บทที่ 246 – สเตฟานี่.. ข้าจะไปหาเจ้าแล้วนะ
ปากเลทิเซียสั่นเครือ… ภาพตรงหน้ามันเป็นภาพที่เซเรสแขวนดคออยู่กับเชือกเท้าลอยเหนือพื้น..
“เซเรส.. ทำไม…กัน”
เลทิเซียสับสน.. อ่า.. ทำไม.. ทำไมถึงเป็นแบบนี้อีกแล้วล่ะ.. เลทิเซียวิ่งเข้าไปหาเซเรสพร้อมกับใช้เวทมนตร์ตัดเชือก
ร่างกายเธอร่วงลงมาในอ้อมแขนของเลทิเซียอย่างอ่อนโยน.. ทว่าเซเรสในตอนนี้ไดตายไปแล้ว..
เธอไม่หายใจแล้ว.. เลทิเซียได้แต่เพียงจ้องมองอย่างโง่งมไม่อาจกล่าวคำอะไรออกมาได้.. และในตอนนั้นเองเธอก็เงยหน้าขึ้น..
“ฮ่าๆๆ ฮ่าๆๆ ตาย.. ตายกันไปหมดแล้ว.. ทุกคนตายไปหมดแล้ว… ฮ่าๆ พระเจ้า… พอใจแกหรือยัง”
เลทิเซียหัวเราะออกมาพยายามไม่ก้มหน้าลงเพราะกลัวน้ำตาจะไหลออกจากดวงตา แต่น่าเสียดายที่น้ำตานั้นก็ยังไหลออกมาอยู่ดี
เสียงหัวเราะของเธอราวกับมันระบายอารมณ์ที่มากมายเหลือจะกล่าวไปในตอนนี้ได้อย่างหมดสิ้น
เสียใจ เศร้าใจ เจ็บปวดอารมณ์ที่ไม่อาจบอกกล่าวออกมาได้ทั้งหมดถูกระบายผ่านเสียงหัวเราะของเธอ
ในคืนนี้.. คืนวันนี้ภายในโรงเรียนได้มีคนตายถึงสองคน.. แถมเป็นคนที่สนิทกับเลทิเซียทั้งสิ้น
จะไม่ให้เรียกพระเจ้าเล่นตลกกับเธอแล้วจะให้เรียกอะไรกันล่ะ เธอได้แต่เพียงหัวเราะออกมาราวกับคนไร้สติ
หากถามว่าทำไม.. คงไม่มีใครเข้าใจว่าทำไมเช่นกัน แม้แต่ตัวเซเรสเองบางทีเธอก็คงสับสนไม่ต่างกัน…
ในตอนนั้นตอนที่เธอสติแตกและเห็นภาพหลอนสมองเธอที่เหมือนจะทำงานผิดปกติจากฝีมือของเลทิเซียก็เหมือนจะเปลี่ยนไป
ว่าง่ายๆ ก็คือในเวลานั้นเธอไม่ใช่เซเรสที่เป็นอัจฉริยะแห่งเวทมนตร์อีกต่อไป.. แต่เป็นแค่คนธรรมดาคนหนึ่ง
และเธอก็จำเรื่องราวในอดีตทุกอย่างได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่แม่ตาย เรื่องที่เธอต้องมอบรอยยิ้มให้คนอื่นเสมอเหมือนกับคนคนหนึ่ง
และครอบครัวที่โหดร้ายกับเธอ.. ครอบครัวบัดซบแบบนั้นเธอไม่ได้สนใจแต่แรกอยู่แล้ว.. ทว่าเธอในตอนที่สูญเสียความทรงจำไป
เธอกลับทำตามสิ่งที่พวกนั้นบอก.. และผลลัพธ์สุดท้ายคือฆ่าพ่อฆ่าแม่ของเพื่อนรักอย่างสเตฟานี่
ก่อนที่จะลงมือฆ่าเพื่อนตัวเองด้วยมือสองข้าง…. เธอที่เหมือนจะได้สามัญสำนึกทั่วไปกลับมา มันทำให้เธอรู้สึกผิดยิ่งกว่าอะไร
ทำได้เพียงหัวเราะอย่างเจ็บปวดออกมา ฆ่าพ่อแม่ของเพื่อน ทำลายครอบครัวของเพื่อนและสุดท้ายก็ฆ่าเพื่อนตัวเองทิ้ง
มันทำให้เซเรสไร้ซึ่งคำจะกล่าวพูดอะไรทั้งสิ้น..
