ายพรุนเป็นรูจนดูไม่ได้ ดวงตาของเลทิเซียก็มืดมัวลงจากการสูญเสียพลังจำนวนมาก
อันที่จริง.. พลังของเธอมันควรจะหมดไปตั้งแต่แรกแล้ว แต่อาจจะเป็นเพราะความดึงดัน ความโกรธและความเกลียดชัง
อารมณ์เหล่านั้นไปกระตุ้นบางอย่างทำให้เธอรีดทุกอย่างออกมาจากร่างกายเพื่อโจมตี อย่าว่าแต่ใช้พลังเลย ขนาดพลังแห่งการรักษาเธอยังไม่มีด้วยซ้ำ
แสงจากปลายนิ้วที่โจมตีเบาบางลงไปเรื่อยๆ จนมิอาจปล่อยออกไปได้อีกเลทิเซียหอบหายใจอย่างหนักหน่วง
เธอจ้องไปที่สองพี่น้องไบรอัสกับเลมิสทาเรียเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายทั้งสองไม่มีการตอบสนองใดๆ เธอก็นิ่งไปสักพักหนึ่ง
ก่อนที่จะมีเลือดไหลออกมาจากมุมปาก.. หู จมูกและดวงตาราวกับว่าร่างกายเธอแบกรับภาระมากเกินไป
ต่อให้เป็นเลทิเซีย ร่างกายของเธอไม่ได้แข็งแกร่งขนาดนั้น ด้วยการเสริมพละกำลังที่มากเกินไปมันจึงส่งผลให้ร่างกายเธอไม่อาจทนได้
มันจะค่อยๆ แสดงออกมาและตอนนี้ผลลัพธ์ที่เธอใช้พลังเกินขีดจำกัด ร่างกายถูกใช้งานหนักและทุกๆ อย่างที่ทำมา
เลือดไหลออกมาจากปาก หูจมูกและดวงตา แต่ทว่าเลทิเซียกลับยิ้มออกมา ภายใต้สภาพที่น่ากลัวเช่นนั้น
ไม่ว่าใครเห็นคงต้องขนหัวลุกเป็นแน่ เธอเอามือไปลูบหัวของสเตฟานี่อย่างอ่อนโยนแล้วก็พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนเพลีย..
“ข้า..ล้างแค้นให้เจ้าและครอบครัวเจ้าได้แล้วนะ…”
เมื่อกล่าวเช่นนั้นเสร็จดวงตาของเลทิเซียที่พยายามไม่ให้ปิดก็ปิดลง คอที่หักของเธอเงยขึ้นพิงกับที่พิงด้านหลังและสลบไปทั้งแบบนั้น
แสงตะวันที่สาดส่องลงมาจากเบื้องบนถูกท้องฟ้าที่มืดมิดบดบังไว้จนแทบเหมือนกับแสงจันทรา
มันสาดลงทางเลทิเซียกลายเป็นภาพที่เหมือนกับการจุติของราชาปีศาจ…
…….
ภายใต้ความเงียบ เงียบจนน่าแปลกใจ .. ในตอนนั้นเองใกล้ๆ ศพของเลมิสทาเรียและไบรอัสก็พลันมีบางอย่างปรากฏขึ้น
มันเป็นเงาเลือนรางที่สามารถมองทะลุก่อนที่จะกลายเป็นเงาร่างของคนคนหนึ่ง.. ในมุมอับแสง..
ก่อนที่จะเดินออกมาจากมุมอับแสงตรงนั้น.. เขาเป็นชายคนหนึ่งมีหนวดเคราและผมสีเทาอายุราวๆ สามสิบถึงสี่สิบ
หากมีลูกหลานคงถูกเรียกว่าลุงหรืออาทำนองนั้น เขามีไหลที่กว้างร่างกายที่แข็งแกร่งสูงเกือบๆ สองเมตร
หากเทียบกับเลทิเซีย เลทิเซียคงสูงไม่ถึงท้องของเขาด้วยซ้ำมั้ง และที่น่าแปลกชายคนนี้มีเขาบนหัวราวกับเผ่าปีศาจชั้นสูง
แต่ลักษณะของเขามันไม่เหมือนกับปีศาจ.. แต่เป็นเขาของมังกร!! ชายคนนั้นก้มมองซากศพของไบรอัสและเลมิสทาเรียก่อนที่จะก้มลงไปใช้มือแทงเข้าไปในอกของไบรอัสและเลมิสทาเรีย
แต่ในตอนนั้นเอง เสียงเย็นชาก็ดังขึ้น…
“ไม่คิดว่าจะเอาง่ายไปหน่อยงั้นเหรอท่านจักรพรรดิ? อ่า ไม่สิ.. ตอนนี้คงเป็นจักรพรรดิจอมปลอมสินะ..?”
เสียงยั่วยุดังขึ้นมาจากด้านหลังของเขา ชายที่ถูกเรียกว่าจักรพรรดิค่อยๆ ลุกขึ้น แต่ในมือทั้งสองข้างเขามีวัตถุสีขาวประหลาดอยู่บนมือ
มันมีลักษณะคล้ายกับตัวเบี้ยในหมากรุก.. ใช่แล้วผู้กล้านั่นเปรียบเสมือนเบี้ยของพระเจ้า.. นั่นเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมผู้กล้าถึงมีจำนวนมากกว่าจอมมาร
“จอมมารคาริลงั้นเหรอ..”