“ข้า… ข้าฆ่าพ่อแม่ของสเตฟานี่.. ข้าฆ่าสเตฟานี่.. ฮ่าๆๆๆ”
เธอหัวเราะอย่างโดดเดี่ยว.. หายไปหมดแล้วล่ะ.. คนสำคัญเพียงน้อยนิดของเธอ.. ผู้หญิงคนนั้นก็หายไป..
ท่านแม่ก็ตกตายจากไป.. มาครั้งนี้เป็นเพื่อนคนสำคัญอย่างสเตฟานี่.. เธอจึงได้แต่หัวเราะทั้งน้ำตาและโทษตัวเองว่าเป็นคนเลวทรามต่ำช้าชั่วช้าสมควรตาย
“หากข้า.. ข้าไม่สูญเสียความทรงจำล่ะก็…..”
ทว่าพอเธอพูดแบบนั้นเลทิเซียก็ลอยขึ้นมาในหัวของเธอ.. คนที่ทำให้เธอไปเจอสถานการณ์แบบนั้น.. คนที่ทำให้เธอต้องฆ่าเพื่อนอีกคน
สุดท้ายแล้วกลายเป็นว่ามันเป็นเพราะเพื่อนอีกคน.. เซเรสได้แต่ขำให้กับโชคชะตาตัวเอง
“เป็นแบบนั้นเองงั้นเหรอ.. เป็นแบบนั้นเองสินะ ฮ่าๆๆ”
เธอไม่รู้ว่าเลทิเซียคิดอะไรหรือยังไงอยู่ แต่ความจริงที่ว่าเลทิเซียเป็นต้นเหตุให้เธอฆ่าสเตฟานี่มันคือความจริง..
ใช่เธอโยนความผิดให้กับเลทิเซีย หากว่าเธอไม่โดนลบความทรงจำละก็ หากเธอไม่โดนเลทิเซียทำแบบนั้นละก็ คงไม่ต้องเจ็บปวดเช่นนี้
“ทุกอย่างมันเป็นเพราะเลทิเซีย”
ความสิ้นหวัง ความเจ็บปวดและความเกลียดชังต่อตัวเองมันระเบิดออกมากลายเป็นความรู้สึกด้านลบต่อเลทิเซีย..
“ไม่.. ไม่ใช่..”
แต่ทว่าภายในใจของเธอก็ยังคงกรีดร้องปฏิเสธความคิดเหล่านั้น.. อย่าโทษคนอื่น.. อย่าได้โทษเพื่อนของตัวเองอีกครั้ง..
อย่าให้มันเกิดเรื่องแบบนั้นขึ้นอีกซ้ำสองโดยเด็ดขาด.. ภายในใจเธอราวกับมีคนสองคนกำลังทะเลาะกันอยู่
“ในตอนนั้น.. มันเป็นเพราะฉัน.. ฉันคิดจะปล้นเลทิเซียเอง.. พอโดนแบบนั้นกลับมาโทษว่าตัวเองผิดแบบนั้นมันไม่เห็นแก่ตัวเกินไปหน่อยหรือไง”
“เธอไม่เพียงแต่จะฆ่าเพื่อนคนสำคัญแต่ตอนนี้ยังมาโทษเพื่อนคนสำคัญอีกงั้นเหรอ?”
เธอตะโกนด่ากราดใส่ตัวเองพยายามหยุดคิดความรู้สึกด้านลบต่อเพื่อนตัวเอง.. แต่ว่า..
เธอก็ไม่รู้นี่ว่าต้องทำยังไงในตอนนี้.. ไม่เอาแล้ว.. ไม่อยากเจออะไรอีกแล้ว.. เธอไม่อยากที่จะแบกรับเรื่องราวเหล่านี้แล้ว..
มันมากเกินไป.. ทำไมเธอต้องมาทนกับความรู้สึกมากมายขนาดนี้กัน.. ความสิ้นหวังภายในใจกำลังกรีดร้อง..
ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่เชือกก็ถูกแขวนขึ้นและเธอก็เอาคอมาใส่เชือกไปเสียแล้ว.. การขาดหายใจตายไม่ใช่เรื่องที่ไม่เจ็บปวดทรมาน
แต่มันทรมานเสียยิ่งกว่าตกจากที่สูงหรือถูกฆ่าตัดคอเสียอีก.. เพราะสิ่งเหล่านั้นน่ะ.. มันเกิดขึ้นในชั่วพริบตา
แต่การผูกคอตายน่ะ.. เธอจะค่อยๆ ขาดอากาศหายใจช้าๆ .. ไม่สามารถสูดลมหายใจเข้าหรืออกได้ หน้าอกรู้สึกเหมือนมีอะไรมาอุดเอาไว้
เธอพยายามจะดิ้นรนตามสัญชาตญาณแต่ไม่ว่าจะดิ้นยังไงดวงตาก็พร่าเลือนลงเรื่อยๆ ..