“จมูกดีจนไม่คิดว่าจะเป็นมังกรเลยนะเนี่ย.. หรือจริงๆ แล้วเจ้าสืบสายเลือดมาจากสุนัขกัน?”
ชายอีกคนเดินออกมา ดวงตาเขาสดใสชายคนนี้คือหนึ่งในจอมมารทั้งสิบสองที่มีอยู่บนทวีปแห่งนี้..
ผมสีดำยาวของเขาจดจ้องไปที่จักรพรรดิ.. แน่นอนจักรพรรดิคนนี้คืออดีตจักรพรรดิแห่งจักรวรรดิมังกรที่เคยล่มสลายไปเมื่อห้าร้อยปีก่อน
เขาอาจจะเป็นเพียงผู้เดียวที่มีสายเลือดมังกรแท้ไหลเวียนอยู่มากที่สุดในจักรวรรดิมังกรเลยก็ว่าได้..
เขาไม่ใช่คนที่เคยสู้กับนักปราชญ์เขาเกิดมาหลังจากนั้นและสืบทดความทรงจำและทุกอย่างของจักรพรรดิองค์กรมาในฐานะจักรพรรดิมังกรคนใหม่
และมีชีวิตมากกว่าร้อยปี.. จักรพรรดิมังกร ริสเวล
“ระวังปากหน่อยจอมมารคาริล เจ้าคิดว่าตัวเองที่ถูกผนึกพลังเพียงคนเดียวจะสามารถสู้กับข้าคนนี้ได้อย่างงั้นเหรอ”
“เฮ้ยๆ เรื่องนั้นเจ้าเองก็เหมือนกันไม่ใช่หรือไง”
จอมมารคาริลกล่าวแขวะ ในตอนนั้นเองจักรพรรดิมังกรริสเวลก็สบถ
“งั้นลองมาพิสูจน์ดูสักหน่อยไหมล่ะ… ก็อยากจะพูดแบบนั้นอยู่หรอกนะ แต่ก่อนหน้านั้น”
สายตาของเขาหันออกจากจอมมารคาริลไปจดจ้องเลทิเซียที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ ก่อนที่จะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงสงสัยและมีความหวาดกลัวเจือปนอยู่ด้วย
“เจ้านี่มันตัวอะไรกัน.. พวกปีศาจมันทดลองอะไรกันอีก ไม่ใช่ว่าจอมมารต้องมีแค่สิบสองคนหรอกหรือไง”
จอมมารคาริลหันไปมองเลทิเซียก่อนจะพูดขึ้น..
“ข้าก็ไม่รู้ แต่ที่แน่ๆ เจ้าจำเหตุการณ์เมื่อหลายเดือนก่อนได้ใช่ไหม.. บางทีเจ้าของร่างมารตอนนั้น.. อาจจะเป็นเจ้านี่แหละ”
จักรพรรดิมังกรริสเวลก้มหน้าลงครุ่นคิดมือแตะคางพลางพึมพำ
“ใช้ร่างมารและพลังไม่ถูกผนึกอย่างนั้นเหรอ..? หรือว่าจะเป็นจอมมารที่พึ่งถือกำเนิดขึ้นมาอย่างนั้นเหรอ”
“ข้าจะไปรู้ได้ไง.. แต่ว่า…”
พวกเขามองหน้ากัน.. หากปล่อยให้สิ่งแบบนี้มีชีวิตอยู่ต่อไปละก็สมดุลอำนาจจะพังทลายลง หากเจ้าสิ่งมีชีวิตประหลาดนี้ไม่เข้าร่วมฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งก็ว่าไปอย่าง
แต่หากเข้าร่วมละก็.. พวกเขาไม่มีทางวางใจโดยเด็ดขาด!
ว่ากันตามตรงพลังพวกเขาในตอนนี้คงสู้เลมิสทาเรียกับไบรอัสพร้อมกันไม่ได้.. แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีวิธีรับมือ แต่ว่าสิ่งตรงหน้า..
ผู้เป็นราชาของเผ่าอย่างพวกเขาสามารถพูดได้เต็มปากเลยว่า นี่มันสัตว์ประหลาด!
หลังจากทั้งสองคนมองหน้ากันในฐานะผู้นำที่มีมาอย่างยาวนานไม่ได้มีไว้ประดับขนาดเรื่องเบี้ยแห่งผู้กล้าจอมมารคาริลยังเก็บไว้ทีหลัง
สิ่งที่ต้องทำในตอนนี้คือ..กำจัดเลทิเซียตอนที่ไม่มีทางสู้ได้!!
ทั้งสองคนพยักหน้าและก็พุ่งโจมตีเลทิเซียด้วยพลังทั้งหมด เหตุการณ์ก่อนหน้านี้พวกเขาเห็นทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นการระเบิดดวงวิญญาณ ความดิบเถื่อน
พลังต่อสู้อันล้มหลามอีกทั้งยังมีพลังฟื้นฟูที่น่ากลัว ราวกับป้อมปราการเดินได้นี่.. ต้องกำจัดให้เร็วที่สุด
แสงสีดำและแสงสีเทาพุ่งใส่ร่างของเลทิเซียที่นั่งไม่ได้สติบนบัลลังก์ แต่ทว่าในวินาทีนั้นเองเสียงคำรามแห่งความเกรี้ยวโกรธก็ดังขึ้นมาจากฟากฟ้า
“เจ้าเดรัจฉานพวกเจ้ากล้าแตะต้องลูกข้า?!”
………