“อ่า..”
ในตอนนั้น ตอนที่เธอจะลาจากโลกใบนี้.. ราวกับว่าเธอมองเห็นหน้าสเตฟานี่อยู่ฝั่งหนึ่งของแม่น้ำแห่งความตาย
“ข้า..ตามเจ้ามาทันแล้วสินะ”
ภายใต้วินาทีก่อนที่จะ ตายภาพในอดีตหวนย้อนคืนกลับมาจนหมดราวกับเป็นหนังชีวิตม้วนสุดท้าย เจออะไรต่างๆ มากมาย
ตอนอายุไม่กี่ขวบถูกจับไปเป็นทาสโดยพ่อแม่แท้ๆ ..
ต่อมาได้รู้จักกับคนคนหนึ่ง
เธอสอนเรื่องราวชีวิต
สอนให้มีรอยยิ้ม และเธอก็จากไป
ผ่านไปปีต่อมาได้ออกมา ก็พบว่าท่านแม่ได้ตกตายไปแล้ว
ไม่เพียงเท่านั้นยังถูกครอบครัวปฏิเสธเรื่อยมาจนไร้ทางแก้.. จนพยายามจะปล้นเด็กคนหนึ่งเข้า..
แต่กลับกลายเป็นว่าโดนเล่นงานเสียเองจนท้ายที่สุดก็ลืมเรื่องราวในอดีต.. ไปแต่แลกมาด้วยกับการที่หัวไหลลื่น
เธอตัดสินใจที่จะเข้าโรงเรียน.. และก็ได้เจอกับเพื่อนที่พึ่งพาซึ่งกันและกัน.. ได้รู้จักกับเพื่อนคนที่หนึ่งก็มีเพื่อนคนที่สอง
แต่ทว่าชะตาฟ้าดินช่างเล่นตลก.. เธอกลับต้องมากลายเป็นฆาตกรที่ฆ่าสังหารครอบครัวของเพื่อนสนิท
ไม่ใช่เท่านั้นเธอก็ยังถูกเพื่อนสนิทคนนั้นโกรธแค้นและชิงชัง.. มันแน่นอนอยู่แล้วการที่จะโดนโกรธเกลียดน่ะ..
ในความเป็นจริงเธอควรยื่นคอให้สเตฟานี่สับดีๆ ซะด้วยซ้ำ.. เพียงแต่ว่าเธอไม่เพียงแต่จะไม่รู้สึกผิดกลับเป็นคนฆ่าเพื่อนสนิทที่สุดของตัวเอง
โดนเพื่อนอีกคนด่าว่าไปตายซะเถอะ….
แต่ในตอนที่สติหลุดออกจากร่างความจริงอันโหดร้ายก็ปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง.. เพื่อนคนที่สองกลับกลายเป็นคนที่ทำให้ตนเองเสียความทรงจำ
และเป็นต้นเหตุให้เกิดเรื่องราวทุกสิ่งทุกอย่าง.. เธอพยายามจะโทษเพื่อนคนนั้น.. แต่ในใจเธอรู้ดียิ่งกว่าใครว่า..
หากไม่มีเธอคนนี้.. เธอก็คงไม่ได้มาเจอกับสเตฟานี่ตั้งแต่แรกหรือได้พบกับความสุข.. จริงอยู่ในตอนนี้เธออาจจะยังไม่ตายเหมือนตอนนี้..
แต่ททว่า.. เธอกลับไม่รู้สึกเสียใจ.. สิ่งเดียวที่เธอเสียใจคือเรื่องของสเตฟานี่..
ดังนั้นเธอจึงกล่าวขึ้น..
“สเตฟานี่.. ข้าจะไปหาเจ้าแล้วนะ”
………
[จะขอย้ำอีกสักหน… ไม่ว่าจะสเตฟานี่ โคลเอ้หรือเซเรส.. เป็นแค่เด็กที่ยังพึ่งจะเริ่มรู้จักโลก.. เป็นแค่เด็กอายุสิบกว่าปีเท่านั้น – ผู้เขียน]